เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 44 คนวิปริตสองคน
“ปรมาจารย์วิญญาณของสำนักชางอู๋!”
“ปรมาจารย์วิญญาณของสำนักได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว!…” ทุกแห่งในสำนักชางอู๋ ทั้งในและนอกเมืองชางอู๋ ทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างพร่างพรายนี้ หลายคนต่างก็มุ่งสายตาจับจ้องไปยังสำนักชางอู๋โดยมิได้นัดหมาย
ปุยหิมะกําลังโปรยปราย แสงสว่างกระทบต้นอู๋ถงก่อให้เกิดเงาที่ดูเหมือนพระเพลิง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถละสายตาได้! ต่างก็จับจ้อง เงยหน้ามองอย่างอดไม่ได้
“ต้องเป็นเขาแน่” อินหลิวเฟิงมองไปที่เงาของต้นอู๋ถงด้วยความมั่นใจ กลิ่นอายภายในร่างกายอันร้อนจัดเกิดพลุ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา ทว่ากลิ่นอายอันเกรี้ยวกราดนี้ กลับไม่ทะลักออกจากร่างกายเขาแม้แต่น้อย นอกจากเยี่ยนอวี๋ที่มองทะลุถึงสายเลือดของเขาได้ รวมไปถึงเยี่ยนชิงผู้ที่รู้เส้นสนกลในอยู่แล้ว ส่วนคนอื่นล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าเขามีสายเลือดวิหคทมิฬ ทั้งยังเป็นสายเลือดบริสุทธิ์อีกด้วย
เพียงแต่…
ณ เวลานี้ขณะที่สายตาทุกคู่จับจ้องมายังสำนักชางอู๋ ทว่าเยี่ยนเสี่ยวเป่ากลับสับสน “อ๋า? “
เยี่ยนอวี๋เองก็ขมวดคิ้วมุ่น “หายไปแล้ว?”
“อ้ะเนะเนะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าเอี้ยวตัวอย่างร้อนรน เขาพบว่ากลิ่นอายอันคุ้นเคยได้หายไปแล้ว
เยี่ยนอวี๋ลูบศีรษะลูกเบาๆ หมุนตัวเขารอบหนึ่ง ก่อนจะให้เข้าไปอยู่ในผ้าห่อตัวตามเดิม พลางตบเบาๆ อย่างปลอบโยน “เสี่ยวเป่าไม่รีบนะ แม่จะรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“อ้ะๆ…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าพึมพํา
เยี่ยนอวี๋ยิ้มและหอมเจ้าตัวน้อยอีกหนึ่งฟอด “จะต้องอดทนนะลูก”
“เนะ” เยี่ยนเสี่ยวเป่าพึมพำ ขยับตัวให้เข้าที่เข้าทาง อ้าปากหาวหวอดราวกับว่าตัวเองใช้พลังงานไปจนหมดแล้ว
“นอนเถิด” เยี่ยนอวี๋รู้ว่าเมื่อครู่นั้นลูกตื่นเต้นจนเกินเหตุ จึงต้องพักผ่อนให้เพียงพอ
ขณะที่กล่อมลูกนอนอยู่นั้น เยี่ยนอวี๋ก็เดินบ่ายหน้าไปยังศูนย์กลางเขตหวงห้ามของสำนักชางอู๋ ซึ่งเป็นหอคอยโบราณ
ภาพเงาวิญญาณของสำนักชางอู๋ ถูกปล่อยออกมาจากด้านในหอคอยโบราณ แต่เยี่ยนอวี๋รู้ว่ามิติที่นางเพิ่งจะสัมผัสได้ต่างหาก ถึงจะเป็นสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยแก่นพลังวิญญาณมากที่สุดในสำนักชางอู๋ก็ตาม
แต่มิตินั้นได้ ‘หายไป’ พร้อมกับการปรากฏตัวของปรมาจารย์วิญญาณ อย่างน้อยนางก็ไม่สามารถสัมผัสได้ชั่วขณะ ดูเหมือนว่านางต้องแข็งแกร่งขึ้นแล้วจริงๆ
“…ท่านอาจารย์” เยี่ยนชิงที่เห็นบุตรสาวและหลานชายตัวน้อยกำลังเดินออกไปไกลขึ้นเป็นลำดับ เขามองอาจารย์ที่ดึงเขาไว้อย่างไม่เข้าใจ “ให้เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์กับเสี่ยวเป่าเข้าไปเช่นนี้ได้หรือขอรับ เราจะไม่ตามไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ต้องหรอก ปรมาจารย์วิญญาณอยากเจอพวกเขา ไม่ใช่เรา” หยางชีซานทราบเป็นอย่างดี
“ขอรับ” เยี่ยนชิงก็รับรู้ได้เช่นกัน แต่เขาอดเป็นห่วงไม่ได้ที่จะปล่อยเด็กน่ารักทั้งสองคนไปกันเองแบบนั้น “จะไม่เกิดเรื่องใช่หรือไม่ขอรับ”
“จะเกิดเรื่องได้ที่ไหนกันล่ะ” หยางชีซานเกือบจะกลอกตา “จะว่าไป หลังจากที่เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์คลอดบุตรแล้ว สังขารร่างกายกลับสามารถดึงดูดความสนใจจากปรมาจารย์วิญญาณได้ นับว่าเป็นเคราะห์ดีในคราวร้ายนะ”
“แต่ข้ากลับไม่อยากได้เคราะห์ดีนี้เลย” เยี่ยนชิงไม่รู้สึกดีใจเลย ถ้าเป็นไปได้ เขาปรารถนาให้เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เป็นเด็กที่ไม่รู้อะไรเลยดีกว่า
ตอนนี้เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ทำอะไรได้มากมาย แต่นั่นเป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับให้เติบโต
หากพรสวรรค์ทั้งหมดของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ จะปลุกพลังได้ก็ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้เท่านั้นถึงจะสมบูรณ์ได้ ข้ายอมให้เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ไร้ความสามารถเสียยังดีกว่า
“ลูกไร้ประโยชน์เอง” เยี่ยนจื่อเสารู้สึกหดหู่มาก หากเขาเป็นผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ในตํานานได้ แม้แต่ราชสํานักก็ต้องกริ่งเกรงในตัวเขา จะมีผู้ใดอาจหาญกล้ารังแกน้องเล็กได้
“ไร้ประโยชน์กันหมด” เยี่ยนชิงกล่าวประเมินอย่าง ‘ตรงประเด็น’
หยางชีซาน “…”
พ่อลูกสองคนนี้ช่าง…สุดจะพรรณนา
ภายใต้การจ้องมองของพวกเขา เยี่ยนอวี๋และเยี่ยนเสี่ยวเป่าได้เข้าสู่หอคอยโบราณแล้ว
ในขณะนั้น เยี่ยนอวี๋สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามีแก่นพลังวิญญาณมากมายกำลังหลั่งไหลเข้าสู่วิญญาณในร่างกายนาง โดยต้องการเป็นส่วนหนึ่งของนาง
“อย่ารีบร้อนไป” เยี่ยนอวี๋กระซิบ นางดึงเตียงออกมาจากถุงวิเศษ วางลูกที่อยู่ในอ้อมแขนไว้บนเตียงนั้น แล้วจึงแกะผ้าห่อตัวของลูกออก ห่มผ้าให้อย่างดี
หลังจัดการทุกอย่างเสร็จ เยี่ยนอวี๋จึงนั่งขัดสมาธิ หงายมือวางเหนือหัวเข่าโดยใช้นิ้วหัวแม่มือแตะกับนิ้วกลาง และเพ่งกระแสจิตขจัดแก่นพลังวิญญาณอันรายล้อมอยู่รอบกายออกไป ทำให้แก่นพลังวิญญาณของสำนักชางอู๋สามารถไหลผ่านเข้าไปในร่างกายของนางได้
ในฐานะปฐมราชินีของตำหนักไท่ชาง เยี่ยนอวี๋เป็นผู้สร้างโลกนี้ พลังงานทั้งหมดในโลกใบนี้เปรียบได้กับบุตรของนาง ดังนั้นจึงมีความใกล้ชิดกับ ‘ดวงจิตภายใน’ ของนาง
ดังนั้นการฟื้นฟูของเยี่ยนอวี๋ จึงแตกต่างจากผู้ฝึกฌานคนอื่นโดยสิ้นเชิง นางไม่จําเป็นต้องใช้พลังภายในใดๆ ในการฝึกฌาน ไม่จําเป็นต้องเป็นฝ่ายรุกในการดูดซับแก่นพลังวิญญาณของพื้นพิภพ ไม่จำเป็นต้องเข้าใจหรือตระหนักถึงสิ่งใด
เมื่อนางคงอยู่ ไม่ว่าแก่นพลังวิญญาณในพื้นพิภพ! แก่นพลังวิญญาณของสรรพสิ่ง หรือพลังงานใดๆ ต่างก็ต้องหลั่งไหลเข้ามาหานางตามธรรมชาติ สิ่งที่นางต้องทำคือฝึกฝนร่างกายและจิตใจผ่านพวกมันเท่านั้น ทำให้ร่างกายอันอ่อนแอร่างนี้ของนางแข็งแกร่งขึ้นจนเทียบเท่าอดีตชาติ
ดังนั้นความเร็วในการ ‘เลื่อนขั้น’ ของเยี่ยนอวี๋ คนอื่นๆ จึงไม่สามารถเปรียบเทียบได้ เช่น นักปรุงยาทั่วไปเมื่อมีพลังจิตอยู่ในขั้นสุวรรณชาดแล้วจะสามารถหลอมรวมไข่มุกวิญญาณได้ แต่เยี่ยนอวี๋ไม่ใช่
แต่เมื่อใดที่นางสามารถหลอมรวมไข่มุกวิญญาณได้! ก็หมายความว่าพละกำลังของนางกลับคืนมาส่วนหนึ่งแล้ว แม้แต่ในระดับจิตวิญญาณก็มีพลังเกินกว่าที่คนธรรมดาจะจินตนาการได้
…
สี่สิบเจ็ดวันผ่านไปในพริบตา ตลอดระยะเวลาเดือนกว่าที่ผ่านมา สถานการณ์ภายในสำนักชางอู๋สงบ สงบเหมือนตอนที่เยี่ยนอวี๋ยังไม่กลับมา
หากไม่ใช่เพราะวันนี้คนของราชสำนักที่มาคัดเลือกหญิงงาม และกองกำลังทหารประจำเรือนจ่างสื่อมาปรากฏที่ด้านหน้าสำนักชางอู๋ ผู้มีหน้าที่รักษาประตูสำนักชางอู๋คงจะคิดว่า สำนักชางอู๋อยู่ในความสงบแล้วจริงๆ
“วันสุดท้ายแล้ว ไม่รู้ว่าครั้งนี้แม่นางอวี๋ผู้งดงามจะมีอะไรให้ประหลาดใจอีก” เฉาหมิงเฉิงตั้งตารอการแสดงของเยี่ยนอวี๋ แม้ว่าเขาจะรู้ทั้งรู้ว่าเยี่ยนอวี๋จะไม่ออกมาพบปะผู้คนก็ตาม
“ข้าก็ตั้งตารอเหมือนกัน” เยี่ยนชิงถังผู้ออกมาคัดเลือกและประสบความสำเร็จได้เป็นซิ่วหนี่ว์ผู้สูงศักดิ์ นางอยากเห็นว่า หากเยี่ยนจื่อเสาแปรสภาพเป็นอสูรโดยบริบูรณ์แล้ว เยี่ยนจื่ออวี๋จะมีอาการเช่นไร!
แน่นอนว่านางต้องการเห็นเยี่ยนจื่ออวี๋ตกเป็นนักโทษที่ถูกคุมขัง หรือเป็นทาสหลวง อยากรู้จริงว่านางจะมีสีหน้าเช่นไร! นางตั้งตารอที่จะได้เห็น เมื่อถึงเวลานั้นเยี่ยนจื่ออวี๋จะยังวางท่าทีสูงส่งอีกหรือไม่ ยังจะกล้าดูถูกนางอีกหรือไม่!
ฮ่าๆ…
เยี่ยนชิงถังนึกหัวเราะอย่างลำพองใจ และกระตุกมุมปากแสยะยิ้ม!
หารู้ไม่ว่า…
พรึบ!
เยี่ยนอวี๋ผู้อยู่ท่ามกลางแสงไฟอันแรงกล้า นางกําลังแปรสภาพ กลิ่นอายลึกลับประเดี๋ยวก็ปรากฏประเดี๋ยวก็หายไป ซึ่งกำลังหลอมรวมอยู่รอบกายนาง เสมือนมีขุนเขาแม่น้ำ มีป่าไม้ มีสิงสาราสัตว์ที่ทั้งมีปีกและไม่มีปีกปรากฏขึ้น…ประเดี๋ยวก็สว่างประเดี๋ยวก็ดับลง