เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 152 เรื่องธรรมดาเล็กน้อย
ตอนที่ 152 เรื่องธรรมดาเล็กน้อย
ภายในห้องหวังลี่ซึ่งคลุมผ้าห่มอยู่กำลังฝันเห็นเรื่องอัศจรรย์ผิดธรรมดา
ในห้วงฝันหวังลี่บ้างเหมือนผู้สังเกตการณ์ บ้างเหมือนผู้มีส่วนร่วม ระยะความฝันคราหนึ่งหลายสิบปี เป็นพยานเรื่องไม่ธรรมดาช่วงหนึ่ง
ท่ามกลางฝันมีผีมีเทพมีปีศาจมีเซียน มีฉากบนโลกทั้งมีศาลมืดน่ากลัว บ้างเหมือนฝันดีบ้างเหมือนฝันร้าย
โดยทั่วไปต่อให้คนธรรมดาเจอสื่อนำจากวัตถุสื่อจิตก็ไม่มีผลอะไร ด้านหนึ่งคือจิตใจค่อนข้างอ่อนแอ สิ่งสำคัญกว่าคือจิตใจค่อนข้างผ่อนคลาย ทั้งไม่มีปราณวิญญาณหรือพลังคอยขัด
แต่จี้หยวนเป็นผู้สำแดงวิชาย่อมเล่นลูกไม้บางอย่างได้ แน่นอนว่าเห็นได้จากการให้หวังลี่แตะกระดาษ แต่จิตใจคนทั่วไปไม่สามารถรับข้อมูลมากเกินไปชั่วพริบตา จึงพาเข้าสู่สภาวะนอนหลับเพื่อป้องกัน ใช้ความฝันมาสร้างความเข้าใจ
เรื่องนี้เคยอ่านจากกลยุทธ์เจิดจรัสมาก่อนแล้ว ใช่ว่าจี้หยวนใช้วิชาอัศจรรย์แดนฝันอะไรโดยเฉพาะ ส่วนวิชาเข้าฝันจี้หยวนยังใช้ไม่เป็น แน่นอนว่าจี้หยวนควบคุมได้พอเหมาะ ไม่ถึงขั้นทำให้หวังลี่ยากจะรับ
กระบวนการนี้ไม่ส่งผลร้ายอะไรกับตัวหวังลี่ ด้วยไม่ได้ฝืนบังคับแต่ใช้วิธีนุ่มนวล ดังนั้นปัญหาเดียวอยู่ที่ความทรงจำของหวังลี่ หากความจำเขาไม่ดี ไม่แน่ว่าตื่นมายังไม่ทันเขียนอักษรก็ลืมสิ่งสำคัญบางส่วนแล้ว
การใช้วัตถุสื่อจิตของจี้หยวนนับว่าโดดเด่น แม้ฝึกปราณยังไม่ถึงขั้น แต่ใช้กระดาษธรรมดามาเป็นสื่อนำ สัมผัสครั้งเดียวแผ่ขยายถึงแกนจิต
แต่เรื่องนี้เป็นวาสนาเช่นกัน ถือเป็นวาสนาของนักเล่าเรื่องคนนี้ หากลืมจนหมด เรื่องวาสนากวางขาวยังมีจี้หยวนทราบ แน่นอนว่าไม่มีทางขาดหาย แต่ไม่มีทางกลับมาหาหวังลี่อีก
จี้หยวนยืนอยู่นอกเรือนครู่หนึ่ง ฟังหวังลี่หลับสนิทหายใจสม่ำเสมอในห้อง ภายในตรอกมีเด็กวิ่งลิงโลดมาเคาะประตูหน้าเรือนหลังนี้
ปึงๆๆ…
“เสี่ยวตง พวกเราจะไปเก็บประทัดกัน เจ้าไปหรือไม่”
เด็กสามคนตะโกนเข้ามาด้านในจากข้างนอก
“ไปๆๆ ข้ามาแล้วๆ รอข้าเดี๋ยว ข้ากำลังไป!”
