เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 436 ซัดเผ่าสวรรค์ให้น่วม! ทั้งสวยแกร่งและเท่!
สตรีงามคนนี้ที่นางมั่นใจในตอนแรกว่าเป็นผู้ยุยงให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น อันที่จริงตบะของนางนั้นลึกซึ้งยิ่งนัก นางมิอาจประเมินได้เลย
“เจ้าเป็นใคร” ตี้เซินถามขึ้นทันที เพราะว่านางไม่สามารถรับรู้ภูมิหลังของสตรีนางนี้ได้ สตรีคนนี้ไม่เหมือนกับคุณชายรูปงามที่อุ้มทารกคนนั้นที่ทำให้นางจับกลิ่นอายอันตรายได้ตั้งแต่แรก
แม้แต่เจ้าตัวน้อย ทารกที่ถูกอุ้มไว้ก็ทำให้นางรู้สึกได้ว่าไม่ธรรมดา แต่สตรีคนนี้ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของนางในตอนแรกเลย ทว่าบัดนี้…
ตี้เซินที่ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกคุ้นหน้าเยี่ยนอวี๋ขึ้นมา นางก็อดถามไม่ได้ว่า “ข้าเคยเจอเจ้าหรือไม่” เหมือนกับเคยเจอเมื่อครั้งยังเล็กมาก!?
“ไม่เคย” เยี่ยนอวี๋กลับรู้ดีว่านางไม่เคยเจอองค์หญิงเจ็ด ตอนที่นางตายเทียนตี้ยังไม่มีบุตร จะว่าไปแล้วเด็กคนนี้ก็มีหน้าตาเหมือนเทียนตี้ไม่น้อย ไม่เหมือนซีเหอเลย
เห็นแก่หน้าตาที่คล้ายคลึงกัน เยี่ยนอวี๋เม้มปากเล็กน้อย สั่งว่า “เม่ยเอ๋อร์ มัดตัวพวกเขาผูกไว้กับปู่จิ่ว ส่วนองค์หญิงเจ็ดคนนี้จับมัดและแยกไว้”
“หา?”
“หา?”
เหล่าเทพเช่นผูเอ้อตัวและท่านเทพอี้หยางต่างแสดงความสงสัย พวกเขางงงันอยู่ครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจความหมายของเยี่ยนอวี๋ ถึงแม้จะเข้าใจคำที่พูด แต่เมื่อประกอบเป็นประโยคขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าใจ!
แต่เม่ยเอ๋อร์ไม่เกรงกลัวใดๆ นางเก็บดาบเล่มใหญ่แล้ว “เจ้าค่ะ! คุณหนูใหญ่”
เอ้อร์เหมาไม่กล้าเข้าไปช่วย “คุณหนูใหญ่ คงไม่ต้องให้ข้าน้อยช่วยแล้วใช่หรือไม่ขอรับ” เทพเหล่านี้ดูเก่งกาจมากเลย อีกทั้งยังขยับตัวได้ด้วย หากเขาไปช่วยจริงๆ เกรงว่ายังไม่ทันมัดตัวไว้ได้ เทพเหล่านี้ก็คงฉีกร่างเขาแยกออกจากกระดูกแล้ว
น่าเสียดาย…
“ไปช่วย พวกเขาไม่กล้าทำอะไรเจ้าหรอก มิต้องเป็นห่วง” เยี่ยนอวี๋ไม่ปล่อยให้เอ้อร์เหมาอู้ “หลิวเฟิงก็ไปด้วย แล้วก็พวกเจ้าทั้งสอง รีบไปมัดให้เสร็จ จะได้ไปสวรรค์ชั้นเก้า เราเสียเวลาไปมากแล้ว”
“เอ่อ…”
ในใจของเทพไร้ประโยชน์ต่อต้านอย่างมาก! จริงๆ! ต่อต้านมากจริงๆ!
กองทัพสวรรค์ก่อนหน้านี้ก็แล้วไป ตอนนี้ในเหล่าหมู่เทพนี้ยังมีองค์หญิงเจ็ดผู้เลื่องชื่ออีกคนหนึ่ง! คนหนึ่งคือน้องสาวแท้ๆ ของซื่อฝานเทียนอ๋อง! คนหนึ่งคือเทพเผ่าเดียวกับผูถีเทียนอ๋อง! ส่วนที่เหลือแม้จะไม่มีสถานะอะไร แต่ว่า…
เทพไร้ประโยชน์สององค์ที่กำลังลังเลเตรียมจะไปมัดกลุ่มคนที่ไม่มีสถานะ ทว่าพวกเขาก็ช้าไปเสียแล้ว!
