เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 103 ข้าไม่อยากจ่าย
ตอนที่ 103 ข้าไม่อยากจ่าย
“ตาแก่? ทำไมเจ้าไม่ตอบกลับ ทำอะไรอยู่”
เสียงจากห้องด้านในดังขึ้น เสียงฝีเท้าดังตามเสียงสวมชุดพึ่บพั่บ ฮูหยินด้านในเลิกม่านก้าวออกมา เห็นสามีตนเหงื่อออกเต็มหน้าหอบหายใจทรุดกองกับพื้น
ฮูหยินตกใจจนรีบย่อตัวลงมาประคอง ค้นพบว่าจั่วป๋อหรันตัวแข็งทื่อไปหมด
“ว้าย ตาแก่เจ้าเป็นอะไร!?”
เมื่อลองยื่นมือสัมผัส แม้แต่เส้นผมจั่วป๋อหรันยังเปียกชื้น เห็นว่าสีหน้าของจั่วป๋อหรันค่อนข้างซีดเผือด นางรีบลูบหน้าอกปรับลมหายใจสามีตน
บางทีอาจเป็นเพราะอุณหภูมิบนมือภรรยา ในที่สุดจั่วป๋อหรันจึงค่อยสงบสติลงได้ โคจรปราณดั้งเดิมในกายทำให้ตนนิ่งสงบลง
“เฮือก… ฮู่… เมื่อครู่ข้าคิดว่าตนจะตายแล้ว…”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ท่าทางของเจ้าอย่างกับเห็นผี!”
“ชู่…!”
จั่วป๋อหรันตื่นเต้นขึ้นมาทันที มองประตูใหญ่อย่างระวัง
“เจ้าอย่าพูดเพ้อเจ้อ ข้าเจอเทพ! ผู้พิพากษาบริวารเทพหลักเมืองจังหวัดจวินเทียน ผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ล้วนมากันหมด เมื่อครู่อยู่ตรงนั้น!”
จั่วป๋อหรันชี้ไปตรงหน้าโต๊ะแปดเซียนอย่างหวาดผวา
“ฮู่… ข้าคิดว่าตนถึงฆาตแล้ว ผลคือผู้พิพากษาสองคนบอกว่าเป็นเพราะผู้สูงส่งฝากฝัง ถึงมุ่งหน้ามาบันทึกประวัติ… ฮู่…”
จั่วป๋อหรันยังกล่าวเสียงสั่น เจอเทพผีระยะประชิดกับตัว ความหวาดหวั่นที่ตามมาใช่ว่าคาดคิดง่ายๆ ยิ่งไม่สะใจเหมือนตอนฟังนักเล่าเรื่องเล่านิทาน มีแต่กลัวกับกลัว
แต่เมื่อถึงตอนนี้กลับรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ทั้งยังเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จั่วป๋อหรันเปลี่ยนจากสีหน้าซีดเผือดเป็นมีเลือดฝาดในเวลาไม่นาน
สุดท้ายจั่วป๋อหรันก็ถือเป็นผู้ฝึกยุทธ์ นวดขาลุกขึ้นมาจากพื้น เดินไปมองเทียบอักษรบนโต๊ะแปดเซียน นึกถึงท่านจี้ซึ่งเคยบอกว่าจะไปทักทายเทพหลักเมืองจังหวัดจวินเทียน คืนเดียวกันผู้พิพากษาก็มาดังคาด
เดิมภรรยาของจั่วป๋อหรันได้ยินสามีบอกว่าเจอผู้พิพากษา นางยังไม่เชื่ออยู่บ้าง แต่เห็นเทียบอักษรบนโต๊ะแล้วรู้สึกว่าน่าจะจริง ถึงอย่างไรก็เป็นสัญญาของท่านเซียน
กระทั่งผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม สองสามีภรรยาจึงกลับไปนอนอีกครั้ง
วันต่อมาเรื่องจั่วป๋อหรันเจอผู้พิพากษาบุ๋นบู๊มาเยือนแพร่กระจายไปในหมู่ลูกหลานของตระกูลจั่ว จากนั้นคนตระกูลเหยียนก็ทยอยรู้เรื่องนี้ แต่ร้านตระกูลเหยียนล้วนเป็นคนกันเอง ไม่เคยแพร่งพรายเรื่องใดออกไปข้างนอกมั่วซั่ว
ผ่านไปถึงวันที่สี่หลังจากจั่วป๋อหรันเจอผู้พิพากษายามดึก
สองวันนี้ร้านตระกูลเหยียนมีเหตุการณ์ประหลาดอย่างหนึ่ง ช่างตีเหล็กแก่กลางหนุ่มกล้ามเป็นมัดยี่สิบสามสิบคนล้วนไม่ตีเหล็กตามปกติ หากแต่ทำฝักกระบี่กันหมด
บ้างร่วมกันทำตั้งแต่ร่างโครงตีหลอมเคลือบเงา บ้างทำทุกขั้นตอนเพียงลำพัง คล้ายโรงช่างฝีมือดั้งเดิม พอนึกถึงว่ากำลังทำฝักกระบี่เซียนเล่มหนึ่ง เหล่าช่างฝีมือต่างก็ตื่นเต้นยินดี
ส่วนผู้เป็นตัวต้นเรื่องนี้ ตอนนี้กลับเที่ยวชมตัวเมืองจังหวัดจวินเทียนโดยไม่รู้ตัวสักนิด
โรงน้ำชาที่เคยไปสืบข่าวตอนเพิ่งมาถึงจังหวัดจวินเทียน เดิมทีจี้หยวนคิดไปฟัง ‘ประวัติแม่ทัพหวง’ ซึ่งยังฟังไม่จบต่อ แต่นักเล่าเรื่องภายในโรงน้ำชาเปลี่ยนคนแล้ว เรื่องราวจึงแตกต่างออกไป
“ลูกค้าท่านนี้ เชิญด้านในขอรับ ด้านในมีทั้งน้ำแกง ของทอดนึ่ง ชาชงต่างๆ…!”
