เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 120 ผู้เจอกันในอารามอีกครั้งคือเซียน
ตอนที่ 120 ผู้เจอกันในอารามอีกครั้งคือเซียน
จี้หยวนเห็นคนกลุ่มนี้ทำท่าหอบหายใจหนักทำอะไรไม่ถูก เมื่อมองเด็กอายุเจ็ดแปดปีคนนั้นอีกครั้ง พบว่าหมดสติสีหน้าซีดเผือดอยู่ในอ้อมกอดหญิงสาวคนหนึ่ง
ในสายตาจี้หยวนดูไม่เหมือนเป็นลมธรรมดา ทว่าถึงกับเสียขวัญ แต่ดูจากกายเนื้อซึ่งหนังตากระตุกกับขมวดคิ้วเป็นพักๆ ขวัญซึ่งหายไปน่าจะไม่ถูกทำร้ายทั้งยังติดต่อกับกายเนื้อไม่หยุด
แม้ว่าอาการเสียขวัญซึ่งจี้หยวนเคยเจอเพียงครั้งเดียวเกิดขึ้นตอนจัดการงูสาวอย่างสมบูรณ์แบบที่หมู่บ้านซั่งเหอโกวอำเภอซุ่ยหย่วน ตอนนั้นพ่อค้าคนหนึ่งตกใจมากเกินไป ตื่นตระหนกจนวิญญาณออกจากร่างชั่วขณะ แต่คิดว่าปัจจุบันอาการเสียขวัญของเด็กคนนี้เหมือนผิดธรรมดาอยู่บ้าง
‘ค่อยน่าสนใจหน่อย ดูเหมือนว่าวิ่งออกไปเอง!’
เมื่อจี้หยวนลืมตาทิพย์ เขาไม่เห็นร่องรอยการชักบนตัวเด็กคนนี้ ทั้งไม่มีกลิ่นอายว่าโดนวิชามารอะไร เมื่อคิดโดยละเอียดก็เหลือแค่ข้อสันนิษฐานว่าวิญญาณเขาวิ่งออกจากร่างเอง ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เด็กคนนี้ก็ไม่ธรรมดาอยู่บ้างจริงๆ
จำนวนคนน้อยลงเกินครึ่ง ทั้งมีสภาพเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเจออะไรโจมตี
หากเจอผู้แข็งแกร่งโจรชั่วร้ายตามฆ่า จี้หยวนคิดว่าพอยุ่งเกี่ยวได้ แต่หากเป็นเรื่องบุญคุณความแค้นทางโลกยุทธภพ ไม่แน่ว่าการเป็นผู้เฝ้ามองอาจเหมาะกว่า
แต่เปรียบเทียบกับการสงสัยว่าพวกเขาประสบพบเจออะไร จี้หยวนสงสัยว่าเด็กคนนี้มีอะไรพิเศษกว่า จากนั้นจึงคิดว่าอีกเดี๋ยวถ้าพวกเขาเจอตนที่นี่แล้วคิดว่าทำอะไรสกปรก ทางที่ดีตนกระโดดออกไปเองเถอะ
“แค่ก… แค่ก…”
จี้หยวนกระแอมสองครั้งเบาๆ ทำให้กลุ่มคนซึ่งเดิมเครียดเกร็งตอบสนองป้องกันตัวทันที
ชิ้ง… ชิ้ง… ชิ้ง…
สามคนชักดาบทันใด
“ใคร?”
“ใครอยู่ตรงนั้น”
จี้หยวนขยับตัวโบกมือ ทำให้พวกเขาเห็นตนง่ายหน่อย แต่ยังไม่ลุกขึ้นมา เขาจะได้ไม่กระตุ้นคนกลุ่มนี้จนเหมือนนกหวาดธนู
“ข้าคนแซ่จี้หลบอยู่ไหนล้วนไม่อาจเงียบสงบจริงๆ ครั้งนี้พวกท่านเป็นฝ่ายรบกวนข้า ดาบกระบี่ไม่มีตา อย่าทำร้ายคนดี!”
