เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 15 ความแตกต่างของคนธรรมดากับอสูร
ตอนที่ 15 ความแตกต่างของคนธรรมดากับอสูร
ไม่รู้ว่าก่อนมากินข้าวแล้วหรือยัง จี้หยวนไม่เห็นคนพวกนี้กินอะไร แค่ดื่มน้ำนิดหน่อยเท่านั้น
หลังจากท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิทแล้ว ชุดคลุมของคนพวกนี้พอแห้ง จึงสวมชุดคลุมเตรียมลงมือ
ดูท่าว่าการเตรียมตัวของพวกเขานอกจากพักผ่อนฟื้นฟูพลังกายแล้ว ความแห้งของเสื้อผ้าน่าจะยกระดับพลังต่อสู้ได้มาก มีหลักเดียวกับการเข้าใกล้หน้าจอเพื่อเพิ่มความแม่นยำและขยับตัวซ้ายขวาเพื่อยกระดับการหลบหลีกตอนจี้หยวนเล่นเกม
ชายร่างแข็งแกร่งสองคนแบกกระสอบใส่หมูแพะขึ้นมาใหม่อีกครั้ง คนหนึ่งในนั้นก็คือลู่เฉิงเฟิงซึ่งบอกว่าอยากเจออสูรนั่น
“เอาล่ะ พวกเราออกเดินทาง!”
เยี่ยนเฟยยังเดินนำคนแรกอย่างเปี่ยมพลัง
ลู่เฉิงเฟิงแบกกระสอบแล้วยังหันกลับมาตะโกนบอกจี้หยวน
“เจ้าขอทาน รอข่าวดีจากพวกเราเถอะ กลับมาแล้วจะพาเจ้าลงเขาด้วย!”
เฮ้ยๆๆ พี่ใหญ่ อย่าตั้งธงนักเลย!
จี้หยวนฟังคำพูดนี้แล้วลนยิ่ง ลังเลสักพักก่อนตะโกนบอกลู่เฉิงเฟิงตอนก้าวออกประตูอารามคนสุดท้าย
“จอมยุทธ์น้อยลู่ หากถึงช่วงวิกฤติอันตราย ตะโกนออกมาว่าพวกเจ้ารู้จักท่านจี้! จงจำไว้ด้วย!”
เวลานี้ลู่เฉิงเฟิงก้าวออกนอกประตูอารามแล้ว ได้ยินเสียงจึงหันกลับไปมองคราหนึ่ง ถือว่ามีแสงไฟอยู่เล็กน้อย ภายในยังคงมืดมิด มองเห็นหน้าขอทานไม่ชัดเจน
ลู่เฉิงเฟิงซึ่งไม่รู้ความหมายโดยละเอียดของประโยคนี้กลับไม่คิดมาก รีบก้าวตามพวกพ้องไปข้างหน้า
…
เขาโคเทพมียอดเขาเล็กใหญ่หลายสิบลูก ตำแหน่งที่อารามเทพภูเขาอยู่เป็นแค่เนินเขาลูกเล็กรอบนอก
แม้จอมยุทธ์น้อยเก้าคนยังขาดประสบการณ์บนยุทธภพทั้งไร้เดียงสาอยู่บ้าง แต่พื้นฐานวิชายุทธ์กลับมั่นคงมากจริงๆ เดินบนทางภูเขาขรุขระประหนึ่งเดินเล่นบนทางราบ
พูดว่าใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วยามก็ข้ามยอดเขาสามลูก มาถึงกลางป่าค่อนข้างลึกของเขาโคเทพ
เวลานี้ทั้งเก้าคนเริ่มเห็นเหงื่อเล็กน้อยแล้ว
เยี่ยนเฟยผู้อยู่ข้างหน้าสุดมองเงาร่างโดยรอบในความมืดแล้วสูดหายใจลึก
“ตรงนี้แล้วกัน เสือกินคนย่อมไม่มีทางซ่อนอยู่ในส่วนลึกของภูเขา วางหมูกับแพะลง เตรียมตัวอยู่ที่นี่!”
“อืม ได้!”
“ตอนนี้ประมาณยามซวี[1] อีกไม่นานเสือก็จะออกหากินแล้ว!”
ลู่เฉิงเฟิงกับชายถือกระบองต่างวางกระสอบของตนลง เปิดปากกระสอบออก ลากแพะตัวเมียกับหมูบ้านตัวไม่ใหญ่ข้างในออกมา
ด้วยถูกแบกมาเป็นระยะทางไกล เห็นชัดว่าสัตว์เลี้ยงสองตัวนี้มึนงงอยู่บ้าง ล้วนไม่ร้องโวยวายอะไร
“ผูกเชือกของพวกมันไว้กับต้นไม้สองต้น จริงสิ เฉือนขาพวกมันดาบหนึ่งด้วย!”