ภายในเรือนมีเสียงตื่นเต้นของเด็กชายดังขึ้น คาบซาลาเปาลูกหนึ่งรีบวิ่งออกมา
“สวมผ้าพันคอด้วย อย่าเป็นหวัดเล่า!”
ด้านหลังมารดาของเด็กชายตามออกมา สวมผ้าพันคอฝ้ายให้บุตรชายค่อยปล่อยไป
เด็กทั้งหมดสี่คนรวมตัวอยู่นอกเรือน วิ่งออกจากตรอกด้วยฝีเท้าว่องไวพร้อมเสียงหัวเราะเบิกบาน
ประทัดเป็นของเล่นหายาก ช่วงปีใหม่ฉลองเทศกาลบ้านเศรษฐีถึงจุด แต่ใช่ว่าประทัดพวงทุกอันจะมีโอกาสระเบิดออก บางส่วนจะถูกดีดออกไปยามประทัดดอกอื่นระเบิดแล้ว
ปลาลอดตาข่ายเหมือนมุกกลางมหาสมุทรพวกนี้ก็คือขุมสมบัติของเด็กๆ ช่วงฉลองปีใหม่เด็กมากมายจะหาสถานที่เคยจุดประทัดทุกแห่งหน ค้นหาประทัดเล็กซึ่งยังไม่ระเบิด
มองส่งเด็กห่างไปพร้อมเสียงหัวเราะชื่นมื่น จี้หยวนถูกบรรยากาศเช่นนี้ดึงดูด แย้มยิ้มก้าวเดินจากไป ยังจำได้ว่าตอนเด็กเขาเหมือนเคยทำเรื่องแบบเดียวกัน
เมื่อกลับมาถึงถนนสันตินิรันดร์ วิชาบังตาหายไปโดยปริยาย จี้หยวนเดินบนถนนเหมือนคนทั่วไป
แม้ว่ากำลังกลับหอตำราจวนตระกูลฉู่ ทว่าไม่ได้รีบอะไร ตอนนี้ถึงเขาทำกิจวัตรประจำวันตามเดิม แต่สิบวันครึ่งเดือนไม่หลับก็ไม่ถึงขั้นมีผลกระทบอะไร
กระบี่เครือเขียวลอยอยู่ด้านหลัง เมื่อคืนหลังกวาดปราณพิสุทธิ์แล้วเงียบตลอด เดิมก็เป็นกระบี่เซียนซึ่งเครือเขียวพันรอบวิญญาณ เจตจำนงปีใหม่แฝงนัยเหนือธรรมดาต่อกระบี่เครือเขียว เมื่อคืนจี้หยวนจึงให้กระบี่เครือเขียวลอยขึ้นฟ้า
วู้ม…
ยามนี้กระบี่เซียนด้านหลังพลันส่งเสียงครวญเล็กน้อย จี้หยวนหันมามอง
“ตื่นแล้วหรือ”
วู้ม…
กระบี่เครือเขียวพลันตอบรับเสียงเบาอีกครั้ง เห็นชัดว่าตัวกระบี่ลอยอยู่ด้านหลังจี้หยวนไม่ขยับ ไม่ออกจากฝัก แต่กลับมีเจตกระบี่ยากสังเกตเห็นกวาดมองทั่วทิศ ทำให้สิ่งแปลกปลอมทั้งหมดไม่อาจซ่อนตัวภายในขอบเขตพลังของกระบี่เซียน
มุ่งหน้าตามถนนใหญ่สันตินิรันดร์ไปก็คือหนทางสู่เมืองหลวง ยิ่งก้าวเดินไปข้างหน้า ผู้คนก็ยิ่งร่ำรวย เริ่มมีจวนใหญ่สวนโอฬารปรากฏ
ที่นี่ก็คือ ‘สนามรบ’ สำคัญของเด็กบางคน
“ตรงนี้พวกเรามาก่อน พวกเจ้าไปเก็บตรงนั้น ตรงนั้นก็ไม่มีคน!”
“เหลวไหล เมื่อครู่พวกเราเก็บอยู่ตรงนี้ เห็นชัดว่าพวกเจ้าเพิ่งมา!”
