เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 402 เย้าแหย่ภรรยาสุดหวาน ต้าซย่าล่มสลาย!
เยี่ยนอวี๋ยกมือขึ้นจับดวงตาคู่นั้นด้วยสัญชาติญาณ “นี่เจ้าหลอมรวมขุมนรกเข้าไปในดวงตาหรือ”
ต้าซือมิ่งยกมุมปากเล็กน้อยปล่อยให้ภรรยาจับต่อไป ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบว่า “ดูดีหรือไม่”
“ดีสิ” เยี่ยนอวี๋ตอบทันที
มุมปากของต้าซือมิ่งยกสูงกว่าเดิม เสียงหัวเราะทุ้มต่ำอันเย้ายวนก็ดังตามมา “ต่อไปคงเป็นสีนี้แล้ว”
เยี่ยนอวี๋ที่แต่เดิมรู้สึกขวยเขินเพราะเสียงหัวเราะของเขาก็เงยหน้าขึ้นจูบดวงตาคู่นั้นเบาๆ “หน้าตาดี จะเป็นอย่างไรก็ดูดี”
“ข้าขอชิมหน่อยซิ”
“อะไรนะ” เยี่ยนอวี๋ไม่ทันเข้าใจก็ถูกจูบลงไปแล้ว
ต้าซือมิ่งจึงพูดขึ้นว่า “ชิมดูว่ากินขนมไหน่เกาของเสี่ยวเป่าหรือไม่ ปากจึงหวานเช่นนี้”
“จิ๊บ!” ลูกไก่ที่บินเข้าใกล้ได้แล้วก็บอกว่า “เจ้านายไม่ได้กิน จิ๊บจิ๊บกินแล้ว!”
เยี่ยนอวี๋ทำท่าจะผลักต้าซือมิ่งออก แต่ฝ่ายหลังไม่ได้ปล่อยมือ เขายังคงโอบเอวบอบบางของนางไว้ แสดงท่าทีกระจ่างว่า “อ๋อ ไม่ได้กิน”
“ใช่!” ลูกไก่บอกว่าตนเป็นพยานได้ อีกทั้งมันยังถามว่า “นายท่านน้อยจะตื่นเมื่อไหร่หรือขอรับ”
เมื่อเยี่ยนอวี๋ได้ยินคำถามนี้ก็ไม่ได้ผลักต้าซือมิ่งออกไปอีก นางตอบว่า “เสี่ยวเป่าเหนื่อยมานาน คงต้องนอนนานหน่อย ก่อนหน้านี้ยังนอนไม่เต็มอิ่มก็สะดุ้งตื่นทุกครั้ง ครานี้จะได้นอนดีๆ แล้ว”
“ก็ไม่แน่หรอก อีกประเดี๋ยวคงหิวจนตื่น” ต้าซือมิ่งรู้เวลาทานข้าวของเด็กน้อยเป็นอย่างดี
ลูกไก่ดีใจ “ดีเลย! เช่นนั้นพวกเราขึ้นไปก่อนดีหรือไม่ขอรับ”
“ไปถันเถอะ” เยี่ยนอวี๋ตอบ ก่อนจะผลักชายผู้ติดภรรยาคนนี้ออกไป
ครานี้หรงอี้ที่ติดเมียยอมปล่อยมือที่โอบเอวนางไว้ เปลี่ยนมาจับมือของนางแทน และยังต้องจับแบบสอดประสานแนบแน่นด้วย
“ออกไปได้แล้วหรือ” ตี้อั้นที่แสดงตัวว่าไม่ได้เห็นอะไรเลยก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมา “ขึ้นไปเลยหรือไม่”
“ไปเถอะ” เยี่ยนอวี๋มองไปข้างบน นางสัมผัสได้ว่าคิเมียราและพิกซียังอยู่ เมื่อไม่นานมานี้นางยังได้ยินบทสนทนาของพวกมันด้วย นางเก็บไว้ในใจ รู้ว่าหินปราบมารที่มีปัญหาคงเป็นหินก้อนที่ผนึกระหว่างแดนเทพและแดนมืดไว้
…
ในขณะเดียวกัน ณ ต้าซย่า
หลังจากที่อินสวินอี้ได้รับข้อมูลละเอียดจากเหอซง เขาก็วางแผนโจมตีราชสำนักและจัดขบวนทหารแล้ว อีกทั้งเขายังส่งสารไปให้อินหลิวเฟิง