“ข้าเอง!”
ชายหนุ่มถือดาบคนหนึ่งเดินมาอยู่ข้างหมูกับแพะ ชักดาบสะบัดข้อมือเบาๆ ขาหลังของหมูกับแพะเกิดบาดแผลสองสายทันที
อู๊ด… อู๊ด…
แบ้…
ภายใต้ความเจ็บปวด สัตว์เลี้ยงสองตัวดิ้นรนขึ้นมาทันที คิดจะวิ่งหนี แต่ถูกเชือกรั้งจนไม่อาจหนีรอด
ลู่เฉิงเฟิงกับชายถือกระบองผูกเชือกสัตว์เลี้ยงกับต้นไม้ด้านข้าง ระหว่างนี้คนอื่นก็สังเกตการณ์โดยรอบ
“เอาล่ะ พวกเราซ่อนตัวรอบนต้นไม้กัน!”
ทุกคนพยักหน้าไร้เสียง พวกเขาตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย บ้างใช้วิชาตัวเบากระโดด บ้างปีนป่ายรวดเร็ว ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่สี่ห้าต้นโดยรอบอย่างดี
เพียงพริบตาภายในภูเขาสงบลง นอกจากเสียงหมูแพะบาดเจ็บร้องโหยหวนพลางกระแทกซ้ายขวาแล้ว มีแค่เสียงนกกลางคืนบางส่วนดังขึ้นเป็นครั้งคราว
รอเช่นนี้จนผ่านไปหนึ่งชั่วยาม
…
กรู๊… กรุกกรู๊… กรู๊…
เสียงร้องของนกกลางคืนทำให้รัตติกาลมืดมิดดูเงียบสงบยิ่งกว่าเดิม
ลู่เฉิงเฟิงและมือดาบตู้เหิงรวมถึงหญิงสาวนามลั่วหนิงซวงซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ซึ่งผูกติดกับแพะภูเขาไว้ มองผ่านยอดต้นและใบไม้ลงมาด้านล่าง
แพะภูเขากับหมูเหนื่อยแล้ว เริ่มจากแตกตื่นไม่สงบพุ่งชนมั่วซั่ว ถึงตอนนี้หมอบพักอยู่บนพื้นแล้ว
“ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว เสือร้ายนั่นยังมาอยู่หรือไม่”
ลั่วหนิงซวงกดเสียงต่ำถามอีกสองคน
“ไม่รู้สิ พูดตามหลักการคือเหยื่อมาถึงปากง่ายดายเช่นนี้น่าจะล่อสัตว์ป่ามาได้”
“ชู่ว!”
ลู่เฉิงเฟิงส่งสัญญาณให้พวกเขาเงียบ
ฮูม… ฮูม…
ลมกลางป่าเขาพลันแรงขึ้นมา พัดจนกิ่งก้านต้นไม้ใหญ่โดยรอบส่ายสั่น
แบ้…
พร้อมกับเสียงแพะร้อง แพะภูเขากับหมูบ้านลุกขึ้นมา กวาดมองโดยรอบอย่างประหม่า
แบ้… แบ้…
อู๊ด… อู๊ดๆ…
สัตว์เลี้ยงบาดเจ็บสองตัวพุ่งตัวไปข้างนอกอย่างร้อนรน แต่ถูกเชือกตรงคอล่ามไว้ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ทั้งเก้าคนที่ดักซุ่มอยู่คึกคักขึ้นมา
ฮูม… ฮูม…
ลมเย็นไม่เพียงพัดจนคนบนต้นไม้ผมปลิวไสว ยังทำให้พวกเขารู้สึกหนาวสะท้านอยู่บ้าง
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ลมประหลาดนี้ทำให้หลายคนกระสับกระส่ายอยู่บ้าง เวลานี้ไม่มีใครพบว่านอกจากหมูกับแพะที่เหมือนคลุ้มคลั่งแล้ว เสียงนกร้องทั้งหมดในป่าล้วนหายไป
ห่างออกไปเสือร้ายตัวใหญ่กว่าเสือทั่วไปหลายเท่าตัวหนึ่งยืนอยู่บนหินผาก้อนหนึ่งตรงส่วนลึกของป่า มองผ่านทุ่งหญ้ากลางรัตติกาลมืดมิดมาทางหมูบ้านกับแพะภูเขา นัยน์ตาคล้ายคนฉายแววดูถูกเสี้ยวหนึ่ง
เสือร้ายไม่หลบไม่หลีก ก้าวไปทางหมูแพะซึ่งติดอยู่ตรงนั้น เดินไปถึงข้างกายพวกมันช้าๆ
เวลานี้หมูหนึ่งแพะหนึ่งไม่คลุ้มคลั่งเหมือนเมื่อครู่แล้ว ตัวสั่นงันงกทรุดอยู่กับพื้นไม่กล้าขยับเขยื้อน
‘เสือร้ายตัวใหญ่นัก!’