นอกจากเม่ยเอ๋อร์มัดองค์หญิงเจ็ดไว้อย่างบังเอิญพอดี สองนายบ่าวอินหลิวเฟิงและเอ้อร์เหมาจอมเจ้าเล่ห์ คนหนึ่งเลือกมัดผู้ดูแลตำหนักอี้หยาง อีกคนเลือกมัดสาวใช้ของท่านเทพอี้หยาง สมบูรณ์แบบ!
“เอ่อ…”
เทพไร้ประโยชน์สององค์จะร้องให้อยู่แล้ว พวกเขาอยากจะบอกว่าไม่ไปมัดแล้ว แต่ลูกไก่ก็ใช้อุ้งเท้าดึงพวกเขาออกไปแล้ว “รีบไปมัด! มัดให้ปู่จิ่วซะ! ไม่เช่นนั้นจะมัดพวกเจ้าแทน! เร็วเข้า!”
เทพไร้ประโยชน์ทั้งสองที่ต้องลงมือทั้งน้ำตาทำได้เพียงเดินถือเชือกมาหยุดอยู่ตรงหน้าผูเอ้อตัวและท่านเทพอี้หยาง คนแรกยังดี เมื่อเขาพบว่าตนเองถูกแรงกดดันกดทับจนไร้เรี่ยวแรงต่อต้านก็ไม่คิดจะขัดขืนต่อไปแล้ว ถึงอย่างไรองค์หญิงเจ็ดก็ทำอะไรไม่ได้ เขาจึงยอมแพ้ที่จะดิ้นรนแล้ว
แต่ท่านเทพอี้หยางไม่เหมือนพวกเขา “พวกเจ้าบังอาจ! อย่ามาแตะต้องตัวข้า!”
“ข้าน้อยไม่อยากจะแตะต้องตัวท่านแม้แต่น้อยเลยนะขอรับ!” จางเจ๋อเหอเทพไร้ประโยชน์กล่าวน้ำตาคลอ “ข้าน้อยก็ถูกบีบบังคับ ท่านเทพก็ใจกว้างหน่อยเถิดขอรับ อย่ากล่าวมากเลย ดูเทพต้นไม้เป็นตัวอย่างบ้าง”
“ออกไป!” ท่านเทพอี้หยางโกรธกริ้ว “บอกว่าอย่าแตะตัวข้า!”
“ข้าน้อยก็ช่วยไม่ได้ขอรับ” เนื่องจากจางเจ๋อเหอมีประสบการณ์แล้ว เขาจึงมัดได้อย่างคล่องแคล่ว
เมื่อท่านเทพอี้หยางเห็นว่าบุตรชายของตนถูกเทพชั้นผู้น้อยที่ไร้ประโยชน์ย้ายออกไป นางก็ถูกมัดอย่างแน่นหนาหลายเงื่อนแล้ว ความโมโหและความละอายใจมิอาจบรรยายออกมาได้ “บัดซบ! บัดซบ! พวกเจ้ามันบัดซบ!”
ท้ายที่สุดแล้ว… จิ่วอิงที่ลากเชลยศึกทั้งยวงอย่างคล่องแคล่วมาก็ปรากฏข้างหน้าท่านเทพอี้หยาง “เร็วเข้า! นังแก่คนนี้ปากเหม็นที่สุด ผูกไว้กับปู่จิ่วก่อนเลย ให้ปู่จิ่วจัดการก่อน”
“ได้เลย!” เทพไร้ประโยชน์จางเจ๋อเหอเองก็รู้สึกว่าท่านเทพอี้หยางพูดมากเกินไปแล้ว ดูสิ องค์หญิงเจ็ดถูกมัดยังไม่พูดอะไรเลย นางน่ะพูดมากที่สุดเลย น่ารำคาญ!