อินหลิวเฟิงที่ยังอยู่ในสำนักชางอู๋จึงได้รับ ‘สาส์นด่วน’ ของท่านพ่อ เรียกตัวเขาเข้าไปช่วยเหลือเมืองหลวง “พ่อข้านี่ก็จริงๆ เลย คิดถึงข้าก็บอกมาตรงๆ สิ ทำเป็นบอกว่าให้ข้าเข้าไปช่วยเหลือ ข้าจะไปช่วยอะไรได้เล่า”
“เก็บอาการหน่อยขอรับ” เอ้อร์เหมาพูด “อีกอย่างนะ นายน้อยท่านอยู่เมืองชางอู๋อย่างสุขสบายมานานเช่นนี้แล้ว ถึงเวลายืดเส้นยืดสายบ้างแล้วล่ะ พลังเลื่อนขั้นของท่านครั้นเมื่ออยู่แดนผนึกก็ยังไม่ได้อวดให้ใครดูเลย”
“ก็จริง!” อินหลิวเฟิงเก็บจดหมายก่อนจะไปกล่าวลาเยี่ยนชิง
เยี่ยนชิงคิดว่าเมืองหลวงยังมีฮ่องเต้หยวนคังที่ไม่น่าไว้ใจคนนั้นจึงถามเม่ยเอ๋อร์ว่า “เม่ยเอ๋อร์ เจ้าไปกับนายท่านน้อยอินดีหรือไม่”
“เจ้าค่ะ” เม่ยเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนอย่างเด็ดเดี่ยว ถึงอย่างไรเยี่ยนชิงก็จัดแจงเชลยศึกลัทธิเซิ่งเหลียนเรียบร้อยแล้ว นางไม่ต้องคอยป้องกันจิ่วอิงกินพวกเขาแล้ว ทว่าจิ่วอิงที่อาจจะมีหู ‘สิบแปดใบ’ ก็ได้ยินเข้า มันจึงรีบปรากฏตัวในเข้ามาทันที “ให้ข้าปู่จิ่วของเจ้าไปเอง!” ไปแล้วก็ไม่มีคนคอยห้ามเขากินคนแล้ว!
แต่เม่ยเอ๋อร์ปฏิเสธทันที “ไม่ได้ คุณหนูใหญ่ให้เจ้าเฝ้าสำนัก”
“ข้าไม่สน!” จิ่วอิงโมโหมาก “เจ้าอย่ามาคิดบงการข้า! บอกไว้เลยนะ คนที่บงการปู่จิ่วของเจ้าได้ยังไม่เกิดเลย!” ถึงอย่างไรก็ยังไม่เกิดในโลกใบนี้!
“เจ้าแน่ใจหรือ” เม่ยเอ๋อร์มองจิ่วอิงตัวนี้ได้ทะลุปรุโปร่ง เป็นแค่ลูกหนูตัวหนึ่ง ดูน่ากลัวและยังพูดจาโอหัง แต่อันที่จริงขี้ขลาดมาก
จิ่วอิงมั่นใจมาก “แน่นอน! ครั้งนี้ข้าต้องไปให้ได้! ใครก็ห้ามปู่จิ่วของเจ้าไม่ได้ทั้งนั้น!”
เม่ยเอ๋อร์กำลังจะแย้งกลับ ทว่าจิ่วอิงหนีไปแล้ว! มันหิ้วอินหลิวเฟิงและเอ้อร์เหมาวิ่งแจ้นไปทางเมืองหลวงอย่างคนชำนาญทางแล้ว
“นี่มัน…” เยี่ยนชิงตะลึงงัน เขาไม่คิดว่าจิ่วอิงจะอาจหาญเช่นนี้! ไม่ขี้ขลาดเลยสักนิด!
ทว่าในความเป็นจริง ไม่มีใครบงการจิ่วอิงได้หากต้าซือมิ่งไม่อยู่จริงๆ ส่วนเรื่องกินคน หากไม่ใช่เพราะเม่ยเอ๋อร์คอยเฝ้าทุกวันทุกเวลา มันคงแอบกินไปแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย!
“เช่นนั้นข้าอยู่เฝ้าสำนักเองเจ้าค่ะ” เม่ยเอ๋อร์ทำได้เพียงพูดเช่นนี้ จะไปกันหมดก็คงไม่ได้ หวังเพียงว่าจิ่วอิงจะไม่ได้ไปต่อ นางก็คงต้องไปเอง
ในขณะเดียวกัน…
จิ่วอิงหายวับมาเขตโยวตู จากนั้นมันก็สำรวจอย่างกล้าๆ กลัวๆ คงจะกำลังสัมผัสกลิ่นอายของต้าซือมิ่ง เมื่อมันมั่นใจแล้วว่าเขายังไม่ออกมา มันก็เตรียมจะหายตัวอีกครั้ง!