เสือตัวใหญ่กว่าที่คิดไว้ ขนาดไม่เหมือนอย่างที่คนเคยเห็นเสือร้ายบรรยาย
คนบนต้นไม้ล้วนขนลุกชันหนังหัวชาวาบ แม้ว่าอยากล่าเสือกำจัดภัย แต่เมื่อเห็นเสือร้ายตัวใหญ่ขนาดนี้เข้าจริงก็ตื่นตระหนกไม่น้อย ใจเต้นเร็วจนน่ากลัว
เสือร้ายยืนนิ่งอยู่ข้างสัตว์เลี้ยงสองตัว เส้นขนพลิ้วไหวตามลม
‘เหตุใดเสือร้ายตัวนี้ถึงไม่กิน’
นี่คือข้อสงสัยซึ่งทุกคนนึกถึงนอกจากประหม่าแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขานัดแนะกันว่าหากไม่ผิดคาด ยามเสือร้ายกินสัตว์เลี้ยงจะกระโดดออกไปล้อมโจมตี
ใบหน้าของเยี่ยนเฟยมีเหงื่อผุดพราย เอื้อมมือขวากุมด้ามกระบี่แล้ว ถ้าเสือร้ายมีสัญญาณว่าจะวิ่งหนี เขาจะบอกทุกคนให้ปรากฏตัวทันที
แต่เวลานี้เขาพลันพบว่าเสือร้ายกลับเงยหน้ามองต้นไม้ใหญ่ที่เขาอยู่ เสียงหยาบเถื่อนแหบพร่าสายหนึ่งดังออกมาจากปากเสือร้าย
“น่าสนใจ! จอมยุทธ์ธรรมดาหรือ ในเมื่อมารนหาที่ตาย น่าจะไม่ถือว่าขัดคำสอนของท่าน!!”
พริบตานั้นทุกคนรวมถึงเยี่ยนเฟยขนลุกชันหนังหัวชาวาบไปทั้งตัว
ในใจมีแค่ความคิดเดียว ‘เป็นภูตแล้ว!’
“มาเล่นกับข้าก่อนเถอะ โฮก!”
ยามเสียงเสือคำรามดังขึ้น เสือร้ายพุ่งตัวไปทางยอดต้นไม้ตรงหน้าแล้ว ผู้เผชิญหน้ากับเสือร้ายตกใจจนมือเท้าแข็งทื่อ เสียความสามารถในการตอบสนองไปหมด
เยี่ยนเฟยกัดลิ้นตัวเองเพื่อสลัดอาการแข็งทื่อที่มาจากความกลัวก่อนตะโกนลั่น
“ลงมือ!”
ชิ้ง…
กระบี่ยาวประดับพู่พุ่งออกจากฝัก ฝืนฟันไปทางเสือร้ายด้วยอยากข่มขู่มัน
คิดไม่ถึงว่าเสือร้ายกลับไม่หลบหลีก กรงเล็บข้างหนึ่งรับกระบี่ยาวโดยตรง ในสายตาเยี่ยนเฟยเท้าเสือหนากว่าต้นขาของตน อุ้งเท้าซึ่งเผยกรงเล็บคมกริบใหญ่กว่าศีรษะตน
ตึง…
พรวด…
เหตุการณ์เกิดขึ้นชั่วพริบตาเช่นกัน กระบี่ยาวของเยี่ยนเฟยพลิกตลบ คนอื่นถูกอุ้งตีนเสือซัดตกต้นไม้ หน้าอกยังหลั่งเลือดแดงสด ร่วงตกสู่พุ่มไม้เป็นตายไม่อาจรู้
“ระยำ!”
ชายถือกระบองจ้าวหลงคว้ากระบองยาวพุ่งหวดใส่ภูตเสือร้าย แต่กระบองยังไม่ทันฟาดออกมาทั้งหมด เงาหางเหลืองดำเลือนรางสายหนึ่งมาถึงตรงหน้าแล้ว
ปึง… กร๊อบ…
ตึง…
หางเสือเหมือนเหล็กกล้าสะบัดมา ต้านกระบองซึ่งผ่าขวานหักดาบจนแตกได้ จ้าวหลงถูกหางเสือโจมตีกระอักเลือด ร่วงตกต้นไม้ใหญ่ เจริญรอยตามเยี่ยนเฟยไป
“ช่วยคน!”