“เป็นเจ้า! เจ้ารอพวกเราอยู่ที่นี่โดยเฉพาะหรือ”
บุรุษนามโม่ถงคนนั้นตวาดถามอย่างตกตะลึงและระวังตัว
เสียงจี้หยวนราบเรียบมีพลัง ทั้งแยกแยะง่ายมาก ดังนั้นครู่เดียวก็มีคนจำได้
จี้หยวนคิดอยู่แล้วว่าต้องถูกถามเช่นนี้ เขาส่ายหัวพลางยิ้มกล่าว
“หึๆ ข้าเป็นแค่คนผ่านทางเท่านั้น ไม่อยากก่อเรื่องเข้าใจผิดเมื่อครู่จึงส่งเสียงเตือน หากคิดชั่วร้ายจริง แอบลงมือไม่ดีกว่าหรือ”
จี้หยวนพูดจบแล้วชี้อ่างเผาด้านข้างกับฟืนตรงมุม
“พวกท่านไม่ก่อไฟผิงหน่อยหรือ ฝนใบไม้ร่วงหนาวนัก ระวังโดนลมเย็น”
คำพูดจี้หยวนราบเรียบอบอุ่นมีมารยาท ทั้งยังมีเหตุผล นับว่าทำให้การระวังตัวของพวกเขาลดลงบ้าง
ชายฉกรรจ์โม่ถงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนประสานมือไปทางจี้หยวนอย่างขออภัย
“พวกเราเข้าใจท่านผิด หวังว่าจะอภัยให้ แต่ตอนนี้พวกเราไม่สะดวกก่อไฟ ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวคงจากไป”
พวกเขาเก็บอาวุธออกห่างจากประตูเล็กน้อย เดินมาถึงตรงมุมทแยงกับจี้หยวนด้านหลังรูปปั้นเทพ ลากเบาะรองนั่งสองอันที่เหลือไป วางเด็กชายนอนลงบนนั้น
หญิงสาวชุดรัดรูปสองคนดูแลเด็กชาย คนอื่นต่างจัดการบาดแผลของแต่ละคน
“นายน้อยไม่บาดเจ็บและไม่กระแทกอะไร ทำไมถึงหมดสติไปเล่า… หรือถูกทำให้ตกใจ”
“พี่สาว อย่าคิดมากเลย นายน้อยไม่บาดเจ็บ ย่อมตื่นขึ้นมาแน่!”
“ไม่ร้อนรนได้หรือ ทำไมถึงเรียกแล้วไม่ตื่น ถ่ายทอดปราณดั้งเดิมเข้าสู่ร่างกายแล้วล้วนไม่มีประโยชน์ เจ้าบอกสิว่าข้าจะไม่ร้อนรนได้อย่างไร!”
“เฮ้อ อย่าเพิ่งรีบร้อน ตอนนี้ได้แต่เสร็จเรื่องค่อยหาหมอแล้ว!”
โม่ถงได้แค่กล่าวเช่นนี้
ด้านข้างจอมยุทธ์คนหนึ่งฉีกผ้าบนตัวช่วยโม่ถงพันรอยดาบตรงหน้าอก ฝ่ายหลังมองมาทางจี้หยวน ก่อนมองประตูอารามเทพภูเขา
“ฝนคืนนี้ช่วยพวกเรามาก หากไม่เป็นเช่นนี้คงไม่อาจสลัดหลุดโดยง่าย น่าเสียดายว่าสูญเสียพี่น้องไปสิบกว่าคน!”
ยามโม่ถงกล่าวคำพูดนี้ออกมายังตั้งใจมองมาทางจี้หยวน อยากดูว่าเขามีการตอบสนองอะไรหรือไม่ แต่เหมือนว่าเงาดำตรงนั้นค่อนข้างมืดสลัว ไม่อาจมองออกว่าจี้หยวนตื่นตระหนกเพราะคนตายหรือไม่
ความสนใจของจี้หยวนส่วนใหญ่อยู่กับตัวเด็กชาย เห็นลักษณะพิเศษยามหนังตาเขากระตุกเล็กน้อย ตอนนี้วิญญาณเหมือนวิ่งไปทั่ว ทั้งน่าจะอยู่ห่างจากกายเนื้อไม่ไกลนัก
‘น่าแปลก ในเมื่อวิญญาณเคลื่อนไหวได้ ทั้งอยู่ห่างจากกายเนื้อไม่ไกล เหตุใดไม่กลับมา’
จี้หยวนมึนงงอยู่บ้าง วิญญาณเที่ยวเตร่ข้างนอกไม่ใช่เรื่องสนุก แต่เป็นสถานการณ์อันตรายอย่างหนึ่ง ถ้าไม่กลับมา ขาดการติดต่อกับกายเนื้อนานเข้า หากกายเนื้อไม่ตายจริงก็สมองเสื่อมแล้ว
‘หรือว่ามีเหตุผลอื่น’
จี้หยวนนึกถึงตรงนี้แล้วคิดว่าควรหาโอกาสสนทนาเอ่ยปากถามก่อน
“ทุกท่านน่าจะเป็นจอมยุทธ์กระมัง พวกเราเจอกันสองครั้งถือเป็นวาสนา บอกข้าคนแซ่จี้ได้หรือไม่ว่าเจอคนถ่อยโจรชั่วอะไร เมื่อครู่ข้าคนแซ่จี้ได้ยินคำพูดของพวกท่าน คิดว่าเด็กคนนี้คงเสียขวัญอย่างที่คนแก่ในบ้านเกิดเคยบอกกล่าว!”
