เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 279 เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์แอบหึงอย่างนั้นหรือ
ทิศทางที่ลำแสงสีม่วงไปมีโลงศพปรากฏขึ้น!?
“นี่มัน…” อินหลิวเฟิงตกใจ
เอ้อร์เหมาหายตัวไป พร้อมกับกล่าวขึ้นอย่างตกใจ “มีคน! ไม่ใช่สิ…มีศพ!”
หลังจากที่คนอื่นๆ เดินไปข้างหน้าก็พบว่ามีศพร่างผอมอยู่ในโลงศพจริงๆ ทำให้เยี่ยนอวี๋รีบปิดตาลูกน้อยไว้ทันที แต่กลับพบว่าต้าซือมิ่งบางคนได้ปิดไปก่อนแล้ว
“อ้ะ?” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ไม่เห็นอะไรเลยอยากรู้อยากเห็นจึงลองเอามือของบิดาออก
เยี่ยนอวี๋จึงได้บีบแก้มน้อยๆ ของลูกน้อยเบาๆ “ไม่ได้ เสี่ยวเป่าดูไม่ได้นะจ๊ะ”
“เนะ?” เยี่ยนเสี่ยวเป่าจับมือของท่านแม่ของเขา เห็นได้ชัดว่ากำลังถามว่าเพราะอะไรอยู่
เยี่ยนจื่อเสาตอบกลับ “เพราะว่าน่าเกลียดมาก”
เป็นเรื่องจริง เพราะว่าศพที่ดูสดใหม่มากศพนี้ไม่มีใบหน้า! หรือว่าคนในเสื้อคลุมก่อนหน้านี้จะเป็นสภาพแบบนี้ด้วย ดังนั้นจึงได้ปิดบังตัวตนได้มิดชิดเพียงนั้น
แต่เยี่ยนอวี๋กลับพบว่า “บนศพคนตายนี้ไม่มีกลิ่นอายของเจ้า และไม่มีกลิ่นอายวิญญาณอย่างอื่นด้วย ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง”
“กลิ่นอายของใครนะ” อินหลิวเฟิงไม่เข้าใจ
แต่ต้าซือมิ่งบางคนได้ตอบแล้ว “ใช่แล้ว เจ้าลองดูนี่สิ”
ต้าซือมิ่งที่หยิบกล่องผ้าเหลี่ยมออกมาระหว่างพูด ทำให้เยี่ยนอวี๋รู้ว่าต้องไปเปิดกล่องพบแต่ความว่างเปล่าในกล่องผ้านั้น นอกจาก…
เยี่ยนอวี๋หรี่ตาลง พิจารณาจากร่องรอยอันเบาบางบนกล่องผ้า “กลิ่นอายของเจ้า”
“ใช่แล้ว” ต้าซือมิ่งที่น้ำเสียงดุจเสียงพิณเหมือนปกติ แต่คิ้วกำลังค่อยๆ ยกขึ้นสูง “พวกมันแอบใช้พลังของข้า”
“ทำได้อย่างไร” ในที่สุดอินหลิวเฟิงก็เข้าใจแล้วประโยคหนึ่ง
เยี่ยนจื่อเสาก็ตกใจมากเช่นกัน “ตัวเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเขายังสามารถแอบใช้พลังของเจ้าได้อย่างนั้นหรือ”
เยี่ยนอวี๋ที่สงสัยเช่นกันมองต้าซือมิ่ง แต่ฝ่ายหลังกลับเก็บกล่องผ้าไว้กล่าวว่า “ไม่รู้เช่นกัน”
เยี่ยนอวี๋กะพริบตาเบาๆ ถึงจะพูดขึ้นอย่างครุ่นคิดว่า “วิเคราะห์จากซากศพนี้ มันสามารถจุรับพลังงานขั้นตำนานขึ้นไปได้ จากคุณสมบัติของมันแล้วน่าจะมีความเป็นไปได้ที่มันคิดจะจุรับวิญญาณอสูร ทำให้วิญญาณอสูรคงอยู่ในโลกมนุษย์นานขึ้น พลังของเจ้าอาจจะเป็นแค่เรื่องผิดพลาดก็เป็นได้”
“ไม่แน่ใจ แต่กล่องผ้านี้มาจากในราชสำนัก” ต้าซือมิ่งบางคนมั่นใจว่าของสิ่งนี้มาจากในราชวัง เพราะพื้นผิวบนกล่องผ้านี้เป็นอักษรโบราณจากการสืบทอดอย่างลับๆ ของฝ่าบาท มีความศักดิ์สิทธิ์แน่นอนถึงได้ผนึกกลิ่นอายของเขาไว้ได้เล็กน้อย
“หยวนคังฮ่องเต้?” อินหลิวเฟิงคาดเดา “เขาต้องเกลียดท่านที่สุดอยู่แล้ว!”