“ลุย!”
คนที่เหลือทยอยกระโดดออกมาจากที่ซ่อนตัว โจมตีไปทางเสือร้ายพร้อมกัน
เจ้าภูเขาลู่เปี่ยมอานุภาพไม่เสื่อมถอย ปีนป่ายขึ้นบนต้นไม้ซึ่งเดิมเยี่ยนเฟยเคยซ่อนตัวอย่างแผ่วเบา กรงเล็บทั้งสี่ยึดต้นไม้เหมือนแมว โก่งตัวเล็กน้อย กระโดดห่างออกไปหลายจั้งก่อนดาบกระบี่มาถึงตัว
วู้ม…
สายลมพัดมาตามร่างเสือร้าย หลายคนยังไม่ตั้งกระบวนท่าก็เห็นเสือร้ายกระโดดออกนอกวงโจมตี
ตู้เหิงผู้ชักดาบออกจากฝักและลั่วหนิงซวงผู้ชักกระบี่ออกจากฝักตอบสนองเร็วที่สุด พากันแตะเท้าหมุนตัวกลางอากาศ แทบพุ่งตัวตามเสือร้ายไปติดๆ คนหนึ่งแทงคนหนึ่งฟัน พุ่งเป้าไปที่เสือร้ายซึ่งยังไม่ถึงพื้น
แต่เสือร้ายกลับก้าวเท้าทั้งสี่กลางอากาศ คล้ายออกแรงเหยียบสายลม ร่างมหึมาพลันย้ายไปอีกด้าน ทั้งทิ้งตัวลงพื้นด้วยความเร็วน่าอัศจรรย์ นัยน์ตาเหลือบเขียวจ้องมองตู้เหิงและลั่วหนิงซวง
โฮก…
เสียงคำรามทำให้คนที่เหลือตัวชาการเคลื่อนไหวเปลี่ยนเป็นแข็งทื่ออย่างน่าประหลาด
ร่างเสือร้ายเหมือนเลือนรางก่อนพุ่งตัวมาอีกครั้ง
“ระวัง!”
เสียงตะโกนของคนด้านข้างเหมือนอยู่สุดขอบฟ้า ในดวงตาตื่นตะลึงเบิกกว้างของลั่วหนิงซวงกับตู้เหิง เสือร้ายยังประชิดหน้าตน แสงเยียบเย็นบนกรงเล็บทัดเทียมทองและเหล็ก
ปึง!
ฉัวะ… ปึง!
กรงเล็บตะปบตู้เหิงก่อนค่อยโจมตีลั่วหนิงซวง
เสียงตื่นตระหนกของพวกพ้องด้านหลังยังไม่ทันสิ้นสุด ก็เห็นตู้เหิงกับลั่วหนิงซวงกระอักเลือดลอยกระเด็นไปซ้ายคนขวาคนแล้ว มือที่กุมดาบของตู้เหิงบิดออกข้างนอก
ตึง!
ตึง!
ซ่า…
สองเสียงแรกคือเสียงลั่วหนิงซวงและตู้เหิงร่วงลงพื้นซึ่งห่างออกไป เสียงหลังคือเสือร้ายโรยตัวลงพื้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
การประมือเพียงชั่วขณะ ยอดฝีมือสี่คนเป็นตายไม่อาจรู้…
ภูตเสือร้ายอยู่ห่างจากห้าคนที่เหลือไม่ไกล มันยืดตัวเหมือนแมวยักษ์บิดขี้เกียจ นัยน์ตาชวนประหวั่นมองพวกเขาอย่างเย้ยหยัน
ฟุ่บๆ… เคร้งๆๆๆ…
ดาบหัวตัดงอเก้าสิบองศาเล่มหนึ่งหมุนวน ร่วงลงข้างเท้าคนอื่นเป็นเส้นโค้ง ไม่เพียงตัวดาบโค้งงอคมดาบที่ติดกันยังบิดกลับด้วย
พวกลู่เฉิงเฟิงมือเท้าเย็นเยียบไม่อาจหายใจ ช่วงข้อต่อของมือซึ่งกำหมัดหรือกุมอาวุธซีดเผือดแล้ว
[1] ยามซวี หมายถึง ช่วงเวลา 19:00 – 21:00 น.