“เสียขวัญ?”
หญิงสาวซึ่งอายุมากกว่าหน่อยกล่าวสงสัย มองมาทางจี้หยวน จากความหมายตามตัวอักษรไม่ยากแก่การเข้าใจว่าอาการนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร แต่ยังยากจะเชื่ออยู่บ้าง
“ไม่ผิด ผู้เสียขวัญมักเรียกแล้วไม่ตื่นเช่นนี้ บ้างสับสนเสียสติกินยาฝังเข็มช่วยไม่ได้”
“เช่นนั้นควรทำอย่างไร”
ภายใต้ความกังวลจนว้าวุ่น โม่ถงเอ่ยถามตามจิตใต้สำนึก
“ที่บ้านเกิดข้าสำหรับผู้เสียขวัญ ถ้าครอบครัวไม่เรียกวิญญาณกลับมาจากสถานที่ที่คนป่วยไปบ่อยก็ไปกราบเจ้าที่ ไม่มีศาลเจ้าที่ก็ไปกราบเทพหลักเมือง ขอร้องวิญญาณเทพช่วยตามวิญญาณคนป่วยกลับมา”
สิ่งที่จี้หยวนกล่าวล้วนเป็นวิธีพื้นบ้านซึ่งคนทั่วไปใช้จริง ทั้งถือว่าทำแล้วได้ผล เงื่อนไขแรกคืออาการเสียขวัญนั่นต้องไม่มีปัจจัยผิดธรรมดา
คนพวกนั้นได้ยินแล้วมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่พูดจากันทันที
“แน่นอนว่าการขอร้องเทพภูเขาก็มีประโยชน์ พวกวิญญาณเทพภูผาธาราอย่างเทพภูเขาเจ้าที่ชำนาญเรื่องนี้หากอยู่ในเขตการปกครองของตน”
คำพูดนี้ของจี้หยวนไม่เหมือนเรื่องที่ปัญญาชนหรือผู้อาวุโสชาวบ้านบอกกล่าวแล้ว แค่จอมยุทธ์พวกนี้แบ่งแยกไม่ออกเท่านั้น
พวกเขาฟังคำพูดนี้พลางมองรูปปั้นเทพในอารามตามจิตใต้สำนึก กลางคืนรูปปั้นเทพนี้กลับดูเหมือนมืดดำน่ากลัวอยู่บ้าง
ฝนด้านนอกตกหนักดังซ่าตลอด ในอารามเทพภูเขาตกสู่ความเงียบทันที
โม่ถงกำลังคิดจะพูดอะไร แต่เห็นคุณชายตรงมุมนั้นพลันลุกขึ้นมา ทั้งยังแสดงสัญญาณมือห้ามตน คล้ายรู้ว่าตนอยากเอ่ยปาก
จี้หยวนสูดหายใจดมกลิ่น ยามนี้เขาขมวดคิ้ว จากนั้นค่อยหันมองเด็กชายซึ่งหมดสติอยู่ตรงนั้น
“ดูท่าว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาบนยุทธภพจริงๆ เช่นนั้นคงต้องยุ่งเกี่ยวแล้ว!”
จี้หยวนกล่าวเสียงเบาจนไม่ได้ยิน คนพวกนั้นไม่รู้ว่าเขาพึมพำอะไร ยังไม่ถามก็เห็นเขาก้าวย่างจนมาถึงหน้าโต๊ะบูชารูปปั้นเทพ เสียงราบเรียบดังขึ้นเบาๆ
“ปกป้องนายน้อยตระกูลพวกเจ้าด้วย ข้าไปพบสิ่งที่อยู่ด้านนอกก่อน!”
เสียงจี้หยวนเพิ่งแผ่วลง ประตูทางเข้าอารามเทพภูเขากลับเปิดออกดังปึง… ทำให้ลมฝนพัดเข้ามาเอง น้ำฝนพัดเข้ามาแต่แฉลบผ่านกายจี้หยวน กลางคืนมืดสลัวคนอื่นเห็นไม่ถนัด แต่คนด้านนอกเห็นชัดเจน
กลางสายฝนข้างนอกมีสามคน ล้วนแต่งกายด้วยชุดรัดรูปแบบยุทธภพ ดูเหมือนพกดาบกระบี่ติดตัว แต่จี้หยวนกลับรู้ว่าสามคนนี้ถึงแม้มีร่างเป็นคน แต่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา
“คุณชาย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน รีบถอยกลับมา พวกเขามีกันสี่คน ทุกคนวิชายุทธ์สูงส่ง พวกเราเสียพี่น้องไปมากแล้ว ท่านอย่าทำเรื่องโง่เขลา!”
