เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 315 ผู้ขวางปฐมราชินีเยี่ยนต้องตาย โอหังเช่นนี้แหละ
- Home
- เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน
- ตอนที่ 315 ผู้ขวางปฐมราชินีเยี่ยนต้องตาย โอหังเช่นนี้แหละ
ตอนที่ 315 ผู้ขวางปฐมราชินีเยี่ยนต้องตาย! โอหังเช่นนี้แหละ!
อาวุธที่ปล่อยออกมาจากหยางโฮ่วเจิ้งถูกทำลายลงกลางอากาศ
ไม่เพียงเท่านี้…
“ตาย”
เสียงไพเราะสง่างามดั่งพิณของต้าซือมิ่งราวกับเสียงพิพากษาที่ถูกบรรเลงออกมาเพื่อตัดสินโทษหยางโฮ่วเจิ้งแล้ว!
ในครานี้… ต้าซือมิ่งมิได้ลงโทษด้วยการสังหาร แต่เขาลงโทษด้วยการให้หยางโฮ่วเจิ้งค่อยๆ ลิ้มลองความเจ็บปวดของร่างที่กำลังปริแตกและขาดอากาศหายใจอย่างสิ้นหวัง
“ไม่”
หยางโฮ่วเจิ้งยังคงยื่นมือออกไปทางหยางถิงซานได้ เขาต้องการความช่วยเหลือ ทว่าเขาไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้แล้ว ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเขาปรากฏเส้นเลือดสีเขียวและสีม่วงไขว้กันไปมาอย่างน่าเกลียดน่ากลัว
หยางถิงซานอยากจะเข้าช่วย เขาประท้วงขึ้น “ต้าซือมิ่ง! ท่านทำเกินไปแล้ว!”
“ใช่แล้ว! ต้าซือมิ่ง แม้หยางโฮ่วเจิ้งไม่สมควรกระทำเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครตาย เขาเองก็เจ็บปวดเพราะเพิ่งสูญเสียบุตรอันเป็นที่รักไป จึงพลั้งมือทำอะไรสุดโต่งไปหน่อย ย่อมเป็นเรื่องที่เข้าใจได้” หยางเทียนชื่อรีบกล่าว
“นั่นน่ะสิ!”
“ใช่แล้ว ต้าซือมิ่งโปรดเมตตา”
กู้ปิ่งคุนเจ้าสำนักสำนักเหยาไถเซียนและชิงเหอเซิ่งเจ้าสำนักสำนักชิงเหลียนร้องขอชีวิตให้หยางโฮ่วเจิ้ง ขุนนางราชสำนักไม่น้อยก็ร่วมสำทับ
น่าเสียดายที่ต้าซือมิ่งไม่มีทีท่าว่าจะหยุด มือข้างหนึ่งของเขาปิดตาเด็กน้อยไว้ ดวงตาสีม่วงหม่นราวกับหมอกยามเช้าของเขา พลังการลงโทษยังคงเพิ่มพูนบนตัวหยางโฮ่วเจิ้ง
“ช่วย… ด้วย…” หยางโฮ่วเจิ้งร้องขอความช่วยเหลือพลางหายใจอย่างยากลำบาก ดวงตาของเขาเบิกกว้างก่อนจะตาเหลือก อีกไม่นานก็จะสิ้นชีพแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สิ้นใจไปง่ายๆ…
เส้นชีพจรบนร่างกายปริแตก กระดูกแตกเป็นเสี่ยงๆ อวัยวะภายในก็ค่อยๆ แหลกสลาย เป็นความเจ็บปวดที่ทรมานกว่าการแล่เนื้อเถือหนังเสียอีก!