“อาจจะไม่ใช่เขา” เยี่ยนอวี๋รู้สึกว่าชัดเจนเกินไป “ข้ากลับคิดว่าเป็นฝีมือของกู้หยวนซู นางเคยอยู่ในตำหนักซือมิ่งมาก่อน และอยู่ในสถานที่เดียวกันกับเจ้า ย่อมได้รับมาง่ายกว่าผู้อื่น…”
“หยุดก่อน” ต้าซือมิ่งบางคนจำเป็นต้องขัด “บอกแล้วว่านางไม่ใช่ลูกน้องของข้า หากเจ้าสนใจในตัวลูกน้องของข้าล่ะก็ วันหลังข้าจะพาไปรู้จัก”
“จิ๊ด?” หนูตัวน้อยที่ส่งเสียงออกมา ทำให้เยี่ยนอวี๋มองต้าซือมิ่งบางคนด้วยสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งทันที ที่แท้แล้วเจ้าหนูน้อยตัวนี้ก็เป็นลูกน้องของต้าซือมิ่งนี่เอง เขาส่ง ‘คน’ มาตามติดอยู่ข้างกายนางตั้งนานแล้วสินะ
“ให้เสี่ยวเป่าเล่นจริงๆ” ต้าซือมิ่งยอมรับอย่างเปิดเผย “เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะฟังภาษาหนูออกหรอกนะ”
“ทำไมจะไม่ได้” เยี่ยนอวี๋ตอบกลับเฉยเมย
อินหลิวเฟิงจึงได้พูดขึ้น “เอาล่ะ พวกท่านทั้งสองไม่ต้องเถียงกันแล้ว บอกมาก่อนว่าจะทำอย่างไรดีกับของสิ่งนี้กัน”
“เจ้าแบกไว้”
“เจ้าแบกไว้”
เยี่ยนอวี๋และต้าซือมิ่งพูดขึ้นพร้อมกัน
อินหลิวเฟิงสีหน้าลำบาก “พวกท่านให้ข้าเป็นทาสอย่างนั้นหรือ!”
“ข้าแบกเถิด” เม่ยเอ๋อร์กระฉับกระเฉง พูดจบนางก็นำซากศพไปเลยราวกับกลัวว่าจะมีคนแย่งอย่างไรอย่างนั้น
เยี่ยนจื่อเสา “…”
“นอกจากนี้แล้ว สิ่งของที่เหลือได้ถูกกำจัดด้วยชั้นลอยอวกาศนี้ก่อนที่จะเข้ามาในที่แห่งนี้แล้ว” ต้าซือมิ่งถึงได้ปล่อยมือที่ปิดตาของลูกน้อยไว้ลง
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่พบเจอ ‘แสงสว่าง’ แล้วรีบไปดูโลงศพทันที และแน่นอนว่าไม่พบอะไรเลย
เยี่ยนอวี๋โบกมือทำลายโลงศพ เพื่อไม่ให้ผู้คนรู้ว่าวิญญาณคนตายที่อยู่ด้านในถูกนำไปแล้ว
ต้าซือมิ่งถามขึ้น “เจ้าอยากดูต่อไปอีกหรือว่าอยากกลับแล้ว”
“รออีกประเดี๋ยวเถิด” สุดท้ายเยี่ยนอวี๋ก็ได้ทิ้งรอยจางๆ เอาไว้ในพื้นที่แห่งนี้
ระหว่างนั้นพวกเขาก็ได้ ‘พบกับ’ คนของสำนักคุนอู๋จริงๆ พวกเขาน่าจะมายืนยันความตายของต้าซือมิ่ง แต่กลับไม่มีความสามารถมากพอที่จะสัมผัสได้ถึงหรงอี้และคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่
หลังจากนั้น คนทั้งกลุ่มก็ได้กลับไปยังสำนักคุนอู๋
และก่อนที่พวกเขาจะมาถึงนั้น คนของสำนักคุนอู๋ก็พบว่าผิดปกติแล้ว “เจ้าสำนัก ดูเหมือนสารเลวพวกนั้นจะสร้างค่ายกลโดดเดี่ยวที่ทรงพลังมากออกมา เกรงว่าจะสัมผัสได้ถึงแผนการของพวกเราแล้ว”
“ไม่เป็นไร แม้นจะรู้ แต่พวกเขาก็ยากที่จะโบยบินหนีไปเช่นกัน!” หยางถิงซานไม่ได้สนใจ “แต่ทว่าเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เริ่มได้เลย”
“คนผู้นั้น…”
“ยังไม่พบตัวเขา อย่างนั้นก็บอกได้ว่าเขาอาจจะไม่มีชีวิตอยู่ก็เป็นได้” หยางถิงซานมั่นใจมาก เพราะเขาได้เชิญให้ผู้อาวุโสในสำนักติดต่อกับวิญญาณอสูรแล้ว ทำให้กองทัพวิญญาณอสูรเองก็มีการตรวจสอบขึ้นมา แม้นต้าซือมิ่งผู้นั้นจะอยู่ด้านในก็ต้องถูกกำจัดด้วยเช่นกัน!