โม่ถงกับเหล่าจอมยุทธ์ข้างกายลุกขึ้นมาทันที พากันชักอาวุธออกมา
แต่สิ่งที่ทำให้พวกโม่ถงแปลกใจคือสามคนด้านนอกกลับไม่บุกเข้ามาทันที ในความมืดสลัวมีความรู้สึกว่าพวกเราระวังตัวอยู่รางๆ
“วิชายุทธ์สูงส่ง? หึๆๆ…”
จี้หยวนยิ้มพลางพยักหน้า
“ไม่ผิด สำหรับจอมยุทธ์ย่อมถือว่าวิชายุทธ์สูงส่งจริงๆ…”
จี้หยวนลืมตากว้างอีกสองส่วน ครึ่งหนึ่งหยั่งรู้ความจริง อีกครึ่งกล่าวต่ออย่างทอดถอนใจ
“มนุษย์ ปีศาจ ผี เทพข้าเห็นมาเยอะแล้ว แต่มารนี้แปลกจริง ใช้กายเนื้อของพวกจอมยุทธ์ธรรมดาเป็นกายหยาบมาชิงตัวเด็กคนนี้ น่าสนใจอยู่บ้าง!”
คำพูดนี้ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ในอารามเทพภูเขาฟังแล้วมึนงง แต่สถานการณ์เช่นนี้กลับรู้สึกแปลก
“หึๆๆ… วันนี้แปลกนัก ถึงกับเจอผู้ฝึกปราณในถิ่นทุรกันดารแห่งนี้ ขอเตือนเจ้าว่าอย่าหาเรื่องใส่ตัว มิฉะนั้นพวกเราอาจเปลี่ยนกายหยาบเป็นร่างผู้ฝึกเซียนแทน!”
จี้หยวนยืนอยู่หน้าประตูอารามเทพภูเขา บนตัวมองไม่เห็นพลังแสงเทพใดแต่น้ำฝนกลับหลบเลี่ยงเอง ทั้งสามคนด้านนอกไม่รู้ความเป็นมาแน่ชัดอยู่บ้าง
มารแบ่งเป็นหลายประเภท บ้างเกิดจากจิตมาร บ้างเป็นมารภายนอกไร้รูป บ้างก่อเคราะห์มารหยิน บ้างเป็นผู้เบนเข็มจากพื้นฐานการฝึกปราณจนกลายเป็นมารร้าย คำว่ากลายเป็นมารถูกคนทั่วไปบรรยายว่าเป็นการยึดติดจนคลุ้มคลั่ง แต่ความจริงมารส่วนใหญ่มักชั่วร้ายหาใดเปรียบคลุ้มคลั่งน้อยนัก
“พวกเจ้ามีสี่คน อีกคนที่เหลือน่าจะไปตามวิญญาณของเด็กคนนี้กระมัง ส่วนพวกเจ้าก็มาชิงกายเนื้อ?”
จอมยุทธ์ในอารามมองไม่เห็น แต่ในสายตาจี้หยวนใบหน้าผู้ถูกมารสิงนอกอารามแผ่ปราณดำออกมา ต่อให้มองไม่ออกแต่จี้หยวนคิดต่อสู้แล้ว
“ต่อให้เจ้าปกป้องกายเนื้อของเด็กน้อยคนนี้ได้ วิญญาณเขาย่อมถูกพวกเราจับไป มิสู้…”
“ไม่แน่เสมอไป!”
จี้หยวนกล่าวฉะฉานยิ้มพลางตัดบท สถานการณ์นี้ลองกระบวนท่าใหม่คงพอเข้าใจได้!
ปากเขาเอ่ยคำบัญชา พลังแปรเปลี่ยนดังใจ จี้หยวนยกเท้าขวาย่ำพื้นเบาๆ คล้ายมีคลื่นสะเทือนเลือนรางอัศจรรย์สายหนึ่ง
“เชิญเทพภูเขาใบตองมาพบ!”
หมอกลมสายหนึ่งปรากฏเหมือนตอบรับ ภายในอารามพื้นดินหมุนวนขึ้นมา…
สามมารด้านนอกนัยน์ตาหดรัดทันใด
“คุมเทพ! หนีเร็ว…!”