บุคคลที่กำลังกระทำเช่นนี้กลับทำเหมือนกำลังหยอกเล่นกับหมูหมาด้วยมาดเทพเซียนผู้หลุดพ้นจากทางโลก สีหน้าเขานิ่งเรียบทำให้ผู้คนรู้สึกถึงสายตาอันเย็นชาและเมินเฉยราวกับมองดอกหญ้าริมทาง
ในสายตาของเขาราวกับว่าสิ่งมีชีวิตในโลกมนุษย์ล้วนเหมือนกัน และมีเพียงสิ่งเดียวที่แตกต่างกันคือ ผู้ใดขวาง ตาย! ผู้ใดทำตาม อยู่!ไม่มีความแตกต่างอื่นใดแล้ว
บุคคลเช่นนี้ทำให้หยางถิงซานหวาดหวั่นยิ่งนัก แต่เขาก็ต้องพูดต่อไปว่า “ตะ… ต้าซือมิ่ง…”
“ต้าซือมิ่ง หยางโฮ่วเจิ้งไม่สมควรตาย ควรจับตัวเข้าคุกราชสำนัก ท่านโปรดหยุดเถิด” กู้หยวนซูก็เอ่ยขึ้นแล้ว แต่ในขณะที่นางพูด นางก็อดมองต้าซือมิ่งด้วยสายตาหลงใหลไม่ได้
บุรุษแข็งแกร่งและสูงส่งเช่นนี้ กู้หยวนซูอดหวั่นไหวไม่ได้จริงๆ โดยเฉพาะเมื่อนางได้ประสบกับความโหดเหี้ยมอำมหิตของหยวนคังฮ่องเต้ นางก็ยิ่งมิอาจวาง ‘แสงจันทร์สีขาว[1]’ ในใจลงได้
สำหรับกู้หยวนซูแล้ว หากไม่มีเยี่ยนอวี๋ สักวันหนึ่งนางต้องทำให้ต้าซือมิ่งผู้สูงส่งท่านนี้หวั่นไหวได้ ทำให้เขาปฏิบัติต่อนางเหมือนที่เขาปฏิบัติอย่างอ่อนโยนต่อเยี่ยนอวี๋
เขาไร้ความรู้สึกและอารมณ์ต่อสรรพสิ่งบนโลก แต่กลับมอบความรักและความอ่อนโยนทั้งหมดให้เพียงคนข้างกาย เมื่อกู้หยวนซูคิดถึงชายเช่นนี้ก็ยิ่งเจ็บใจ เพราะอันที่จริงเขาควรเป็นคนของนาง
น่าเสียดาย…
ต้าซือมิ่งไม่แม้แต่จะมองนางด้วยซ้ำ เขายังคงลงโทษหยางโฮ่วเจิ้ง จนกระทั่งฝ่ายหลังมองไปที่หยางถิงซานและหยางเทียนชื่ออย่างสิ้นหวังก่อนจะตายตาไม่หลับ
“สม!” เอ้อร์เหมาตวาดใส่ “ต้าซือมิ่งของเรากำลังทำให้สำนักคุนอู๋พวกเจ้าสัมผัสบ้างว่าการที่อยู่ต่อหน้าคนกำลังจะตายแต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เป็นอย่างไร รู้สึกสะใจหรือไม่”
หยางถิงซาน “…”
สีหน้าของเขาดูย่ำแย่จนมิอาจใช้คำใดๆ มาบรรยายได้
ส่วนหยางเซ่าเหิง เขาก็คำรามอย่างโกรธเคือง “มันเหมือนกันที่ไหน อีกอย่างก่อนหน้านี้ต้าซือมิ่งเองก็เข้าแทรกแซงสนามประลองต้าฮวง มิเช่นนั้นศิษย์สำนักชางอู๋ทั้งเจ็ดสิบสองนายนั่นจะออกมาได้อย่างไร!”
“พวกเจ้าเริ่มก่อน หรือเจ้าคิดว่าต้าซือมิ่งควรเล่นตามกติกาของสำนักคุนอู๋ต่อไป โทษทีนะ ในเมื่อเริ่มแล้ว พวกข้าจะเล่นยังไงก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะกำหนดได้” อินหลิวเฟิงกล่าวอย่างเจ้าเล่ห์
อินสวินอี้กล่าวจริงจัง “พวกเจ้าเป็นฝ่ายทำผิดกติกาของการประลองก่อน! พวกเจ้าเล่นสกปรก ในฐานะที่ต้าซือมิ่งเป็นผู้ดำเนินพิธี ย่อมต้องเชือดไก่ให้ลิงดู! รอดูว่ารอบต่อไปจะมีใครกล้าเล่นสกปรกอีกหรือไม่ นี่แหละคือจุดจบ!”
“เจ้า…” หยางถิงซานย่อมไม่อยากยอมรับว่าตนเล่นสกปรก เขากำลังจะแย้งกลับ!
แต่แล้ว ต้าซือมิ่งก็เอ่ยว่า “ใช่แล้ว”
“ต้าซือมิ่ง ท่านทำเช่นนี้มีอคติส่วนตัวหรือไม่ ดูลำเอียงมากเลย” กู้หยวนซูกล่าว “ถึงแม้ท่านมีเจตนาดี แต่นี่ก็ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก”
“ใช่แล้ว!” กู้ปิ่งคุนก็คัดค้านด้วยทันที “ต้าซือมิ่งท่านต้องเป็นกลาง ไม่ใช่ช่วยเหลือสำนักชางอู๋เพียงเพราะปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนเป็นว่าที่ภรรยาของท่าน”
“เฮอะ! ต้องช่วยสำนักคุนอู๋ถึงเรียกว่าไม่ลำเอียงหรือ” เอ้อร์เหมาโต้กลับไปทันที “พวกเจ้านี่ก็ตลกสิ้นดี ไม่ดูเลยว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน หรือว่าสำนักเหยาไถเซียนก็อยากร่วมด้วย กลัวว่าประเดี๋ยวจะถูกต้าซือมิ่งลงโทษก็เลยรีบช่วยพูดให้สำนักคุนอู๋”
“เจ้าหมอนี่! เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดตรงนี้!” กู้ปิ่งคุนตำหนิอย่างเดือดดาล!