ลูกจ้างร้านชาคนหนึ่งเห็นจี้หยวนยืนตรงประตูสักพักแต่ยังไม่เข้ามา เขาจึงเดินมาทักทายหน้าประตู
จี้หยวนแค่ยิ้มพลางส่ายหัว หันหลังจากไปโดยไม่พูดอะไร เปลี่ยนนักเล่าเรื่องแล้ว เรื่องเล่าย่อมไม่ใช่ประวัติแม่ทัพหวงอีก เขาหมดความสนใจอยู่บ้าง
ลูกจ้างร้านชามองคุณชายซึ่งห่างออกไปคนนี้พลางเกาหัวแกรกๆ ท่าทางคนผู้นี้ก็ใช่ว่าดื่มชาสักกาไม่ได้
จี้หยวนไม่ได้ใช้ท่าร่างวิชาใด แค่ก้าวเดินอย่างเนิบช้า กระทั่งออกจากเมืองจึงเดินไปทางร้านตระกูลเหยียนซึ่งอยู่ริมแม่น้ำปฐมนั่น
ครั้งนี้จี้หยวนไม่คิดรบกวนพวกเขานัก เสร็จเรื่องควรทำแล้ว ไม่ต้องทำให้คนตระกูลเหยียนตระหนกอีก รอจนเดินมาถึงริมแม่น้ำปฐม จี้หยวนใช้วิชาบังตาล่องหน ก่อนเดินเข้าเขตร้านตระกูลเหยียน
วันนี้ค่อนข้างแปลกอยู่บ้าง ตระกูลเหยียนไม่มีเสียงตีเหล็กสักนิด แต่มีเสียงไม้เสียดสีกับเสียงวิจารณ์มากมายดังมาจากหลังร้านช่างตีเหล็ก
จี้หยวนวางร่มซึ่งก่อนหน้านี้ยืมไปโดยไม่บอกกลับจุดเดิมก่อน จากนั้นค่อยเดินตามเสียงและกลิ่นไปด้านหลังโรงช่างร้านตระกูลเหยียน
“เฮือก…”
จี้หยวนสูดหายใจเกินจริงอย่างหาได้ยาก
ถึงตอนนี้เรื่องบนโลกที่ทำให้จี้หยวนตกใจได้แม้มีไม่น้อยแต่ไม่มากเกินไป เรื่องตรงหน้าถือเป็นเรื่องหนึ่ง
เห็นแค่ภายใต้เพิงใหญ่สองสามแห่ง ช่างตีเหล็กเปลือยท่อนบนยี่สิบสามสิบคนต่างตีหลอมทำฝักกระบี่ นี่เป็นแค่ผลงานในมือพวกเขา บนชั้นวางข้างกาย บนพื้น มีผลงานสำเร็จแล้วอย่างน้อยหลายสิบชิ้น
ตั้งแต่การเลือกวัสดุถึงรูปแบบ ตั้งแต่สีสันถึงลายสลัก มีสารพัดแบบแตกต่างกันไป…
‘คนตระกูลเหยียนกินยาผิดหรือ’
จี้หยวนเพิ่งคิดเช่นนี้ นึกถึงเหตุผลแล้วหลุดหัวเราะทันที สาเหตุคงมาจาก ‘เซียน’ อย่างตน
แต่เห็นฝักกระบี่มากขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าคนตระกูลเหยียนเปลืองกำลังคนวัสดุกำลังทรัพย์ไปเท่าไหร่ เดิมจี้หยวนแค่คิดจ่ายเงินหนึ่งร้อยอีแปะซื้อฝักกระบี่ จากนั้นค่อยทิ้งสารบอกกล่าวหน่อยก็พอ
แต่ปัจจุบันฝักกระบี่มากขนาดนี้ ข้าคนแซ่จี้ไม่อยากเสียเงินเปล่าจ่ายทั้งหมด
พูดตามตรงว่าฝักกระบี่มากขนาดนี้ ตัดพวกฉูดฉาดออกไปแล้ว สุ่มเลือกมาสักเล่มจี้หยวนล้วนถูกใจ เขาเดินมาอยู่ข้างชั้นวางไม้ริมสุดเงียบๆ ยื่นมือคว้าฝักไม้สีเขียวอ่อนเรียบง่าย ฝักกระบี่ล่องหนตามไปด้วย
ต่อจากนั้นจี้หยวนลังเลเล็กน้อย หยิบเงินสองตำลึงออกมาจากอกอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ออกแรงโยนไปทางผู้เฒ่าเหยียนวัยเจ็ดแปดสิบซึ่งยังขะมักเขม้นหล่อฝักกระบี่ใหม่เบาๆ
ป๊อกๆ…
ตำลึงเงินสองก้อนถึงกับกระแทกลงหัวของผู้เฒ่าเหยียนดังลั่น ทำให้ฝ่ายหลังซึ่งคิดว่ามีใครมาล้อเล่น รับตำลึงเงินซึ่งหล่นลงมาจากหัวตามจิตใต้สำนึกแล้วเดือดดาลอย่างบอกไม่ถูก
“ใคร? เจ้าสารเลวคนไหนโยนตำลึงเงินใส่ข้า!”
