เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 429 งานวิวาห์อันพิเศษ! เทียนโฮ่วคือเทพเลว?
“คุกเข่าลง”
เมื่อเยี่ยนอวี๋เอ่ย กองทัพสวรรค์รวมถึงกัวเทาก็ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันไร้รูปของเทพ ทุกคนคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงกันคล้ายกับการโจมตีเมื่อครู่นี้ของพวกเขา เหล่าชาวเมืองน้อยใหญ่ในเมืองไป๋เฟิงที่เห็นฉากนี้ต่างหายใจไม่ทั่วท้อง!
“เจ้า…”
แววตาของท่านเทพผิงเฉิงที่มองเยี่ยนอวี๋พลันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากความไม่ใส่ใจกลายเป็นความหวาดกลัว กระทั่งยำเกรง!
เพราะถึงแม้เขาจะไม่ได้ตกเป็นเป้าหมายแรงกดดันศักดิ์สิทธิ์ของเยี่ยนอวี๋ แต่เขาก็ยืนอยู่ข้างกายกัวเทา ดังนั้นเขาก็พอจะรู้สึกถึงแรงกดดันศักดิ์สิทธิ์ของเยี่ยนอวี๋ได้
ในขณะเดียวกัน…
ฟิ้ว!
ท่านเทพซ่านเฉิงที่หายตัวกลายเป็นแสง เขาคิดจะฉวยโอกาสนี้หนีออกจากที่นี่!
ใช่แล้ว หนีจากที่นี่!
ท่านเทพซ่านเฉิงในบัดนี้มั่นใจแล้วว่า กลุ่มคนที่สวมชุดมงคลและยังมีอสูรร้ายเช่นจิ่วอิงต้องไม่ใช่เทพเถื่อนที่มาจากโลกมนุษย์อย่างแน่นอน ยิ่งไม่ใช่เพียงปีศาจต้นไม้ด้วย
ประการแรก เทพเถื่อนไม่มีทางแข็งแกร่งเช่นนี้!
ประการที่สอง ปีศาจต้นไม้ไม่มีทางครอบครองแรงกดดันศักดิ์สิทธิ์อันบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่จนแม้แต่กองทัพสวรรค์ยังต้องยอมจำนนเช่นนี้
ดังนั้นท่านเทพซ่านเฉิงจึงเลือกที่จะหนีออกจากที่นั่นอย่างไม่ลังเล คิดจะไปส่งข่าวให้ท่านเทพอี้หยาง รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด
แต่แล้ว…
วิ้ง!
ต้นไม้โบราณไป๋เฟิงขนาดใหญ่ก็เปล่งแสงสีขาวประกายบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเดิมออกมา
จากนั้น…
วิ้ง!
ท่านเทพซ่านเฉิงที่กลายร่างเป็นแสงหายตัวไปก็ถูกดีดกลับมาอย่างรวดเร็ว!
ปัง!
ท่านเทพซ่านเฉิงที่ถูกดีดกลับมาล้มลงที่เดิมหัวเกือบทิ่ม
ซู่!
ซู่ๆๆ!…
เมืองไป๋เฟิงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง รากทั้งหมดที่แผ่ขยายเข้าไปในเมืองโดยฝีมือของท่านเทพผิงเฉิง บัดนี้ล้อมเมืองไว้แล้ว มันแผ่กระจายจากพื้นดินสู่ท้องฟ้าเชื่อมต่อกับเรือนยอดอันเขียวชอุ่มของต้นไม้ กลายเป็นกรงไม้โบราณที่แข็งแกร่งมิอาจทำลายได้
ภาพเช่นนี้ ทำเอาชาวเมืองไป๋เฟิงหายใจไม่ทั่วท้องอีกครั้ง “ซึ๊ด!”
“นี่ถึงจะเป็นการปิดเมืองที่แท้จริง!?”