จวินอั้นเทียนเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าสำนักกู้อย่าหงุดหงิดเลย แม้วาจาเอ้อร์เหมาจะไม่น่าฟัง แต่ก็มีเหตุมีผลดี หากผู้เสียเปรียบครั้งนี้คือสำนักจวินจื่อหรือสำนักเหยาไถเซียนของเจ้า มิใช่สำนักชางอู๋ เช่นนี้ต้าซือมิ่งก็ถือว่าไม่ลำเอียงแล้วหรือ”
“ข้า…” กู้ปิ่งคุนกำลังจะแย้ง กู้หยวนซูเองก็อยากจะพูด แต่แล้ว…
“เขาช่วยข้าแล้วไง” เยี่ยนอวี๋ที่ประคองชุ่ยชุ่ยไว้เลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง “คนที่ไม่พอใจ เก่งจริงก็ให้เขาช่วยเจ้าสิ ข้าไม่โกรธหรอก”
“เจ้า…” กู้หยวนซูโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง! นางรู้สึกเหมือนกับว่าเยี่ยนอวี๋กำลังยั่วยุนาง! แต่นางก็ไม่มีความสามารถจริงๆ
กู้ปิ่งคุนรู้สึกจุก…
ใครจะไปคิดว่าเยี่ยนอวี๋จะตรงไปตรงมาเช่นนี้!
“หึๆ…” ชือปี้เหลียนเองก็อยากมีส่วนร่วม “เจ้ามันหยิ่งผยองจริงๆ ไม่กลัวเลยหรือว่าสักวันหนึ่งต้าซือมิ่งจะไม่ปกป้องเจ้าแล้ว รู้ไว้ด้วยว่าเจ้าก็แค่มีรูปโฉมพอใช้ได้ แต่นานวันเข้าก็เอียนเหมือนกัน”
“ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็คงไม่ตกถึงตาเจ้า นังคางคกมั่วโลกีย์” เยี่ยนอวี๋กล่าว
ชือปี้เหลียน “…”
นางเกือบจะกระอักเลือดออกมา!
นางถูกศัตรูโต้อย่างตรงไปตรงมาเป็นครั้งแรกในชีวิต คนทั่วไปคงรับไม่ได้
ทว่าต้าซือมิ่งยังดึงดันชี้แจงอย่างจริงใจว่า “สตรีที่ข้าหรงอี้รัก แม้โลกจะแตก จักรวาลจะสลาย ก็จะรักเพียงนาง เยี่ยนอวี๋”
เมื่อสิ้นเสียงพูด…
เพี๊ยะ!
“…”
พรวด!
บางคนรู้สึกถูกตบหน้าฉาดใหญ่!
บางคนไม่รู้จะอธิบายความสึกตนเองอย่างไรแล้ว
บางคนรู้สึกถูกเหยียบเละจนเลือดทะลัก…
“เอิ๊กกก”
อินหลิวเฟิงเรอเสียงดัง กล่าวว่า “อิ่มจัง ข้าอิ่มแล้ว”
เอ้อร์เหมากลับถอนหายใจไม่หยุด “นายท่านน้อย ท่านดูสิ ยังไม่รีบเรียนรู้ไว้อีกหรือขอรับ”
“ฝึกไปจีบใครรึ” อินหลิวเฟิงถามกลับ
เอ้อร์เหมาพูดไม่ออก ก็ถูกของนายท่านน้อย คุณหนูใหญ่เยี่ยนมีเจ้าของแล้ว นายท่านน้อยจะฝึกไปจีบใครได้อีกเล่า ยังมีใครคู่ควรให้นายท่านน้อยจีบอีกเล่า เหมือนว่าจะไม่มีแล้ว
“เจ้าโง่” ในที่สุดอินหลิวเฟิงก็กล่าวดูแคลนเอ้อร์เหมาได้อย่างเต็มปาก “ยังไม่รีบไปชงชาให้ข้าอีก!”