เวลานี้เสียงหยอกล้อของจี้หยวนดังมาแต่ไกลเบาๆ
“ใครให้พวกเจ้าทำฝักกระบี่มากขนาดนี้เล่า ข้ามีกระบี่แค่เล่มเดียว ต้นทุนที่เหลือพวกเจ้าขายฝักกระบี่ถอนคืนกลับมาเองเถอะ!”
เสียงห่างออกไปเรื่อยๆ เห็นชัดว่าจากไปแล้ว
ผู้เฒ่าเหยียนปิดปากตัวเองทันที เหงื่อบนหน้าผากเพิ่มขึ้นไม่น้อย เมื่อครู่ตนเพิ่งด่าท่านเซียนหรือ
คราวนี้ช่างฝีมือทั้งหมดต่างได้ยินเสียงจนหยุดการเคลื่อนไหวเช่นกัน ร้านช่างตีเหล็กเงียบสนิททันที หลายคนยังแอบมองผู้เฒ่าเหยียนและการตอบสนองของเขา
หลังจากผ่านไปสิบกว่าลมหายใจ ยืนยันว่าท่านเซียนน่าจะจากไปแล้ว ทั้งไม่คิดเล็กคิดน้อยเอาความ ผู้เฒ่าเหยียนพลันตระหนักถึงเรื่องสำคัญ ตะโกนสุดเสียงทันที
“ฝักกระบี่ของใครถูกเลือก รีบดูว่าฝักกระบี่ของใครถูกเลือก ฝักกระบี่เล่มไหนหายไป ทุกคนช่วยกันหา!”
“ใช่ๆๆ! รีบดูว่าเล่มไหนหายไป!”
“ฝักกระบี่บนมือข้ายังไม่เสร็จเลย…”
“ยังทำต่อให้ได้อะไร!”
“เป็นข้าดีที่สุดๆ!”
“ต้องเป็นข้าแน่!”
พวกช่างฝีมือพากันตรวจสอบชั้นวางข้างกายตนและฝักกระบี่บนพื้น หวังว่าจะพบหนึ่งในเล่มที่หายไป
“ฮ่าๆๆๆ… เป็นข้า! เป็นข้า! ฝักกระบี่ของข้าถูกเลือก! ฮ่าๆๆๆๆ… ฝักไม้เคลือบเขียวของข้าหายไปแล้ว! ฮ่าๆๆๆ ต้องถูกท่านเซียนเอาไปแน่…!”
ช่างตีเหล็กวัยสามสิบกว่าคนหนึ่งดีใจจนเกือบกระโดดขึ้นมาร่ายระบำ ยืนชี้ชั้นวางไม้หัวเราะร่าไม่หยุด
ช่างตีเหล็กมากมายที่อยู่ด้านข้างยังไม่ย่อท้อ พลิกหาผลงานของตน สุดท้ายกลับพบความจริงอันโหดร้ายว่าไม่ได้หายไป
ถึงตอนท้ายทุกคนพากันมองช่างตีเหล็กซึ่งดีอกดีใจคนนั้นแล้วเบ้ปากถอนใจ กล่าวยินดีพอเป็นพิธี
ชายคนนั้นกำลังได้ใจ แต่เห็นผู้อาวุโสเดินจากไปทางศาลบรรพชน ตบหัวนึกได้ว่ายังไม่ให้ตำลึงเงินตน เขารีบตามไปทันที
“ผู้อาวุโสๆ…! ตำลึงเงินนั่นควรให้ข้ากระมัง อย่างน้อยก็หนึ่งตำลึง ท่านเซียนให้เชียวนะ ผู้อาวุโส…!”
“หึ เจ้าก็รู้ว่าท่านเซียนมอบให้ เจ้าเข้าใจประโยชน์อะไร! ให้เจ้าก็เสียของ ข้านำไปบูชาตรงศาลบรรพชน วางร่วมกับป้ายบรรพชน ยามจุดธูปทุกคนล้วนมองเห็น!”
ผู้เฒ่าเหยียนไม่แม้แต่จะหันกลับมา เร่งฝีเท้า กล่าวประโยคนี้ทิ้งไว้โจมตีช่างฝีมือจนยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น