เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 143 เสือหน้ายิ้ม
ตอนที่ 143 เสือหน้ายิ้ม
ตู้เหิงมุ่นคิ้ว มองไปทางซ้ายและขวา ทางเดินตรงนี้ห่างจากงานเลี้ยงพอดู ข้างๆ ก็เป็นสวนดอกไม้ ลู่เฉิงเฟิงหาตัวเขาเจอเพราะสอบถามคนตระกูลตู้สองคนที่มาด้วยกัน
ผู้นำตระกูลเว่ยผู้นี้วันนี้ยุ่งมากอยู่ตลอด ต่อให้เดินผ่านมาก็ไม่ถึงกับต้องรอนานขนาดนี้กระมัง ตู้เหิงจำได้ว่าลู่เฉิงเฟิงพูดถึงท่านจี้แล้วยังเล่าเรื่องอื่นอีกตั้งนานถึงจะจากไป
แต่ฟังจากเว่ยอู๋เว่ยบอกว่ารู้จักท่านจี้ ตู้เหิงแปลกใจอยู่บ้างเหมือนกัน
ความจริงแล้วตอนเพิ่งออกจากอำเภอหนิงอัน พวกเขาเก้าคนนับว่าสนิทกันทีเดียว ล้วนรู้ว่าจี้หยวนอาศัยอยู่ที่ใดในอำเภอหนิงอัน รวมถึงต้นพุทราในลานบ้านด้วย คำพูดของเว่ยอู๋เว่ยน่าจะเป็นความจริง
“ผู้นำตระกูลเว่ย ท่านรู้จักท่านจี้ได้อย่างไร ตอนนั้นจากไปแล้วจนถึงปลายปีลู่เฉิงเฟิงกลับมาหาท่านจี้ แต่บอกว่าคนไปเรือนว่างตั้งนานแล้ว”
‘ฮ่าๆ ลู่เฉิงเฟิงผู้นี้ใช้ได้ทีเดียว ไปเองแล้วค่อยมาบอกพวกเจ้า!’
เว่ยอู๋เว่ยยิ้ม มองไปยังทางเดินฝั่งนั้น จากนั้นนั่งลงข้างตู้เหิง
“ข้าเว่ยอู๋เว่ยรู้จักท่านจี้ตอนอยู่ที่อำเภอหนิงอัน ตอนนั้นไปซื้อหนังเสือ ต่อมาจับโจรได้กลุ่มหนึ่ง จึงเสียเวลาอยู่ในอำเภอพักหนึ่ง อีกทั้งได้รู้จักกับท่านจี้ ได้รับคำชี้แนะจากเขาหนหนึ่งด้วย!”
ตู้เหิงไม่ใช่คนจังหวัดเต๋อเซิ่ง ไม่เช่นนั้นต้องนึกถึงเรื่องสิบสามโจรแดนเยี่ยนที่เลื่องลือและมือมืดหลังฉากถูกประหารได้อย่างแน่นอน ครั้งนั้นทำให้เว่ยอู๋เว่ยมีชื่อเสียงโด่งดัง พาให้คนเข้าใจว่าเดิมทีผู้นำตระกูลเว่ยไม่เป็นวรยุทธ์นั้นเป็นเรื่องลวง ไม่เพียงเป็นวรยุทธ์เท่านั้น ยังเป็นยอดยุทธ์ที่ฝีมือฉกาจอีกต่างหาก
หลังจากครั้งนั้น ฉายา ‘เสือหน้ายิ้ม’ ของเว่ยอู๋เว่ยก็กระจายไปทั่วทั้งยุทธภพ
เว่ยอู๋เว่ยยิ้มพลางนั่งลงข้างตู้เหิง พิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ตอนนั้นท่านจี้บอกกับเจ้าจริงหรือว่าหากอดทนไปได้ อนาคตข้างหน้าจะไร้ขีดจำกัด”
“เอ่อ…ตอนนั้นพวกข้าพักผ่อนขณะลงจากเขา ท่านจี้เคยพูดเช่นนี้ แต่ก็เป็นเพียงคำพูดปลอบใจข้าเท่านั้น ตอนนี้ข้าคนแซ่ตู้นับว่าพิการไปครึ่งหนึ่งแล้ว…”