“ขอรับ” เอ้อร์เหมารู้สึกเศร้าหมอง เขาคิดว่าคงหาฮูหยินน้อยที่ดีเช่นนี้ไม่ได้แล้ว ช่างยากจริงๆ เลย
…
ในขณะเดียวกัน อีจี้จิ่วก็ประกาศขึ้นว่า “การแข่งขันรอบแรกของพิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนักครั้งนี้จบลงเพียงเท่านี้ บัดนี้ได้เวลาประกาศผลการแข่งขัน”
หลายๆ คนได้โอกาสแก้สถานการณ์ พวกเขาไม่อยากทำให้ตนอับอายด้วยการตั้งข้อสงสัยในตัวต้าซือมิ่งจึงทำทีตั้งใจฟังผลการแข่งขัน แต่แล้วผลการแข่งขันก็ทำให้ทุกคนตะลึงจนลูกตาแทบจะหลุดออกมาจริงๆ
“การประลองครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดสิบสองสำนัก เหลือเพียงเก้าสิบสองสำนัก รายชื่อจะประกาศเป็นอันดับถัดไป เหล่าผู้แข็งแกร่งเหล่านี้จะได้รับป้ายสดุดีสำนักยอดเยี่ยม สิบหกอันดับแรก เรียงจากท้ายสุดได้แก่ สำนักคุนอู๋…” อีจี้จิ่วพูดถึงตรงนี้ เสียงก็ดังเซ็งแซ่ขึ้นมาทันที
“สำนักคุนอู๋อยู่อันดับสิบหกเขียวหรือ! เกือบจะหลุดออกจากแท่นแล้ว! ปีที่ผ่านมาพวกเขาได้ที่หนึ่งในรอบแรกตลอด ตั้งแต่ก่อตั้งต้าซย่าก็เป็นเช่นนี้เสมอมานี่!”
“เจ้าก็ไม่ดูหน่อยเลยว่าเมื่อครู่นี้พวกเขาถูกกำจัดไปกี่คน! ข้าก็เลยกำลังคิดว่าสำนักคุนอู๋รุ่นนี้ไม่เก่ง ประเดี๋ยวข้าจะไปหอการค้าเงินทองเดิมพันให้พวกเขาพ้นจากเจ็ดสำนัก!”
“โหดร้ายเกินไปหรือไม่ ข้าจะเดิมพันให้พวกเขาตกอันดับหนึ่ง!…” ฝูงชนวิพากวิจารณ์กันไม่หยุดปากราวกับหม้อระเบิด เสียงของพวกเขากลบเสียงประกาศของอีจี้จิ่วแล้ว
อีจี้จิ่วก็เป็นคนประหลาด เขามิได้พูดเสียงดังขึ้น และก็มิได้ใช้ฌานตบะใดๆ เขายังคงอ่านต่อไปเช่นนี้ ราวกับต้องการให้เสียงวิจารณ์เหล่านี้กลบเสียงของเขา สำนักคุนอู๋จะได้ได้ยินชัดเต็มสองรูหู
ทว่าฝูงชนเองก็มีมารยาทพอ เมื่อพวกเขาวิจารณ์กันจนถึงตอนที่เขาประกาศเจ็ดอันดับแรก ทุกคนก็เงียบเสียงลงและฟังอย่างตั้งใจ “อันดับที่เจ็ด สำนักซีอี้ว์ฝอ อันดับที่หก นิกายจิ่วหลีเซิ่งเหลียน อันดับที่ห้า สำนักตี๋เชียงเนี่ยผาน อันดับที่สี่ สำนักชิงเหลียน อันดับที่สาม สำนักจวินจื่อ อันดับที่สอง สำนักเหยาไถเซียน อันดับที่หนึ่ง สำนักนิรนาม”
“อะไรนะ”
“สำนักนิรนามคือสำนักอะไรน่ะ”
ทุกคนต่างไม่เข้าใจเมื่อได้ยิน ‘สำนักนิรนาม’ อันดับหนึ่ง “หมายถึงไม่มีผู้ใดได้อันดับหนึ่งหรือว่าไม่รู้ว่าสำนักนี้ชื่ออะไร หรือว่า…”
ในขณะที่ทุกคนวิจารณ์กันไม่หยุด ผู้เฒ่าชุดดำคนหนึ่งก็เดินเบียดออกมาจากฝูงชน จากนั้นผู้เฒ่าที่มีกลิ่นอายแข็งแกร่งสองสามคนก็เดินเบียดตามกันออกมาและยังพาคนจำนวนไม่น้อยออกมาด้วย
“พวกข้าสำนักนิรนามแห่งหนานจ้าว มาประลองในเมืองหลวงตี้ชิวเป็นครั้งแรก ขอบคุณทุกสำนักที่ออมมือ ทำให้สำนักข้าเป็นเกียรติได้ที่หนึ่งอย่างโชคดี ขอบคุณ”
———————————————
[1] แสงจันทร์สีขาว หมายถึงคนที่หลงรัก แต่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันและมิอาจลืมเลือนได้