เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 64 พบกับสำนักคุนอู๋ในทางแคบ
หากจะบอกว่าผู้อาวุโสเก้าเกลียดชังใครมากที่สุด! ตอบได้เลยทันทีว่าคือเยี่ยนอวี๋และสาวใช้คนนั้นอย่างแน่นอน ส่วนคนที่เหลือก็เรียงลำดับกันไป ทว่า…
“หากเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไร้ประโยชน์แล้ว” น้ำเสียงทุ้มปนเย็นชาดังออกมาจากหัวหน้าของผู้อาวุโสเก้า ซึ่งน่าตกใจกลัวจนทำให้ผู้ฟังขาอ่อนล้มนาบลงกับพื้นโดยตรง
ผู้อาวุโสเก้าที่สามารถใช้ชีวิตไปมาในสำนักชางอู๋ได้นานเพียงนั้นไม่ได้โง่เขลา เขาย่อมฟังออกและรับรู้ถึงความหมายเชิงเขี่ยทิ้งในคำพูดของหยางเซ่าเหิง
และบัดนี้ผู้อาวุโสเก้าที่ถูกตราหน้าเป็นคนไร้ประโยชน์กลับหาหลักฐานที่จะยืนยันว่าเขายังมีประโยชน์อยู่ไม่ได้เลย เพราะเช่นนั้นเขาจึงยิ่งคิดก็ยิ่งเหงื่อตก…
“ลากออกไป” เสียงอันเย็นชาของหัวหน้าออกคำสั่ง
“หลิงหยางจวิน…” ผู้อาวุโสเก้าต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
ทว่าลูกศิษย์สำนักคุนอู๋ที่ดำเนินการตามคำสั่งแล้วไม่ให้โอกาสเขาพูดพร่ำเลยแม้แต่น้อย เขาเองก็มิอาจขัดขืนได้ จึงถูกลากตัวไปราวกับสุนัขสิ้นชีพอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากนั้น ลูกศิษย์สำนักคุนอู๋คนหนึ่งก็ตั้งคำถามขึ้น “ศิษย์พี่เซ่าจง ตาเฒ่าไร้ประโยชน์คนนั้นคงพูดเกินจริงไปกระมัง เยี่ยนจื่ออวี๋เป็นเพียงคนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง จะมีสาวใช้ข้างกายที่เก่งกาจเพียงนั้นได้อย่างไร”
“ใช่แล้ว! พวกเราต่างทราบดีว่าผู้แข็งแกร่งจากราชสำนักที่ติดตามเฉาหมิงเฉิงขันทีคัดเลือกสาวงามคนนี้ไปยังเมืองชางอู๋นั้นเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นถอดจิตของการฝึกฝน เป็นเทพระดับกลางคนหนึ่ง หากสาวใช้คนนั้นสามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งคนนี้ตกใจกลัวจนหนีกระเจิงไปได้เพียงกระบวนท่าเดียวจริง เช่นนั้นการฝึกฝนของสาวใช้คนนั้นอย่างน้อยต้องเป็นผู้แกร่งแข็งขั้นแยกร่างของการฝึกฝนเป็นเทพระดับสูงสุดแล้ว ซึ่งนั่นก็เก่งกาจยิ่งกว่าผู้พิทักษ์ทั้งสิบแปดของสำนักชางอู๋มากนัก!
หากวิเคราะห์ตามฝีมือของสำนักชางอู๋แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่สุดยอดผู้แข็งแกร่งเช่นนี้จะเป็นสาวใช้ของคุณหนูใหญ่ยอดสำรวย! นางแทบจะสามารถเป็นบุคคลสำคัญของสำนักชางอู๋ได้แล้ว จะมาเป็นสาวใช้ได้อย่างไร! ดูท่าแล้วตาเฒ่าไร้ประโยชน์คนนี้จะไร้ประโยชน์สมชื่อจริงๆ!” ลูกศิษย์สำนักคุนอู๋ได้ทำการวิเคราะห์อย่างละเอียด
ทว่าหัวหน้าผู้เป็นชายหนุ่มที่ซ่อนอยู่ภายใต้แสงเจิดจ้ากลับพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ถงเหล่าตายแล้ว”
“อะไรนะ” ลูกศิษย์สำนักคุนอู๋ที่อยู่ในห้องต่างตะลึงงัน
“ทั้งคนและแก่นวิญญาณอสูรได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้ว” น้ำเสียงอันเยือกเย็นกล่าวต่อไปอีกว่า “พลังที่ทำลายพวกเขาคือจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง…แก่นวิญญาณอสูรในตำนาน”
“ว่าอย่างไรนะ!” สีหน้าของลูกศิษย์สำนักคุนอู๋ผันเปลี่ยนในทันที แม้กระทั่งน้ำเสียงก็เปลี่ยนไปด้วย “เป็นไปได้อย่างไร…”
น้ำเสียงอันเยือกเย็นและแข็งกร้าวของหัวหน้ากลับพูดต่อไปอีกว่า “สำนักชางอู๋มีผู้ที่สามารถอัญเชิญแก่นวิญญาณอสูรในตำนานออกมาได้สำเร็จแล้ว หากสำนักชางอู๋ได้เข้าร่วมพิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนักแล้วได้เลื่อนอันดับจากสำนักสามอันดับล่างสุดสู่สำนักสามอันดับแรกและต้องตาราชสำนักเข้าล่ะก็ คุนอู๋ของข้าต้องไม่มีโอกาสยึดครองสำนักชางอู๋ได้อีกเป็นแน่”
“…” ในห้องพลันเงียบสงบไปชั่วขณะ
ลูกศิษย์สำนักคุนอู๋ที่สามารถติดตามหยางเซ่าเหิงได้ล้วนเป็นศิษย์สายตรงของสำนักคุนอู๋ พวกเขาจึงทราบดีว่าตำแหน่งผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ในตำนานนั้นสูงส่งเพียงใด
ถึงแม้ลำพังผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ในตำนานคนหนึ่งจะไม่สามารถทำให้ทั้งสำนักพุ่งอันดับขึ้นสู่สามอันดับแรกก็ตาม ทว่าสำนักชางอู๋ที่ไม่เคยมีผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ในตำนานเกิดขึ้นมาก่อนกลับมีขึ้นอย่างกะทันหัน! เกรงว่าหากมีหนึ่งก็ต้องมีสองน่ะสิ!
“พวกเจ้าทุกคนกลับสำนักพร้อมข้าเดี๋ยวนี้และต้องกำจัดความหวังของพวกเขาให้สิ้นซากก่อนที่สำนักชางอู๋จะโดดเด่นขึ้นอย่างฉับพลัน!” น้ำเสียงอันเยือกเย็นออกคำสั่งชัดถ้อยชัดคำ
“ขอรับ! ศิษย์พี่เซ่าจง” ลูกศิษย์สำนักคุนอู๋สิบกว่านายในห้องต่างน้อมรับคำสั่ง สีหน้าดูเคร่งขรึมนัก
เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ[1]หยางเซ่าเหิงพร้อมด้วยลูกศิษย์อีกสิบสองนายได้เดินทางออกไปแล้ว…ปลายทางคือตำบลหลันฮวาที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเขตชางอู๋ มุ่งไปทางทิศตะวันออกตลอดทาง เส้นทางเป็นเส้นทางเดียวกันกับพวกเยี่ยนอวี๋ทั้งห้าคนพร้อมกับเด็กน้อยหนึ่งคนที่กำลังเดินทางไปยังตำบลหลันฮวา
เพราะทางเหนือของตำบลหลันฮวาคือสุสานจิ่วหลีที่มีชื่อเสียง เป็นสถานที่ลับ กองทัพจิ่วหลีถูกกองทัพต้าซย่าสังหารหมู่หลังจากแพ้สงครามครั้งใหญ่เมื่อปีก่อน ส่งผลให้มีกลิ่นอายแห่งความแค้นและความตายรุนแรงมาก หากผู้ฝึกฌานเข้าไปจะถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนเข้าสู่ห้วงมารได้อย่างง่ายดาย คนธรรมดาทั่วไปไม่กล้าเข้าใกล้
ดังนั้นการที่จะไปตำบลหลันฮวาทางทิศตะวันตกของชางอู๋นั้น ต้องเดินทางด้วยเส้นทางนี้เท่านั้น ซึ่งเป็นทางแคบที่พวกเยี่ยนอวี๋ทั้งห้าคนพร้อมกับเด็กน้อยอีกหนึ่งคนกำลังจะพบกับพวกหยางเซ่าเหิงในไม่ช้า!
คนฝั่งหยางเซ่าเหิงสังเกตเห็นและรายงานทันควัน “ศิษย์พี่เซ่าจง ชายหนุ่มบนรถม้าที่อยู่ตรงข้ามคือองครักษ์ของซวงเสวียนจวินขอรับ!”
ในขณะเดียวกัน องครักษ์เมืองโยวตูบางคนก็ไหวพริบดีและรายงานอินหลิวเฟิงที่อยู่ในรถม้าว่า “นายน้อย ไอ้เด็กเมื่อวานซืนจมูกชี้ขึ้นฟ้าที่กำลังเดินทางมาจากฝั่งตรงข้ามคนนั้นคือขี้ข้าของหลิงหยางจวินขอรับ”
“เดินทางต่อไป” หยางเซ่าเหิงออกคำสั่งอย่างเฉยเมย
“ไม่ต้องสนใจเขา!” อินหลิวเฟิงก็แสดงท่าทีออกมาพร้อมกันด้วย หากจะบอกว่าเขาเกลียดชังใครมากที่สุดในสี่สุภาพบุรุษ ตอบได้ทันทีเลยว่าคือหยางเซ่าเหิงคนนี้อย่างแน่นอน! ไอ้คนนี้เอาแต่ทำตัวอวดดีราวกับคนโง่ไปวันๆ หน้าตาวอนเท้ามากกว่าองครักษ์ของเขาเสียอีก
แต่แล้วทั้งสองก็ ‘พบกัน’ และโต้ตอบกันราวกับไม่สะทกสะท้านใดๆ ทำให้ ‘ลูกน้อง’ ทั้งสองฝ่ายเชิดคางขึ้นสูง ใบหน้าเงยขึ้นฟ้าในมุมสี่สิบห้าองศาอย่างพร้อมเพรียงกัน และเตรียมพร้อมที่จะเดินผ่านไปด้วยการดูถูกเหยียดหยามต่อกัน
เมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายกำลังจะเดินทางไปของใครของมันแล้ว น้ำเสียงอันไพเราะลื่นหูดุจเสียงบรรเลงของเยี่ยนอวี๋ก็ดังออกมาจากในรถม้า “หยุด”
องครักษ์เมืองโยวตูบางคนหยุดลงทันที เพราะนายน้อยบอกไว้แล้วว่าต้องเชื่อฟังคำพูดของฮูหยินน้อย…
[1] เค่อ คือ สิบห้านาที