“ท่านจี้เคยพูดเช่นนี้กับคนอื่นหรือไม่ อย่างเช่นลู่เฉิงเฟิงที่โด่งดังไม่มีใครเทียบผู้นั้น”
เว่ยอู๋เว่ยถามต่อ ฝ่ายตู้เหิงคิดและตอบด้วยความลังเล
“เหมือนจะ…ไม่ได้พูด”
“จิ๊ๆๆๆๆ…”
เว่ยอู๋เว่ยยิ้มตลอดเวลา แม้เขาตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจอมยุทธ์ทั้งเก้ารู้จักท่านจี้ได้อย่างไร เป็นหลังหรือว่าก่อนเอาชนะเสือ อีกทั้งส่งท่านจี้ถึงอำเภอหนิงอันอย่างไร
แต่พูดกันไม่ทันไรเว่ยอู๋เว่ยก็แน่ใจได้แล้ว ถึงจอมยุทธ์ทั้งเก้าคนในตอนนั้นรู้จักท่านจี้เร็วกว่าเขาอยู่บ้าง กลับไม่รู้เลยว่าท่านจี้เป็นใครโดยสิ้นเชิง
ริมแม่น้ำวสันต์นอกจังหวัดชุนฮุ่ย ภาพเต่าเฒ่าทอดถอนใจทำให้เว่ยอู๋เว่ยยากนักจะลืมเลือน
“ข้าไม่คิดว่าลู่เฉิงเฟิงผู้นั้นจะเก่งกาจอะไรมากเช่นกัน กลับเป็นเจ้าจอมยุทธ์ตู้ หึๆๆ…ในเมื่อแม้แต่ท่านจี้ยังทิ้งคำพูดเช่นนี้ไว้ให้เจ้า เจ้าก็อย่าลืมและยอมแพ้เด็ดขาดล่ะ!”
ตู้เฟิงยิ้มอย่างจนใจ
“ขอบคุณผู้นำตระกูลเว่ยที่ปลอบใจ หลายปีมานี้ข้าคิดตกแล้ว ตอนเพิ่งทนผ่านความเจ็บปวดเพราะแขนขาดก็เคยฮึกเหิม แต่ตอนนี้…แม้แต่คนในตระกูลข้ายังไม่ตั้งความหวังกับข้าแล้ว…”
“คิดตก? ฮ่าๆ ข้าว่าน่าจะไม่ใช่เช่นนั้นกระมัง!”
เว่ยอู๋เว่ยแน่ใจมากว่าก่อนหน้านี้ตู้เหิงไม่พอใจ เขาแอบฟังและสังเกตอยู่ข้างๆ นานทีเดียว
“อีกทั้ง ‘เคราะห์’ ที่ท่านจี้พูด เจ้าว่าเจ้าผ่านมันมาแล้วหรือยัง”
ตู้เหิงสั่นสะท้านในใจเล็กน้อย มองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเสมอของเว่ยอู๋เว่ย ก่อนจะยื่นมือไปจับแขนเสื้อข้างขวาที่ว่างเปล่าตามจิตใต้สำนึก
เว่ยอู๋เว่ยค่อยๆ เข้าไปกระซิบที่ข้างหูตู้เหิง
“ข้านับว่าเคยศึกษาตำนานเทพเซียนโบราณอยู่บ้าง เทพเช่นท่านจี้นั้น เคราะห์ที่ท่านพูดถึงไม่ใช่แค่ความเจ็บปวดทางกายเท่านั้น เจ้าคิดว่าทนทุกข์จากบาดแผลแขนขาดที่แท้จริงแล้วหรือยัง อืม ถ้าพูดถึงเคราะห์ ตอนนี้เจ้าเหมือนกำลังรับเคราะห์อยู่ไม่ใช่หรือ”
ตู้เหิงเผชิญหน้าเว่ยอู๋เว่ยผู้มีเลศนัย เกิดความรู้สึกขนลุกขึ้นชั่วขณะ
เห็นสีหน้าตกตะลึงของคนหนุ่มผู้มีใบหน้าเซื่องซึม เว่ยอู๋เว่ยไม่รบกวนเขาอีก เมื่อเขาเผยสีหน้าเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงค่อยพูดต่อ