มีเด็กสองกลุ่มโวยวายอยู่ข้างคฤหาสน์หลังหนึ่ง ก่อนหน้านี้ยังสถานการณ์ตึงเครียด ต่อมาสองฝ่ายหยุดปะทะกัน สองทัพกลับรวมเป็นหนึ่ง ร่วมกันบุกประตูคฤหาสน์อื่น
“ขอข้าดูหน่อยว่าเจ้าเก็บได้เท่าไร!”
“โอ้ เจ้ามีตั้งสิบกว่าดอก!”
“ข้ามียี่สิบดอกแล้ว!”
“ข้าเพิ่งเจ็ดดอกเอง…”
“อีกเดี๋ยวค่อยจุดพร้อมกัน!”
…
เมื่อจี้หยวนเดินผ่าน เด็กเหล่านี้ไม่ได้มีแค่สองกลุ่ม ค้นหาทั่วทิศโดยไม่สนว่านิ้วมือแข็งหรือแดงก่ำ ต้องการชิงเก็บสมบัติก่อนคนรับใช้ตระกูลพวกนั้นเก็บกวาดจนเกลี้ยง
คนเฝ้าประตูหลายคฤหาสน์ยามหยิบไม้กวาดออกมาจะไล่เด็กไปใช่ว่าพวกเขาดุร้าย แต่เป็นเพราะหน้าที่
จี้หยวนเดินมาถึงนอกจวนตระกูลฉู่ ฝั่งตรงข้ามถนนยังมีร้านซาลาเปาแห่งหนึ่งซึ่งเขาอุดหนุนบ่อยครั้ง เขาเตรียมซื้อซาลาเปาเล็กน้อยก่อนค่อยไปหอตำรา
คนเฝ้าประตูจวนตระกูลฉู่เป็นชายชราอายุเกินครึ่งร้อยคนหนึ่ง ตอนนี้กำลังยืนพิงอยู่ริมประตูทางเข้า เท้าไม้กวาดมองเด็กสวมชุดนวมลายดอกสองคนหาประทัด เขายังยิ้มพลางถามเด็กสองคน
“หาเจอเท่าไรแล้ว”
“ข้าสิบเอ็ดดอก เขามีเกือบยี่สิบดอกแล้ว!”
“ร้ายกาจๆ เอ้า ข้ามีลูกอมอยู่บ้าง พวกเจ้าช่วยข้าเก็บกวาดประทัด ข้าให้ลูกอมพวกเจ้าเป็นอย่างไร”
“ได้สิๆ!”
“ท่านอย่าหลอกพวกเรานะ!”
เด็กสองคนรับไม้กวาดกับที่ตักผงจากชายชรามาด้วยความตื่นเต้น เก็บกวาดอยู่ตรงนั้นอย่างขะมักเขม้น สำหรับเด็กชาวบ้านแน่นอนว่าการกวาดพื้นย่อมไม่เปลืองแรง
จี้หยวนยืนมองอยู่ด้านข้าง ผู้อาวุโสตระกูลฉู่คนนี้เขาเคยเจออยู่บ้าง ความจริงไม่ถือว่าเป็นคนเฝ้าประตู คล้ายผู้ดูแลคนหนึ่งมากกว่า ทำงานทั่วเรือนตระกูลฉู่ บ้างเป็นลูกมือบ้างออกคำสั่ง ได้รับความเชื่อใจจากตระกูลฉู่มาก
สำหรับคนธรรมดาความจริงคนผู้นี้ร้ายกาจนัก อย่างน้อยท่าทางดูเหมือนแก่ชรา แต่กลับมีวิชายุทธ์ไม่ธรรมดาติดตัว
ปัจจุบันจี้หยวนนับเป็นผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน ‘ไม่ธรรมดา’ ในใจเขาถือว่ามีน้ำหนักพอควรแล้ว
เมื่อเห็นปัญญาชนคนหนึ่งอมยิ้มยืนอยู่ด้านข้าง ชายชราผู้เฝ้าประตูประสานมือมาทางจี้หยวนเล็กน้อย ถือเป็นการอวยพรปีใหม่กับคนแปลกหน้า
จี้หยวนอวยพรตอบตามมารยาท หลังจากรอเด็กสองคนเก็บกวาดเสร็จรับลูกอม เขาค่อยเดินจากไปทางร้านซาลาเปา
หลังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา จี้หยวนปรากฏตัวบนชั้นสามของหอตำราตรงสวนหลังจวนตระกูลฉู่แล้ว
ชั้นสามของหอตำรานี้มีชั้นหนังสือไม่เท่าไร ยังมีโต๊ะกับเก้าอี้สองตัว ส่วนที่เหลือไม่มีของตกแต่งอะไร ดูเหมือนโล่งกว้าง แต่ถ้าเปิดประตูหอสองด้านของชั้นสามออกในช่วงฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูร้อน สภาพแวดล้อมย่อมปลอดโปร่งแน่
สุดท้ายก็เป็นหอตำราของตระกูลมั่งคั่ง บนชั้นหนังสือตัวหนึ่งของชั้นสามมีเครื่องเขียนเข้าชุดวางเป็นระเบียบ พู่กันหมึกกระดาษจานฝนไม่มีสิ่งใดไม่ใช่ของชั้นสูง
จี้หยวนนั่งอยู่หน้าโต๊ะตัวหนึ่งภายในนั้น กินซาลาเปาไส้ผักดองพลางอ่าน ‘ประวัติศาสตร์ร้อยจังหวัด’ รวมชุดซึ่งหามาจากชั้นสอง มีทั้งหมดหกเล่ม
ตำราเล่มนี้ไม่ได้คัดด้วยมือ แต่เป็นฉบับพิมพ์ มีรอยกดจากแม่พิมพ์อย่างแรง จี้หยวนไม่ต้องจ่อหน้าประชิดหนังสือ อาศัยการสัมผัสก็อ่านได้โดยง่าย
ต้าเจินสิบสามรัฐ รวมทั้งหมดเกือบร้อยกว่าจังหวัดอาณาเขตกว้างขวาง ตำราชุดนี้กล่าวถึงสิ่งเลื่องชื่อและประเพณีบางส่วนของแต่ละจังหวัดโดยคร่าว แม้ว่าช่วงเวลาตีพิมพ์คือเจ็ดสิบแปดสิบปีก่อน แต่ยังนับว่าน่าสนใจ ทั้งมีความหมายให้ใช้อ้างอิง
ซาลาเปาไส้ผักดองห้าลูกยังกินไม่เสร็จ จี้หยวนได้ยินเสียงพูดเข้าใกล้หอตำราเรื่อยๆ หลังจากเงยหน้าเงี่ยหูฟังครู่หนึ่ง จี้หยวนกินพลางอ่านตำราบนชั้นสามต่อโดยไม่แม้แต่จะขยับ ส่วนด้านล่างมีคนเปิดประตูทางเข้าหอตำราแล้ว
“พี่ฉู่ ได้ยินว่าเมื่อคืนจวนจิ้นอ๋องมีเรื่องนิมิตมงคลจากสวรรค์ เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
“เรื่องนี้แม้แต่เจ้าก็รู้ด้วยหรือ”
“ไม่รู้ได้อย่างไร ข้ายังรู้ว่าตอนเช้าอู๋อ๋องเขวี้ยงจอกสุราด้วย!”