แต่หยางถิงซานไม่รู้ว่าต้าซือมิ่งไม่เพียงไปกลับมาหนหนึ่งแล้ว แต่ยังพาลูกและภรรยาไปกลับมาอีกหนหนึ่งแล้วด้วย ได้ท่องเที่ยวชั้นลอยอวกาศนั่นไปสองหนแล้ว
ดังนั้น เมื่อคนของสำนักคุนอู๋เปิดใช้ค่ายกลผนึกในที่ที่กลุ่มเยี่ยนอวี๋อยู่นั้น ต้าซือมิ่งบางคนได้อุ้มลูกน้อยเดินออกไปจากห้องอย่างสง่างามแล้ว
“!”
“?!”
เหล่าผู้สร้างค่ายกลในหออัญเชิญศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักคุนอู๋มึนงง และไม่รู้ว่าควรดำเนินต่อไปหรือควรหยุดดี!
ส่วนหยางถิงซานที่ได้รับการตอบกลับแล้วได้โยนถ้วยชาลงบนพื้น “อะไรนะ! เขาเดินออกจากห้องนั้นแล้ว!” เป็นไปได้อย่างไร!
หยางถิงซานที่ไม่เชื่อรีบเดินไปดูด้วยตนเอง จากนั้นก็พบต้าซือมิ่งทั้งคนที่ไม่มีเกิดขึ้นเลย “นี่มัน เจ้า…” เป็นไปได้อย่างไรกัน!
และต้าซือมิ่งก็ได้กล่าวขึ้นเหมือนมาชมวิว “ขอบคุณสำหรับการต้อนรับของเจ้าสำนักหยาง ข้าพึงพอใจมาก”
“…หา?” หยางถิงซานที่ไม่รู้ว่าต้าซือมิ่งพูดอะไรอยู่ เขาเพียงแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่! หรือว่า…หรือว่าเขาต้องอัญเชิญกองทัพวิญญาณอสูรมายังโลกปัจจุบันถึงจะกำจัดคนเหล่านี้ได้!
ทว่าหยางถิงซานที่กำลังคิดเช่นนี้ เขาก็พบว่าต้าซือมิ่งและคนอื่นๆ ได้เดินไปทางนอกเรือนแล้ว เห็นได้ชัดว่าจะไปจากสำนักคุนอู๋แล้ว!
แต่หยางถิงซานหยุดพวกเขาไว้ก่อน “ช้าก่อน! พวกเจ้ายังไปไม่ได้! ลูกชายข้า…”
“อ้อ?”
ต้าซือมิ่งบางคนหยุดฝีเท้าลงจริงๆ พร้อมทั้งมองไปทางหยางถิงซานด้วยความน่าสนใจ “เจ้าจะรั้งข้าต้าซือมิ่งไว้อย่างนั้นรึ”
หยางถิงซานถูกมองจนหัวใจเต้น! ไม่รู้ว่าเพราะความงดงามของต้าซือมิ่งหรือเพราะน้ำเสียงที่แฝงด้วยความสนใจของเขา ทำเอาแผ่นหลังของหยางถิงซานชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
“ปล่อยเขาไป” หยางเทียนชื่อออกมาพร้อมกับเอ่ยเสียงเข้ม แววตาของเขาจ้องเขม็งไปที่เม่ยเอ๋อร์ แล้วค่อยมองไปทางต้าซือมิ่ง “ในเมื่อต้าซือมิ่งรู้สึกว่าสำนักคุนอู๋เราต้อนรับได้ดี เช่นนั้นหลังจากนี้ท่านคิดอย่างไร หวังว่าท่านจะบอกใบ้! ให้บ้าง!”
