เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 157 แค่ลองชิมเท่านั้น
ตอนที่ 157 แค่ลองชิมเท่านั้น
เขาเมฆาได้ชื่อมาเพราะภูเขาอยู่กลางเมฆหมอก ยามดวงตะวันสาดส่องเหมาะสมเขาเมฆาย่อมมีหมอกอบอวล โดยเฉพาะตอนยืนบนยอดเขาสูงบางแห่ง มองหมอกเขาเหมือนมองมหาสมุทร ทิวทัศน์งดงามเกินคำบรรยาย
สถานที่เลื่องชื่อที่สุดในภูเขาก็คือยอดเขาชมหมอกแห่งเขาเมฆา แต่ความจริงยอดเขาหมอกอำพรางซึ่งอารามเขาเมฆาตั้งอยู่ก็ไม่เลว แค่ตำแหน่งอยู่รอบนอกเลยด้อยกว่าเล็กน้อย ภายใต้สถานการณ์ซึ่งมีทางเลือก หากมีคนคิดปีนเขาชมหมอกย่อมไม่เลือกที่นี่แน่
ถึงอย่างไรเขาเมฆาก็มีสัตว์ป่า แม้ไม่เคยมีข่าวว่ามีเสือ แต่ความจริงคือหมาป่ากับเสือดาวตัวอันตรายยังมีอยู่
สถานที่ซึ่งทุ่งนาพอต่อการใช้ชีวิตอย่างรัฐปิง ผู้ยอมเสี่ยงอันตรายหากินกับภูเขามีไม่มากจริงๆ กระทั่งว่าหากภูเขาใหญ่ซึ่งไม่ถือว่าลึกอย่างเขาเมฆาตั้งอยู่รัฐจีคงให้ความรู้สึกว่าร่องรอยผู้คนบางตา
ยามนักพรตชิงซงกับฉีเหวินพาจี้หยวนออกจากอำเภอฟ้ายังสว่าง แต่จี้หยวนกับพวกเขาเข้าป่าโดยไม่ใช้วิชาอภินิหารใด ดังนั้นต่อให้ไม่นับทางขึ้นเขา มาถึงเชิงเขาเมฆาก็ดูเหมือนเนิ่นนานไกลยี่สิบกว่าลี้
โชคดีว่าถึงแม้ฉีเซวียนกับฉีเหวินไม่มีวิชายุทธ์อะไร แต่ฝึกวิชาออกกำลังแบบลัทธิเต๋ามานานปี คล้ายแปดท่าพิชิตโรคที่จี้หยวนรู้จักเมื่อชาติก่อนอยู่บ้าง มีประโยชน์ต่อการสร้างร่างกายให้แข็งแรง ฝีเท้าของทั้งสองคนจึงไม่เลว ใช้เวลาไม่เท่าไรก็เข้าป่าแล้ว
ระหว่างนี้ยังคุยเรื่องเบ็ดเตล็ดตลอดทาง พูดถึงหมอเทวดาฉินจื่อโจวแห่งรัฐจีคนนั้น ทั้งพูดถึงตอนนั้นว่านักพรตชิงซงรักษาตัวอย่างไรรักษาตัวนานเท่าไร ทั้งกลับมารัฐปิงอย่างไร
เมื่อเข้าป่าเห็นชัดว่าตะวันคล้อยลงทางตะวันตกแล้ว ในมือถือชิ้นเนื้อกับปลาตัวใหญ่ จี้หยวนซึ่งเดินบนทางเขาเมฆาถามสองศิษย์อาจารย์อย่างหยอกล้อ
“ปกติพวกท่านกลับมาเมื่อไร จากอำเภอตงเยวี่ยถึงที่นี่หนทางยาวไกล คงไม่ถึงขั้นว่าตอนกลับมาก็ฟ้ามืดกระมัง”
เดินมาด้วยกันตลอดทาง กอปรกับความเข้าหาง่ายของจี้หยวน สองศิษย์อาจารย์ไม่ถึงขั้นเกร็งคำพูดเหมือนเมื่อครู่ พอได้ยินคำพูดนี้ของจี้หยวน ฉีเหวินบ่นขึ้นมาทันที
“ท่านจี้กล่าวตรงประเด็นแล้ว บางครั้งกลับอารามเต๋าพร้อมอาจารย์ ยังไม่ปีนเขาฟ้าก็มืดแล้ว ท่านดูสิว่าในตะกร้าบนหลังข้าเตรียมมีดพร้าสองเล่มไว้ด้วย ป้องกันสัตว์ป่า!”