“เอาละ ตอนนี้บอกข้าได้แล้วว่าพวกเจ้ารู้จักท่านจี้ได้อย่างไร ท่านจี้เป็นผู้มีพระคุณของข้า ข้าอยากรู้เรื่องของผู้มีพระคุณบ้าง”
เว่ยอู๋เว่ยประสานมือทั้งซ้ายและขวาอยู่ในแขนเสื้อ กอปรกับร่างอ้วนท้วนใบหน้ายิ้มแย้มแล้วไหนเลยจะเหมือนคนในยุทธภพ กลับเหมือนชายชรามีฐานะคนหนึ่งเสียมากกว่า ทว่าภาพนี้ทำให้ตู้เหิงนึกได้ว่าอีกฝ่ายมีฉายาในยุทธภพที่ใครต่อใครเรียกกันว่าเสือหน้ายิ้ม
“ความจริงแล้ววีรบุรุษพิชิตเสือที่อำเภอหนิงอันพูดถึงกันนั้นพวกข้ารับไว้ด้วยความละอายนัก…ครั้งนั้นหากไม่ใช่เพราะท่านจี้…”
ตู้เหิงลังเลอีกครั้ง ก่อนจะเล่าเรื่องในตอนนั้นขึ้นมา
จอมยุทธ์ทั้งเก้าอายุน้อยและใจกล้า ขึ้นเขาไปกำจัดเสือ พบคนแปลกหน้าเตือนแล้วก็ยังไม่เชื่อ ปรากฏว่าเจอปีศาจเสือจนเกือบตายตก…
เรื่องราวพิสดารกว่าที่เว่ยอู๋เว่ยจินตนาการเอาไว้ เขาไม่คิดเลยว่าหนังเสือขาวผืนนั้นเป็นปีศาจเสือคายออกมามอบให้จอมยุทธ์ทั้งเก้า และไม่คิดเลยว่าท่านจี้ที่อ่อนโยน สง่างามก็มีช่วงเวลาที่จนตรอกเหมือนกัน ทว่าคิดๆ ดูแล้วก็ไม่แปลกอะไรหากผู้วิเศษจะเลือกใช้วิธีบางอย่างในการเปิดเผยหน้าตา
ฟังเรื่องราวจนกระทั่งจอมยุทธ์ทั้งเก้าออกจากอำเภอหนิงอัน ในที่สุดเว่ยอู๋เว่ยก็แน่ใจว่าเก้าคนนั้นรู้จักจี้หยวนไม่มากเท่าไร อาจจะพูดได้ว่าน้อยเกินไป น้อยกว่าเขาคนแซ่เว่ยเสียอีก
ถึงขนาดทำข้อตกลงกับปีศาจเสือ ตอนตู้เหิงเอ่ยถึงไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าอะไรเท่าไร น้ำเสียงก็ราบเรียบ ด้วยประสบการณ์ของเขาเว่ยอู๋เว่ย คนเหล่านั้นอาจคิดว่าตอนนั้นเพราะจี้หยวนต้องการช่วยชีวิตพวกเขา จึงจงใจใช้วาทศิลป์หลอกล่อปีศาจเสือ
“ในเมื่อลู่เฉิงเฟิงผู้นั้นไปที่อำเภอหนิงอันตอนคืนวันสิ้นปี เขาได้บอกเรื่องต้นพุทราออกผลให้ท่านจี้กับพวกเจ้าหรือไม่”
เว่ยอู๋เว่ยถามเช่นนี้อีกแล้ว ตู้เหิงมุ่นคิ้ว
“เรื่องนี้คืออะไร ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“เฮ้อ…จอมยุทธ์ลู่อาจจะไม่ทันได้ฟังข่าว ถึงได้ไม่ได้บอกพวกเจ้า ฮ่าๆๆ…”
เว่ยอู๋เว่ยหัวเราะพลางอธิบาย
เสียงข้างนอกดังขึ้นมา เห็นทีต้องเริ่มงานเลี้ยงแล้ว
“ไปเถอะจอมยุทธ์ตู้ งานเลี้ยงครบเดือนของลูกชายข้าจะเริ่มแล้ว คนเป็นพ่ออย่างข้าคงไม่ไปร่วมไม่ได้ เจ้าก็เช่นเดียวกัน อย่าร่ำสุราอยู่เพียงลำพังตรงนี้เลย!”
เว่ยอู๋เว่ยปัดก้นและลุกขึ้นยืนก่อน ร่างอวบๆ เดินขึ้นมาแล้วเหมือนกำลังโคลงเคลง ทว่าเดินไปสองสามก้าวพลันหยุด แล้วหันไปมองตู้เหิงที่เพิ่งลุกขึ้นยืน
“จอมยุทธ์ตู้ มีบางอย่างที่ข้าต้องเตือนเจ้า ข้อตกลงกับปีศาจเสือ แปดส่วนต้องการเอาชีวิตจริง สามปีพวกเจ้าก็ลืมแล้ว แล้วหลังจากนั้นสามสิบปีเล่า ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนสหายเก่าคนหนึ่งจึงพูดมาก อย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะ หึๆๆ…”
เมื่อพูดจบแล้ว เว่ยอู๋เว่ยถึงสาวเท้าก้าวใหญ่จากไป ออกจากสวนดอกไม้ไปถึงกลางงานเลี้ยงแล้วถูกล้อมรอบด้วยเสียงจากผู้ที่กล่าว ‘ยินดี’ ส่วนเขาก็ทักทายและดูแลทุกคนอย่างทั่วถึงเช่นกัน
…
ตอนตู้เหิงกลับไปถึงข้างกายสองคนจากตระกูลเดียวกัน งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นแล้ว ข้ารับใช้ตระกูลเว่ยเวียนกันมาส่งอาหาร ถึงขนาดเตรียมหม้อสำริดไฟแรงสามใบไว้ทุกโต๊ะ เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับงานเลี้ยงบ้าง
สำหรับสถานที่อย่างรัฐจี วิธีการกินเช่นนี้แปลกใหม่มาก แขกเหรื่อทุกคนชมหม้อไฟไม่ขาดปาก ตู้เหิงยิ่งอยากอาหารมากกว่าปกติ ไม่ดื่มสุราเท่าไรแล้ว ออกแรงใช้มือซ้ายขยับตะเกียบลวกเนื้อกินอยู่ตลอด
“วันนี้พี่ตู้เป็นอะไรไป”
“ไม่รู้สิ แต่ไม่ได้เห็นพี่ตู้กินเยอะขนาดนี้มานานมากแล้วจริงๆ!”
“พวกเราก็กินเถอะ ไม่เช่นนั้นพี่ตู้ต้องกินหมดแน่!”
“ใช่ๆๆ หนทางกลับไปยาวไกลขนาดนั้น คาดว่าไม่ทันฉลองเทศกาลตรุษจีน กินเสียที่นี่ก่อนกลับไปก็แล้วกัน!”
ทั้งสองคนนับว่าเป็นน้องชายสายรองที่ค่อนข้างสนิทสนมกันในตระกูลตู้ หลังจากคุยกันไม่กี่คำก็รีบกินเช่นกัน
อย่างไรเสียตู้เหิงก็เคยเป็นอัจฉริยะบุคคลที่เก่งกาจและมีอนาคตไกลของตระกูลตู้ ถึงแม้วันนี้แขนขาดไปข้างหนึ่ง แต่ความเป็นจริงแล้วยังคงมีผู้อาวุโสส่วนหนึ่งคอยเอาใจใส่เขา และอยากให้เขาละทิ้งวิชายุทธ์ไปดูแลกิจการค้าขายอื่นของตระกูล ทว่าเขาไม่ยินยอมและเซื่องซึมอยู่บ้าง ถึงได้ให้เขาออกมาเปิดหูเปิดตาข้างนอกเช่นวันนี้
กระนั้นวันนี้คำพูดของเว่ยอู๋เว่ยไม่ได้ทำให้ตู้เหิงฮึกเหิม กลับทำให้เขาไม่คิดเซื่องซึมอีก ในเมื่อมาที่จังหวัดเต๋อเซิ่งอีกครั้ง ในเมื่อกลับบ้านไม่ทันเทศกาลตรุษจีน เช่นนั้นกินอาหารที่งานเลี้ยงจนอิ่มแปล้แล้ว ก็ไปที่อำเภอหนิงอันสักครั้งก็แล้วกัน!