“ให้ตายเถอะ!” เมื่อท่านเทพอี้หยางเห็นจิ่วอิง ย่อมคิดถึงฉากที่เห็นเมื่อครั้นเพิ่งมาถึงเมืองไป๋เฟิง นางเห็นสภาพทุลักทุเลอย่างหาที่สุดไม่ได้ของท่านเทพผิงเฉิงอีกครั้ง…
นางอดกรีดร้องเสียงแหลมออกมาไม่ได้ “นังสารเลวชุดแดงนั่น! ข้าเตือนเจ้าไว้เลยนะ รีบสั่งให้คนของเจ้าหยุดซะ! มิเช่นนั้นข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น!”
“แหม! น่ากลัวจังเลย!” จิ่วอิงกล่าวอย่างเหี้ยมเกรียม ดวงตาทั้งสิบแปดดวงมีเพียงการประชดประชัน
ส่วนองค์หญิงเจ็ดตี้เซินที่ถูกมัดเช่นกัน หลังจากที่นางระเบิดพลังไท่สื่อหลายคราแต่ก็ถูกกดทับกลับไปทุกครา นางก็ตวาดอย่างโมโหด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว “พวกเจ้าคิดจะเป็นปรปักษ์กับเผ่าสวรรค์ของข้าเช่นนี้หรือ! แน่ใจแล้วหรือ!”
ตี้เซินที่ไม่เคยถูกกดขี่เช่นนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกถึงความไร้พลัง ไม่ว่านางจะปลดปล่อยพลังของตนออกมาอย่างไร รอบกายก็เหมือนจะมีกลิ่นอายอันคลุมเครือที่สามารถขจัดพลังที่นางระเบิดออกมาได้
ที่สำคัญคือนางยังไม่สามารถจับต้นตอของกลิ่นอายนี้ได้ ทำให้นางมิอาจมั่นใจได้ว่าพลังเหล่านี้ที่กดทับนางมาจากจักรพรรดิอสูรคนนั้นหรือมาจากสตรีคนนั้น!
นี่ทำให้นางที่แต่เดิมยังพออดกลั้นไว้ได้ บัดนี้ก็อดกลั้นไม่ไหวแล้ว! มิหนำซ้ำการกระทำของเม่ยเอ๋อร์ยังหยาบคายมาก เชือกเส้นหนึ่งมัดไว้ที่หน้าอกของนาง “บังอาจ! นังสารเลว! ออกไปปป”
ตี้เซินที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นปลดปล่อยเจตนาสังหารไปที่เม่ยเอ๋อร์ภายใต้พลังกดดันของเยี่ยนอวี๋ หากไม่ใช่เพราะเม่ยเอ๋อร์ชักดาบเล่มใหญ่ออกมาขวางไว้ทัน เกรงว่าคงบาดเจ็บหนักแล้ว
“มารดามันเถอะ!” เอ้อร์เหมาที่มัดตัวนางฟ้าอาวุโสเสร็จก็ลูบหน้าอกตนเอง “โชคดีที่ข้าไม่ใช่คนที่มัดองค์หญิงคนนี้ ไม่เช่นนั้นข้าคงตายไปแล้ว”
เสียดายที่การระเบิดของตี้เซินถูกเยี่ยนอวี๋กดทับกลับไปอย่างรวดเร็ว “ความสามารถไม่เลว แต่เจ้าไม่ควรยุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ตี้เซินที่ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงก็หันไปมองเยี่ยนอวี๋ทันที “ข้าเป็นองค์หญิงแดนสวรรค์ เจ้าบุกรุกมาแดนสวรรค์ของข้า ยังบอกว่าข้ายุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง!? นังสารเลว! สังหารข้าตอนนี้เสียเลยดีกว่า มิเช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าเสียใจ!”
เมื่อคำกล่าวนี้ดังขึ้น… ต้าซือมิ่งที่ถูกเยี่ยนอวี๋บังไว้ก็กำลังจะ ‘ออกมา’ เยี่ยนอวี๋กลับตอบอย่างเยือกเย็นว่า “เจ้าข่มขู่ข้ามิได้หรอก แม้จะเป็นแม่หรือพ่อเจ้ามาก็ข่มขู่ข้าไม่ได้!”