จี้หยวนไม่เคยเผยวิชาเซียนอัศจรรย์อะไรต่อหน้าทั้งสองคน ความจริงในใจฉีเหวินมองท่านจี้เป็นปัญญาชนซึ่งค่อนข้างมีวิชายุทธ์สูงจิตใจดีคนหนึ่ง
แต่นักพรตชิงซงต่างออกไป ในใจเขาเชื่อว่าจี้หยวนไม่ใช่คนธรรมดามาตลอด ได้ยินศิษย์กล่าวหาตนต่อหน้าท่านจี้แล้วรู้สึกอักอ่วนมากเช่นกัน
“แค่บางครั้ง ทำเช่นนี้เป็นครั้งคราว ส่วนใหญ่ฟ้ายังไม่มืด อีกอย่างตอนนี้ข้าไปตั้งแผงบ่อยครั้ง ไปหมู่บ้านโดยรอบบ้าง เวลาส่วนใหญ่จะบำเพ็ญเพียรกลางป่าเขา”
“อ้อ บำเพ็ญเพียร? เรื่องนี้ข้าสงสัยอยู่บ้าง ไม่ทราบว่านักพรตอย่างพวกท่านบำเพ็ญเพียรอย่างไร”
ยามจี้หยวนถามปัญหานี้เขาสงสัยจริงๆ กล่าวตามความรู้บนยุทธภพที่เข้าใจ อารามเต๋าบางแห่งก็เป็นหนึ่งในสำนักแห่งยุทธภพเช่นกัน การบำเพ็ญเพียรย่อมมีขั้นตอนฝึกยุทธ์ไม่มากก็น้อย อารามเต๋าซึ่งดูธรรมดาอย่างอารามเขาเมฆา ปกติสองนักพรตบำเพ็ญอะไร ไม่ถึงขั้นเรียนรู้แค่การทำนายชะตากระมัง
“บำเพ็ญมรรค แน่นอนว่าอยากแจ้งมรรคบรรลุเซียน…เอ่อ…”
นักพรตชิงซงพลันพูดต่อไม่ได้ มองจี้หยวนซึ่งขึ้นเขามาพร้อมพวกเขาตามจิตใต้สำนึก แม้ว่าไม่กี่ปีก่อนจนถึงตอนนี้ พวกเขาไม่เคยเห็นท่านจี้คนนี้สำแดงวิชาเทพเซียนอะไร แต่เขายังมั่นใจหาใดเปรียบว่าคนผู้นี้คือเทพเซียน
พูดถึงการบำเพ็ญเซียนต่อหน้าเทพเซียน มีความรู้สึกเหมือนสอนจระเข้ว่ายน้ำอยู่บ้าง
“หึๆ…แจ้งมรรคบรรลุเซียนเป็นความคิดที่ไม่เลว พูดต่อสิ”
จี้หยวนหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ จากมุมมองตนเขาไม่คิดว่าตัวเองคือเทพเซียนอย่างแท้จริง เป็นแค่ผู้ฝึกเซียนคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนใหญ่จวนเซียน สำนักเซียน ภูเขาเซียน เกาะเซียนพวกนั้นล้วนเป็นเช่นนี้
ตอนนี้นักพรตชิงซงระวังคำพูดไม่น้อย ใคร่ครวญอย่างรอบคอบครู่หนึ่งค่อยกล่าว
“ความจริงนักพรตบำเพ็ญเพียร สิ่งที่บำเพ็ญเป็นแค่การชำระจิตใจเท่านั้น กลางป่าไม่บูชาเทพไม่ปรารถนาทรัพย์สิน วัฏจักรดาราและสรรพสิ่งทั่วหล้าคือสิ่งที่นักพรตอย่างพวกเราเคารพยำเกรง ดังคำกล่าวว่ากายใจสงบกลับสู่ธรรมชาติ สรรพสิ่งทั่วหล้าย่อมสมดุล นี่คือแหล่งกำเนิดความสงบของพวกเรา”
จี้หยวนชะลอฝีเท้า ใคร่ครวญคำพูดของนักพรตชิงซงโดยละเอียด สองนักพรตเดินช้าตามจิตใต้สำนึก ในใจนักพรตชิงซงว้าวุ่นอยู่บ้าง คิดว่าตนพูดอะไรผิดหรือไม่
“เมื่อครู่เหม่อลอยอยู่บ้าง ถ้าไตร่ตรองโดยละเอียด สิ่งที่ผู้ฝึกเซียนมากมายแสวงหาคล้ายคลึงกัน ถึงขั้นว่ามีบางส่วนเข้าใจสู้ท่านไม่ได้ นักพรตชิงซงกล่าวได้ดีนัก คนยึดหลักดิน ดินยึดหลักฟ้า ฟ้ายึดหลักมรรค มรรคยึดหลักธรรมชาติ”