ทว่า…
“เอ๋?”
จิ่วอิงที่พบว่ามีสิ่งผิดปกติก็เงยหน้ามองท้องฟ้าทันที
โชคดีที่จิ่วอิงในบัดนี้กลายร่างเป็นคนแล้วจึงไม่ได้ทำให้ผู้คนแตกตื่น ทว่าเนื่องจากเขาหิ้วอินหลิวเฟิงและเอ้อร์เหมามาจึงมีทหารโยวตูเร่งมาหาแล้ว “นายน้อย!?” นายท่านน้อยของพวกเขาถูกลักพาตัว!?
“ไม่เป็นอะไร!” อินหลิวเฟิงรีบเอ่ยก่อนจะพักหายใจ เขาปรึกษากับจิ่วอิงว่า “ท่านปู่จิ่ว จะว่าไปแล้วท่านปล่อยมือให้ข้าและเอ้อร์เหมาได้พักหายใจหน่อยได้หรือไม่”
“ได้” ครั้งนี้จิ่วอิงกลับคุยด้วยง่ายเพราะว่าเมื่อเขาปล่อยตัวทั้งสองแล้วก็หายตัวไปทางภาพม้วนขุนเขาและท้องทะเลที่อยู่บนท้องฟ้าทันที ทำเอาอินหลิวเฟิงตกใจ “ท่านปู่จิ่ว! ท่านทำอะไรน่ะ”
“อย่ามายุ่ง!” จิ่วอิงไม่ได้มีนิสัยชอบรายงานต่อผู้ใด แต่การกระทำของเขาก็เรียกความสนใจของอีอิ่น
อีอิ่นปรากฎกายบนท้องฟ้าในทันทีก็เห็นจิ่วอิง เมื่อเขาเห็นรูปร่างของฝ่ายตรงข้าม เขาก็มั่นใจว่านี่คือจิ่วอิง อสูรร้ายที่ลู่หมิงกล่าวถึงเป็นพิเศษในจดหมาย ทั้งสองจึงไม่ได้เกิดการปะทะที่เกินความจำเป็น
ทว่าเมื่ออินหลิวเฟิงเห็นอีอิ่นปรากฎบนท้องฟ้า เขาก็รีบเอ่ยแนะนำว่า “อาจารย์จี้จิ่ว นั่นคือท่านปู่จิ่วอิง ลูกน้องของต้าซือมิ่ง ไม่มีเจตนาร้ายขอรับ”
“ข้ารู้” อีอิ่นพยักหน้าถามว่า “จิ่วอิงอ๋องต้องอยู่เฝ้าสำนักชางอู๋มิใช่หรือ เหตุใดจึงมาโยวตู โยวตูมีปัญหาอะไรหรือ”
อินหลิวเฟิงกำลังจะบอกว่าไม่มี จิ่วอิงกลับชิงพูดก่อนว่า “มี!”
อีอิ่นสีหน้าเคร่งขรึมทันที “จิ่วอิงอ๋องโปรดชี้แนะ”
“ข้ายังไม่รู้ว่าคือปัญหาอะไร แต่ตาแก่เช่นเจ้าต้องระวังหน่อย โชคดีที่ข้าปู่จิ่วของเจ้ามาแล้ว มิเช่นนั้นอาจจะเกิดเรื่องใหญ่” จิ่วอิงพูดจบก็ลงจากภาพม้วนขุนเขาและท้องทะเลมายังพื้นดิน และหิ้วอินหลิวเฟิงและเอ้อร์เหมาเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
อีอิ่น “…”
เขายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ทว่าอีอิ่นกลับไม่ได้ซักไซ้ถามต่อ เขาเพียงแค่จำคำเตือนของจิ่วอิงขึ้นใจ ที่สำคัญคือเขาเองก็ตามพวกเขาไปไม่ทันด้วย
ในขณะเดียวกัน… ณ เมืองหลวงตี้ชิว
อินหลิวเฟิงก็ได้ร่วมมือกับตระกูลโหย่วฮู่ ตระกูลโหย่วหนานและตระกูลเจินสวินที่ซ่อนตัวอย่างลับๆ รวมถึงกำลังโยวตูที่แต่เดิมซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงเปิดฉากถล่มราชสำนัก!