“เกรงว่าจะใช่ ข้าจำได้ว่าในตำราบันทึกไว้ว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นกรงขังได้ยาก มหาเทพก็มิอาจทำลายได้”
“แม่เจ้า…”
เหล่าทวยเทพเมืองไป๋เฟิงตะลึงงัน
เมื่อเอ้อร์เหมาได้ยินบทสนทนาเช่นนี้ก็อดแขวะพวกเขากับนายน้อยไม่ได้ว่า “นายน้อย รู้สึกว่าเมืองสวรรค์ในสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจะไม่ได้ต่างจากโยวตูของเราเลยนะขอรับ”
อินหลิวเฟิงไม่ได้สนใจเอ้อร์เหมา เขากำลังมองเยี่ยนอวี๋ เพราะว่าตั้งแต่ที่ขึ้นมาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ทุกครั้งที่เยี่ยนอวี๋ลงมือ ผนึกในร่างกายของเขาก็จะสั่นสะเทือน อีกทั้งยังรุนแรงขึ้นทุกครั้ง?!
“นายน้อย สายตาของท่านดูผิดปกติ ท่านคงไม่ได้คิดอะไรกับคุณหนูใหญ่เยี่ยนหรอกนะขอรับ” เอ้อร์เหมาดูออกว่านายน้อยของพวกเขาผิดแปลกไป “ท่านอยู่เฉยๆ เถอะ ตอนนี้คนเขาเป็นฮูหยินของต้าซือมิ่งแล้ว”
“ไปให้พ้น!” อินหลิวเฟิงไม่อยากคุยกับลูกน้องโง่เขลาคนนี้
แต่เห็นได้ชัดว่าต้าซือมิ่งหูดี เมื่อได้ยินดังนั้น เขาก็หันไปปรายตามองอินหลิวเฟิงทีหนึ่ง ทำเอาฝ่ายหลังเสียวสันหลังวาบ จนเกือบจะอยากอธิบายสักเล็กน้อย
แต่เด็กน้อยในครานี้ก็ชี้ไปที่กัวเทาที่กำลังคุกเข่าด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เลว!”
หากไม่ใช่เพราะต้าซือมิ่งจับกำปั้นข้างหนึ่งของเด็กน้อยไว้ เด็กน้อยคงปล่อยค้อนออกมาตีคนแล้ว
ต้าซือมิ่งที่ห้ามปรามเด็กน้อยใช้กำลัง เขากลับไม่ได้กังวลว่าจะทุบตีจนคนเขาตาย แต่เป็นเพราะ… “เจ้ายังเด็ก ห้ามใช้ถี่เกินไป มิเช่นนั้นจะหิวเร็วนะ”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าทำหน้ามุ่ย ครั้นทำท่าจะแย้งอะไร เยี่ยนอวี๋ก็เดินมาข้างกายสองพ่อลูก มือข้างหนึ่งยังลูบศีรษะโล้นของเด็กน้อย “เสี่ยวเป่าเด็กดี เชื่อฟังท่านพ่อของเจ้านะ”
“เลว!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าถลึงตามองกัวเทาที่กำลังคุกเข่าอย่างโมโห รู้สึกค้างคาใจยิ่งนัก!
ส่วนกัวเทาในบัดนี้รู้สึกถึงเพียงแรงกดดันมหาศาลที่กดทับบนร่างกายของตนเองรุนแรงขึ้นอีกเล็กน้อย ทำให้ถึงแม้เขาจะคุกเข่าอยู่ก็รู้สึกทนไม่ไหวจนเหงื่อไหลอาบหลังแล้ว และยังรู้สึกหายใจลำบากขึ้นมาก
กองทัพสามพันนายที่เหลือก็คุกเข่าทรุดตัวอย่างมิอาจทรงตัวได้จนพากันล้มเสียงดัง ตุบๆ แล้ว
“ให้ตายเถอะ!” กัวเทาสีหน้าซีดเผือด “เจ้าคือผู้ใดกันแน่ รู้หรือไม่ว่าพวกเรารับใช้สวรรค์ การกระทำเช่นนี้ของเจ้าคือการปรามาสสรวงสรรค์ สบประมาทอำนาจเผ่าสวรรค์! แม้วันนี้พวกข้าจะถูกเจ้ากำราบ เจ้าที่ดูหมิ่นอำนาจเผ่าสวรรค์จะถูกประหารชีวิต!”