จี้หยวนกล่าวสองประโยค ก่อนเร่งฝีเท้าอีกครั้ง พวกนักพรตชิงซงรีบตามไป
ปากนักพรตชิงซงยังพึมพำไม่หยุด “คนยึดหลักดิน ดินยึดหลักฟ้า ฟ้ายึดหลักมรรค มรรคยึดหลักธรรมชาติ…”
…
ในอารามเขาเมฆานักพรตชิงซงถือว่าใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดมาทำอาหารเย็นมื้อนี้ เนื้อสัตว์ซื้อมาจากตัวอำเภอ ผักปลูกเองจากสวนด้านหลัง ฟืนเก็บมาจากป่า ฝีมือการปรุงฝึกฝนสั่งสมมายาวนาน
รวมแล้วมีอาหารห้าจานน้ำแกงปลาหนึ่งชาม ดมหรือมองล้วนไม่เลว กินแล้วรสชาติสู้งานเลี้ยงมังกรไม่ได้เป็นธรรมดา แต่ถือว่าสดใหม่เลิศรส
จี้หยวนไม่กล่าวมากพิธีกับทั้งสองคน สองนักพรตเองก็ไม่วางมาดบนโต๊ะอาหาร ทั้งสามคนกินอย่างเบิกบานบนโต๊ะแปดเซียนในห้องครัวอารามเต๋า กินตั้งแต่ฟ้าสว่างถึงยามจุดตะเกียงน้ำมัน
รอเมื่อเห็นนักพรตชิงซงกินไปไม่น้อย คราวนี้จี้หยวนหิ้วห่อผ้าของตนขึ้นมาอย่างลึกลับ หยิบขวดสุราขวดหนึ่งออกมา
“มาๆๆ นักพรตอย่ามัวแต่กิน ดูสิว่านี่คืออะไร อืม ฉีเหวินเจ้ากินต่อเถอะ”
“อ้อ…”
เดิมเห็นว่าอาจารย์กับท่านจี้ต่างวางตะเกียบ ฉีเหวินทำตามเช่นกัน ยามนี้เมื่อได้ยินคำพูดของท่านจี้ เขากินต่ออีกครั้ง ตักน้ำแกงราดข้าว ดวงตาจดจ่อกับสิ่งของในมือจี้หยวนเหมือนฉีเซวียนอาจารย์ตน
นักพรตชิงซงมองขวดดินเผาก้นป้านปากแคบใบนี้จนทั่ว ด้านบนใช้ผ้าแดงปิดจุกแน่นหนา
“ท่านจี้ นี่คือขวดสุราหรือ”
“ฮ่าๆๆ…นี่คือขวดบรรจุสุรา สิ่งสำคัญไม่ใช่ตัวขวด แต่เป็นสุราภายในขวด”
ฉีเหวินใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวคลุกน้ำแกงปลาเข้าปาก ถามอย่างอึ้งงันประโยคหนึ่ง
“สุรานี้แพงมากหรือ”
จี้หยวนยิ้มพลางมองเขา ทั้งมองฉีเซวียนซึ่งทำหน้าสงสัยแต่คล้ายขบคิดเช่นกัน
“แพง? สุรานี้ไม่แพร่หลายไม่พอขาย ในใต้หล้ามีแค่คนเดียวที่ทำสุรานี้ได้ คนไม่มีวาสนาแม้ร้ายกาจแค่ไหนก็ไม่ได้ดื่ม”
ในใจจี้หยวนกล่าวเสริมประโยคหนึ่ง ‘ควรพูดว่ามีมังกรแค่ตัวเดียวที่ทำได้’
“แน่นอน สุรานี้ทำยากมาก จำนวนค่อนข้างจำกัด ดื่มแล้วเมาง่ายนัก ในมือข้ามีแค่ไม่กี่จอก ฉีเหวินยังต้องเก็บชามตะเกียบอย่าดื่มเลย นักพรตฉีเซวียน ท่านดื่มสักสองจอกเป็นอย่างไร”
ฉีเหวินถือเป็นจริงเป็นจังแล้ว แต่นักพรตชิงซงกลับคิดทบทวนอยู่บ้าง เนื้อหาทั้งภายนอกและภายในวาจาของท่านจี้ หากกลั่นกรองละเอียดถือว่าไม่เบา ดังนั้นจึงถามหยั่งเชิงประโยคหนึ่ง
“ท่านจี้ดื่มด้วยหรือไม่”
เขาเห็นจี้หยวนยิ้มพลางส่ายหัวดังคาด
“ข้าไม่ดื่มแล้ว นำมาให้นักพรตดื่มโดยเฉพาะ อย่าปฏิเสธเลย!”