“ไอ้หยา! คำพูดนี้เจ้ายังกล้าพูด”
“อยู่ต่อหน้าพี่ฉู่ไม่ใช่หรือ! จริงสิ เรื่องจวนจิ้นอ๋องเป็นจริงหรือไม่”
ด้านล่างชายหนุ่มสองคนคุยอย่างออกรส คนหนึ่งสวมเสื้อกั๊กบุฝ้ายพอดีตัวสีเขียวอ่อน คลุมเสื้อขนสัตว์พันผ้าพันคอ อีกคนสวมชุดผ้าไหมสีหมึก ผู้ติดตามยังมีชายชราซึ่งเมื่อครู่รับบทเป็นคนเฝ้าประตู
ได้ยินชายหนุ่มอีกคนซักถามต่อเนื่องอย่างสงสัย คุณชายจวนตระกูลฉู่กล่าวตามจริงแล้ว
“หึๆ เมื่อคืนท่านพ่อข้าถูกเชิญไปจวนจิ้นอ๋องเช่นกัน เรื่องมงคลนั้นทุกคนทั่วจวนจิ้นอ๋องล้วนเห็นกับตา อีกอย่าง…”
กล่าวถึงตรงนี้คุณชายตระกูลฉู่กดเสียงต่ำตามจิตใต้สำนึก
“อีกอย่างฝ่าบาทยังตรัสเชิญเทพเซียน ได้ยินว่ามีหมอกขาวปรากฏ แต่สุดท้ายเทพเซียนไม่ได้มา”
สองประโยคนี้ทำให้จี้หยวนบนชั้นสามอึ้งงันเล็กน้อย เขายังคิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อคืนมีคนตระกูลฉู่อยู่จวนจิ้นอ๋องด้วย
คล้ายเพิ่งตระหนักได้ว่ามาทำอะไร คุณชายตระกูลฉู่เอ่ยถามชายชรา
“ลุงสวี่ ‘วาทหมู่ปักษา’ ซึ่งก่อนหน้านี้ท่านพ่อข้าสั่งคนคัดลอกมาจากจวนจิ้นอ๋องชุดนั้นวางอยู่ตรงไหน ข้าจะนำมาให้พี่ซื่อดูหน่อย”
“อะ อ้อ อยู่ชั้นสองขอรับ ข้าจะหามาให้คุณชาย”
หลังจากชายชราตอบรับ เขาเดินซอยเท้ามาชั้นสอง หาชั้นหนังสือตัวหนึ่งเจออย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย เปิดตำรารวมกระดาษแข็ง ‘วาทหมู่ปักษา’
แต่ยามจะเดินลงกลับขยับจมูก
“หืม?”
เสียงนาสิกเจือความกังขานี้เบามาก แต่ทำให้จี้หยวนบนชั้นสามชะงักทันที มองซาลาเปาผักดองบนมือ
‘ผิดแผนๆ!’
ผ่านไปแค่ไม่กี่ลมหายใจ ชายชราคนนั้นเขย่งปลายเท้าปราดเปรียวมาถึงชั้นสาม ทุกขั้นตอนไร้สุ้มเสียง
หลังจากมาถึงชั้นสามชายชราตรวจมองซ้ายขวา ดมกลิ่นเล็กน้อย ขมวดคิ้วเปิดประตูหอติดระเบียงดู ไม่เห็นว่ามีใครเช่นกัน
ถือโอกาสพลิกตัวขึ้นหลังคาหอเหมือนลิงปีนต้นไม้ โรยตัวลงบนหิมะเหนือหลังคาอย่างแผ่วเบา
เขากวาดมองโดยละเอียด พบว่าหิมะขาวบนนหลังคาเป็นระเบียบ นอกจากรอยเท้าตนไม่มีรอยเท้าอื่น ยื่นศีรษะมองชายคาชั้นอื่นเบื้องล่าง หิมะขาวด้านบนไม่มีรอยเหยียบย่ำเช่นกัน
‘หรือข้าคิดมากเกินไป’
ยามชายชราสงสัย เสียงเร่งของคุณชายตระกูลฉู่ดังมาจากชั้นล่าง
“ลุงสวี่ หาเจอหรือไม่”
ชายชรารีบพลิกตัวกลับเข้าหอ ตอบรับไปทางบันไดด้านล่าง
“หาเจอแล้วๆ กำลังลงไป!”
รอชายชราจากไป จี้หยวนค่อยเดินออกมาจากเงามืดตรงโต๊ะหนังสือ นั่งข้างโต๊ะใหม่อีกครั้ง
‘ผู้เฒ่าคนนี้ความรู้สึกฉับไวนัก! ดูท่าว่าชื่อเสียงอาจารย์อิ๋นคงแพร่ออกไปอีกหน่อยแล้ว’