สองคำสุดท้าย หยางเทียนชื่อกัดฟันพูด เห็นได้ชัดว่ายังไม่ลืมความอัปยศอดสูในอดีต ทั้งยังจำได้อย่างแม่นยำ เม่ยเอ๋อร์จึงพูดขึ้น “ไม่พอใจก็มาสู้กันตัวต่อตัวได้!”
หยางเทียนชื่อหน้าเกร็ง รู้สึกว่ายังเจ็บปวดหัวใจอยู่ แท้จริงแล้วบาดแผลของเขายังไม่หายดี! มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่มาปรากฏตัวเอาตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจต่อสู้ได้
หยางถิงซานเองก็เข้าใจดี ฉะนั้นเขาจึงกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อท่านพ่อของข้าพูดแล้ว เช่นนั้นก็เชิญพวกท่านไปได้” เขารู้ดี ความหมายของท่านพ่อก็เป็นความหมายเดียวกับเหล่าผู้อาวุโส
“ไม่รั้งข้าไว้จริงหรือ” แต่ต้าซือมิ่งบางคนกลับมีความสนใจขึ้นมาจริงๆ สัมผัสแรกของเขาบอกว่าสำนักคุนอู๋ยังมีแผนสำรอง และเป็นแผนสำรองที่คิดไปเองว่าจะสามารถรั้งเขาไว้ได้ เขาจึงสนใจเป็นพิเศษ
“เชิญ!” หยางเทียนชื่อทำท่าทาง ‘เชิญไปได้’ ออกมา
ต้าซือมิ่งบางคนสงสัยเล็กน้อย แต่เขาเองก็รู้เช่นกัน ในเมื่อสำนักคุนอู๋ใจเย็นลงแล้ว เขาเองก็ยากที่จะไปกระตุ้นจิตใจพวกเขา มิเช่นนั้นอาจเป็นการทำลายแผนการของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ได้
“ไปเถิด” เยี่ยนอวี๋เองก็ไม่อยากยืดเยื้อต่อไป
แต่หยางเทียนชื่อกลับจ้องเยี่ยนอวี๋เขม็ง และกล่าวอย่างลึกซึ้ง “แม่หนูน้อย ตอนที่เจ้ามาที่นี่บิดาของเจ้าไม่ได้บอกเรื่องความสัมพันธ์ของเจ้ากับสำนักคุนอู๋ของข้าให้กับเจ้าหรือ”
“?” เยี่ยนอวี๋ที่ขมวดคิ้วเล็กน้อยกวาดสายตามองหยางเทียนชื่อแวบหนึ่ง
เม่ยเอ๋อร์รีบหยิบดาบออกมา “ตาเฒ่าสารเลว แน่จริงก็พูดดีๆ สิ ลงมาสู้กันสักตั้ง!”
หยางเทียนชื่อ “…”
“เชิญทุกท่านกลับไปเถิด” หยางถิงซานกลัวว่าบิดาจะโกรธจนกระอักเลือดอีกจึงรีบขับส่งคนเหล่านี้ไป
เม่ยเอ๋อร์กลับมองเยี่ยนอวี๋อย่างไม่พอใจนัก เมื่อเห็นเยี่ยนอวี๋ส่ายศีรษะ นางถึงได้เก็บดาบลง แล้วกวาดสายตาไปทางเยี่ยนจื่อเสาแวบหนึ่ง จ้องมองฝ่ายหลังแปลกๆ
“ไม่ใช่ เขาหมายความว่าอะไรกัน” อินหลิวเฟิงสนใจมาก “อะไรคือความสัมพันธ์ของกูไหน่ไนเจ้ากับสำนักคุนอู๋กัน”
เยี่ยนจื่อเสาเองก็สงสัยเช่นเดียวกัน แต่เยี่ยนอวี๋กลับไม่สนใจ เอ้อร์เหมาจึงพูดขึ้น “เมื่อถึงจวนอ๋องอินแล้ว เราไปถามพ่อบ้านอาวุโสกันเถอะ เขาต้องรู้แน่!”
“ก็จริง” อินหลิวเฟิงคิดตาม ข่าวซุบซิบนินทาในจวนอ๋องอินแห่งเมืองหลวงผ่านพ่อบ้านอาวุโส ตั้งตารอมากแล้ว!
แต่หารู้ไม่ว่าหลังจากที่พวกเขาจากไป หยางเทียนชื่อก็ได้ถุยน้ำลายลงพื้น “เป็นบ่าวแล้วคิดจะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ต้องมีสักวันที่สำนักชางอู๋ต้องพินาศ!”
“ย่อมเป็นไปตามนั้น”