“ใช่แล้ว!” ท่านเทพผิงเฉิงที่เพิ่งตั้งสติได้ก็รีบพูดอย่างเกรี้ยวกราด “อี้หยางภรรยาข้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเทียนอ๋องแห่งสวรรค์ชั้นหนึ่งผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นตระกูลชั้นสูงเผ่าสวรรค์จากเทียนตี้ ข้าขอเตือนพวกเจ้าว่าอย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน! รีบปล่อยพวกข้าเดี๋ยวนี้ และขึ้นไปสารภาพผิดที่ตำหนักอี้หยางด้วยตนเองเสีย!”
“ฮึ” เยี่ยนอวี๋ที่มือข้างหนึ่งลูบศีรษะโล้นๆ ของเด็กน้อยเพื่อสงบอารมณ์โกรธเกรี้ยวพลันยิ้มออกมา รอยยิ้มเยือกเย็นและสง่างามราวกับดอกไม้สูงส่งที่ผลิบานในโลกมนุษย์ เฉยเมยทว่าวิจิตรงามงด “เทียนตี้แต่งตั้งหรือ”
ท่านเทพผิงเฉิงที่ถูกรอยยิ้มของเยี่ยนอวี๋กระชากหัวใจเอ่ยพูดตะกุกตะกัก “ชะ ใช่แล้ว!”
“ดี” เยี่ยนอวี๋จำไว้แล้ว “เช่นนั้น เรื่องแทรกแซงโลกมนุษย์ เทียนตี้ก็เป็นผู้สั่งให้พวกเจ้าทำหรือ”
“…มะ ไม่ใช่” ท่านเทพผิงเฉิงสั่นศีรษะตามสัญชาติญาณ กำลังจะปริปาก
จู่ๆ กัวเทากลับตะเบ็งเสียงสูงกลับไปว่า “พวกข้าทำตามบัญชาของผู้ใด เกี่ยวอะไรกับเจ้า ข้าขอเตือนเจ้า เรื่องที่ไม่ควรรู้ก็อย่าถามให้มากความ! ตอนนี้จะให้โอกาสพวกเจ้าครั้งสุดท้าย ปล่อยพวกข้าเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้น…”
พรึบ!
กัวเทาที่ถูกแรงกดดันศักดิ์สิทธิ์ของเยี่ยนอวี๋กดทับจนหน้าคว่ำลงกับพื้นก็เอ่ยคำพูดที่เหลือไม่ออกแล้ว รู้สึกเพียงความเจ็บชาทั้งใบหน้า
ท่านเทพผิงเฉิงเพิ่งจะตระหนักได้ว่า เขาเกือบจะพูดทุกอย่างออกมาอย่างไม่รู้ตัวแล้ว ทำเอาเขาตกใจจนเหงื่ออาบหลัง รู้สึกเพียงสตรีตรงหน้าคือปีศาจชัดๆ ราวกับสามารถสะกดจิตของเทพได้!
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เยี่ยนอวี๋ไม่จำเป็นต้องสะกดจิต ขอเพียงนางแผ่ซ่านกลิ่นอายปฐมราชินีออกมา เทพที่ถูกนางถามก็จะพูดความจริง นี่เป็นสัญชาตญาณโดยกำเนิดที่มิอาจต้านทานได้
ดังนั้นถึงแม้ท่านเทพผิงเฉิงจะตระหนักรู้แล้ว แต่เมื่อเยี่ยนอวี๋จ้องมองเขาอย่างเย็นชา เขาก็อดตบตามความจริงไม่ได้ “ไม่… ไม่ใช่ เทียนตี้จำศีล พวก… พวกข้ารับบัญชาจากเทียนโฮ่ว ตรวจ… ตรวจสอบความผิดปกติในผนึกขุนเขาและท้องทะเล”
“เทียนโฮ่ว?” เยี่ยนอวี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกถึงใครบางคนอย่างเลือนราง “ซีเหอ?”