“ท่านเจ้าสำนัก! ประตูทิศตะวันออกถูกโจมตี!”
“ท่านเจ้าสำนัก! ประตูทางทิศตะวันตกก็ถูกโจมตีแล้ว!”
“ท่านเจ้าสำนัก! ประตูทางทิศใต้ก็จบแล้ว!”
…
สารจากทหารรายงานถึงกู้ปิ่นคุงและเจ้าสำนักสี่ท่านอย่างต่อเนื่อง ทำให้สีหน้าพวกเขาย่ำแย่ยิ่งนัก พวกเขารู้ดีว่าเอาไม่อยู่แล้ว
“อมิตาพุทธ เจ้าสำนักกู้รีบพาฝ่าบาทออกจากราชสำนัก ข้าและเจ้าสำนักนิรนามและเจ้าสำนักชิงเหลียนจะรั้งเป็นด่านสุดท้ายไว้ให้เอง” เจ้าสำนักพุทธะกล่าว
เจ้าสำนักนิรนามและเจ้าสำนักชิงเหลียนก็เข้าใจว่านี่คือแผนการที่ดีที่สุด เพราะว่ากู้ปิ่งคุนเป็นผู้มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งสี่
กู้ปิ่งคุนก็มิได้ชักช้าหรือแกล้งทำเป็นถ่อมตน เพราะไม่มีเวลาแล้ว เขาประสานมือพูดทันทีว่า “ข้าจะไม่ทำให้เจ้าสำนักทั้งสี่ผิดหวัง ข้าจะพาฝ่าบาทออกจากเมืองหลวงให้ได้! ไว้พบกันใหม่”
“พบกันใหม่!…”
เจ้าสำนักทั้งสี่กล่าวอำลากันเสร็จ กู้ปิ่งคุนก็พากลุ่มทหารคนสนิทของตนเดินไปทางห้องบรรทมของฮ่องเต้หยวนคังทันที พวกเขาถอยทัพมาอยู่ข้างหน้าตำหนักหันกวงนานแล้ว ไม่สามารถถอยได้มากกว่านี้อีกแล้ว
ห้องบรรทมของฮ่องเต้หยวนคังอยู่ด้านหลังของตำหนักหนักวง เมื่อกู้ปิ่นคุงผลักประตูเข้าไปก็ตกใจกับกระดูกนับไม่ถ้วน แม้จะเตรียมใจไว้แต่แรกแล้วก็ตาม
ทว่าตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจติดตามฮ่องเต้หยวนคัง เขาก็รู้ว่าไม่มีทางถอยแล้ว เขาทำได้เพียงเมินเฉยต่อกระดูกเหล่านั้นและรีบคุกเข่าพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมขอล่วงเกิน เป็นเรื่องด่วนจริงๆ กระหม่อมทำได้เพียงต้องพาพระองค์ออกจากราชสำนักแล้วจึงค่อยวางแผนกันอีกครา”
เมื่อพูดจบ กู้ปิ่นคุงกำลังจะลุกขึ้นไปแบกฮ่องเต้หยวนคังเพื่อออกจากที่นี่ แต่เขาเพิ่งจะลุกขึ้น จู่ๆ ฮ่องเต้หยวนคังที่แต่เดิมมีสภาพปางตายก็ลืมตาขึ้น “บุกถึงตรงไหนแล้ว”
กู้ปิ่งคุนสะดุ้งโหยง ลอบดีใจที่เมื่อครู่นี้ไม่ได้กระทำการลงไปอย่างไร้มารยาท เขาทูลรายงานอย่างจริงจังว่า “เหลือเพียงประตูทางทิศเหนือที่พอจะต้านไว้ได้พ่ะย่ะค่ะ โจรกบฏรวมตัวกันจะบุกเข้ามาในตำหนักหันกวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฮึ!” ฮ่องเต้หยวนคังหัวเราะเย้ยหยันพลางลุกขึ้นนั่ง แม้ร่างกายจะอ่อนแอมาก แต่สีหน้าดูเหมือนจะดีขึ้นแล้ว เพียงแต่ว่ากลิ่นอายมรณะที่แผ่ซ่านออกมาจากรอบกายเขา แม้แต่กู้ปิ่งคุนก็ยังสัมผัสได้!
ทว่าแทบจะในเวลาเดียวกันนั้น! บัดนี้…
“อุแว้!”
จิ่วอิงมาแล้ว
ในขณะเดียวกัน!
ครอบครัวเยี่ยนอวี๋ก็ออกมาจากขุมนรกแห่งความมืดแล้ว
…