ในอารามเขาเมฆานี้จี้หยวนไม่ต้องสำแดงวิชาบังตา ดวงตาสีเทาปรากฏชัดเจน ตอนนี้เมื่อมองนักพรตชิงซงจึงทำเอาฝ่ายหลังกล่าวปฏิเสธไม่ออก คาดเดาอะไรบางอย่างได้รางๆ
ตอนนี้จี้หยวนหยิบชามเปล่าใบหนึ่งจากข้างเตามาแล้วนั่งลงข้างโต๊ะใหม่อีกครั้ง ถึงอย่างไรก็ต่อชีวิตนักพรตชิงซงแล้ว ไม่ต้องรินใส่จอกสุราสร้างบรรยากาศอะไร ดื่มอึกเดียวให้รู้แล้วรู้รอด
ยามเปิดผนึกขวดสุรา นิ้วมือจี้หยวนยังเช็ดปากขวดสุราสองรอบอย่างน่าประหลาดก่อนดึงจุกออก
เอียงขวดเทสุราลงชาม สุรากลับเป็นสีเขียวอ่อน กลิ่นสุราบางเบาลอยออกมา
“หึๆๆ… มาๆๆ นักพรตชิงซงลองชิมรสชาติสุรานี้ สหายคนนั้นของข้าอายุมากแล้ว ฝีมือบ่มสุราเทียบกับฝีมือทำอาหารของท่านแล้วเด่นกว่าไม่น้อย!”
นักพรตชิงซงมองจี้หยวนทั้งมองสุราในชามตรงหน้า สุรายังกระเพื่อมไหวแผ่วเบา สะท้อนแสงตะเกียงน้ำมันหน้าโต๊ะเป็นพักๆ ในความรางเลือนเขาตาลายเหมือนเห็นว่าบนผิวสุรามีหมอกอบอวลเล็กน้อย
“เช่นนั้นข้า… จะฟังท่านจี้ ลองชิมดู?”
เมื่อฉีเซวียนถามหยั่งเชิง ฉีเหวินสอดปากประโยคหนึ่ง
“อาจารย์ ท่านไม่ดื่มสุรามาตลอดไม่ใช่หรือ”
“นักพรตน้อยฉีเหวินกล่าวผิดแล้ว ใช่ว่าให้นักพรตชิงซงติดสุรา แค่ลองชิมเท่านั้น ลองชิมไม่เป็นไร ข้าคนแซ่จี้ยังรู้จักความพอดี นักพรตชิงซงเชิญ!”
“อ๊ะ ได้!”
ฉีเซวียนยกชามขึ้นมาอย่างระวัง จมูกดมกลิ่นสุรา หมอกเลือนรางลอยเข้ารูจมูก เขาพลันมึนงงเล็กน้อยทันที ภายในสมองเหมือนมีเสียงคลื่นยักษ์ ทั้งราวกับเพลงเซียนบรรเลง
จี้หยวนเห็นเขาวิงเวียนอยู่บ้าง รีบใช้มือข้างหนึ่งดันหลังเขา พลังเจือปราณวิญญาณเสี้ยวหนึ่งแทรกเข้าตัวฉีเซวียน
“อย่าดม ดื่มเลย”
ฉีเซวียนได้สติเล็กน้อย ยกชามสุราเทเข้าปาก ปลายลิ้นสัมผัสสุราทันที รสชาติไร้สิ้นสุดแผ่ซ่านอยู่ภายใน ดวงตาหรี่ลง
แต่ยังไม่รอให้เขาลิ้มรสโดยละเอียด เขาพลันรู้สึกว่าชามถูกดันเข้ามา
“อึก…”
จี้หยวนใช้มือขวาจับชามพลิกขึ้น มือซ้ายตบหลังฉีเซวียนเบาๆ
“อึก… อึก… อึก…”
สุรากว่าครึ่งชามถูกเทเข้าปากนักพรตชิงซงเหมือนจับกรอก ฝ่ายหลังวางชามลง หันกลับมามองจี้หยวนอย่างอึ้งงัน เวลาไม่ถึงหนึ่งลมหายใจร่างกายซวนเซอ่อนยวบ นอนคว่ำบนโต๊ะส่งเสียงหายใจสม่ำเสมอ
ฉีเหวินที่อยู่ด้านข้างถูกการกระทำนี้ของจี้หยวนทำให้ตกตะลึง มองอย่างไรก็รู้สึกว่าเมื่อครู่ท่านจี้กรอกสุราอาจารย์ตน
“อะ อ้อ สุรานี้เมาง่ายมาก อาจารย์เจ้าดื่มช้าเกินไป ถ้าไม่ทำเช่นนี้เขายังดื่มไม่หมดก็ล้มแล้ว”
จี้หยวนกล่าวอธิบายกับฉีเหวินด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า
“กินข้าวๆ พวกเรากินต่อ”
“เอ่อ… ได้…”
ฉีเหวินมองอาจารย์ตนหลับสบายอย่างระวัง ไม่กล้าหย่อนก้นนั่งสักนิด