เมื่อพูดจบ เยี่ยนอวี๋ก็มัดตี้เซินด้วยตนเอง นางยังกล่าวเย็นชาว่า “หากเจ้าเป็นตัวแทนของเผ่าสวรรค์ พวกเจ้าเป็นตัวแทนของเผ่าสวรรค์ในตอนนี้ เช่นนั้นเผ่าสวรรค์ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดำรงอยู่”
นี่คือคำบอกเล่า และคือความในใจของเยี่ยนอวี๋
ครานั้นเหตุใดนางจึงต้องแยกสามโลก ผนึกแดนมืดวิญญาณอสูรไว้เพียงลำพัง เพราะว่าปีศาจในแดนมืดเป็นอสูรกระหายเลือด พวกมันเข่นฆ่าทุกสิ่ง! ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นในสายตา เห็นชีวิตอื่นเป็นสิ่งไร้ค่า แต่เผ่าสวรรค์ในทุกวันนี้ เผ่าสวรรค์ที่เยี่ยนอวี๋เห็น พวกเขาก็ไม่ต่างกัน
เยี่ยนชื่อเฟิงเป็นเช่นนี้ ท่านเทพผิงเฉิงเป็นเช่นนี้ กองทัพสวรรค์ของตำหนักอี้หยางเป็นเช่นนี้ องค์หญิงเจ็ดคนนี้ก็เป็นเช่นนี้! พวกเขามีสิทธิ์อะไรคิดว่าพวกเขาสูงส่งกว่าผู้อื่น
“ปู่จิ่ว ลากพวกเขา เราขึ้นไปตำหนักสวรรค์ตอนนี้เลย ข้าล่ะอยากเห็นจริงๆ ว่าเผ่าสวรรค์เน่าเฟะถึงขั้นไหนแล้ว!” เยี่ยนอวี๋พูดพลางโยนตี้เซินให้เม่ยเอ๋อร์ราวกับโยนกระสอบทราย
หากไม่ใช่เพราะไว้หน้าเทียนตี้ นางคงอัดนังหนูบัดซบคนนี้ด้วยตนเองไปแล้ว! เป็นใครกันบังอาจมาพูดจาข่มขู่นาง
“ได้เลย! ได้เลย!” จิ่วอิงชอบอกชอบใจ มันรู้สึกว่าภรรยาของต้าซือมิ่งคนนี้น่าพอใจมากขึ้นทุกที มีเพียงเรื่องที่ไม่ให้กินคนนี่แหละที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
ตี้เซินที่ถูกโยนไปอย่างตามใจชอบก็หน้าดำหน้าแดงทันที “นังสารเลว! อย่าคิดว่าเจ้ามีจักรพรรดิอสูรหนุนหลังอยู่แล้วเจ้าจะทำอะไรก็ได้! รอก่อนเถอะ! อย่าให้ตกถึงมือข้า มิเช่นนั้น…”
เพี๊ยะ! เยี่ยนอวี๋ตบหน้าตี้เซินฉาดใหญ่ นางยิ้มเย็นชา “ปิดปากของเจ้าซะ มิเช่นนั้นศักดิ์ศรีของพ่อเจ้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”
เจ้าคนพวกนี้ ไม่ถามถูกผิด มาถึงก็จะลงโทษอย่างเดียว ใครกันปล่อยให้มีนิสัยเลวร้ายเช่นนี้! คิดว่าตนเองเป็นเผ่าสวรรค์ก็สูงส่งกว่าผู้อื่นรึ!
“เจ้า…” ตี้เซินถูกตบจนงงงัน นางชะงักไปแล้ว “เจ้าตบข้า…” ตี้เซินที่ไม่เคยถูกตบตีตั้งแต่เล็กจนโตรู้สึกถึงความเจ็บปวดแสบร้อนบริเวณแก้มข้างซ้าย!
“ใช่ ทำไมรึ” เยี่ยนอวี๋ยิ้มเย็นชา “ไม่ตบพวกเจ้าสักทีสองทีคงลืมไปแล้วว่าสามโลกเท่าเทียม! เผ่าสวรรค์ที่เจ้าพูดถึงก็แค่ได้รับสิทธิ์ในการจัดการเท่านั้น”
“เจ้า…” สายตาของตี้เซินเต็มไปด้วยความเกลียดชัง!
ในขณะเดียวกัน…
วิ้ง!
จู่ๆ สวรรค์ชั้นหนึ่งก็สะเทือนอย่างรุนแรง! การสะเทือนเช่นนี้… ทำให้ท่านเทพอี้หยางที่ถูกผูกไว้กับหางของจิ่วอิงรู้สึกคุ้นเคยมาก “ท่านพี่!? ท่านพี่มาแล้ว?!”