เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 166 เซียนเร้นกายในต้าเจิน
ตอนที่ 166 เซียนเร้นกายในต้าเจิน
“ท่านไม่ใช่นักพรตชิงซงอย่างแน่นอน ข้ารู้จักเบื้องลึกของฉีเซวียนผู้นั้นเป็นอย่างดี ก็แค่นักพรตกระจอกที่ชอบดูดวงคนหนึ่งเท่านั้น”
ฉู่หมิงไฉหรี่ตาและเอ่ยไต่ถาม
อีกฝ่ายรอตนเองมาหาที่ถึงอย่างชัดเจน ยิ่งไม่รู้ว่าจับตามองตนเองตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่างไรเสียมนุษย์อย่างหวงซิ่งเยี่ยก็ไม่มีทางเชิญบุคคลตรงหน้ามาได้
คนตรงหน้าเปลี่ยนใช้ใบหน้าของนักพรตชิงซง ไม่รู้เหมือนกันว่าเริ่มวางแผนตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าคนที่พเนจรดูดวงในอำเภอตงเยวี่ยเป็นเวลานานอาจไม่ใช่นักพรตชิงซงตัวจริง แต่เป็นคนที่อยู่ตรงหน้านี้
แต่ในเมื่อไม่ได้ลงมือทันที เห็นทีต้องพูดจากันก่อนแล้ว
จี้หยวนใคร่ครวญในสมองอยู่เช่นกันว่าควรพูดอย่างไร
“ท่านก็ไม่ใช่ฉู่หมิงไฉกระมัง เรื่องที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าข้าขอไม่พูด หากสะดวกใจล่ะก็ เดินไปพลาง คุยไปพลางเป็นอย่างไร”
ในท้องฉู่หมิงไฉส่งเสียงโครกคราก ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังขยับขยุกขยิก สายตาชำเลืองมองหวงซิ่งเยี่ยอย่างมีนัยยะ
ตัวหวงซิ่งเยี่ยเองเริ่มงุนงงอยู่บ้างแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนฉลาด ตระหนักได้ว่าท่าไม่ดีแล้วจากบทสนทนาเรียบง่ายระหว่างจี้หยวนกับฉู่หมิงไฉ โดยเฉพาะตอนนี้ยิ่งรู้สึกว่ามีความหนาวเย็นเข้าปกคลุมร่าง
มือซ้ายที่ไพล่หลังจี้หยวนอยู่มีเหงื่อออก ทว่ามือขวากลับผายออกไปทางหวงซิ่งเยี่ยอย่างใจกล้า
“ข้ารู้ว่า ‘เทพร่างคน’ นี้ยากนักจะหาเจอ กลับไม่คิดให้มารแท้จ้องหาโอกาส แต่ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่ ท่านอย่าเพิ่งประมือกับข้าตอนนี้ดีกว่า หากท่านกับข้าลงมือขึ้นมา ทั้งเมืองเม่าเฉียนไปจนถึงอำเภอตงเยวี่ยคงต้องราบเป็นหน้ากลองอย่างง่ายดาย”
หึ่ง…
กระบี่เครือเขียวข้างหลังส่งเสียงร้อง ท่ามกลางตัวอักษร ‘เครือเขียวบ่มเพาะวิญญาณซ่อนคมหมื่นจั้ง’ บนฝักกระบี่ ตัวอักษรซ่อนจางลง ส่วนตัวอักษร ‘คม’ เรืองแสงอย่างชัดเจน
วิ้ว…วิ้ว…
ลมสดชื่นภายในห้องโถงตระกูลหวงพัดขึ้นเบาๆ หวงซิ่งเยี่ยและสาวใช้ข้างกายหลายคนรู้สึกลมหายใจติดขัดในทันที ทว่าในสายตาของฉู่หมิงไฉ ข้างหลังจี้หยวนเหมือนกับมีแสงกระบี่สว่างขึ้นมา แต่เมื่อสะบัดศีรษะครั้งหนึ่งก็มองไม่เห็นแล้ว
“ข้าสงสัยนักว่าเหตุใดหวงซิงเยี่ยผู้นี้บ่มเพาะ ‘เทพร่างคน’ ได้ แต่ไม่ทันคิดเลยว่าจะมีเซียนผู้หนึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลัง ฮ่าๆๆ…ท่านพูดถูกต้อง หากท่านกับข้าลงมือย่อมไม่ดีกับใครทั้งนั้น ไม่ทราบว่ามีที่ใดที่สะดวกให้ท่านกับข้าสนทนากันได้บ้าง”
จนถึงตอนนี้แล้ว ทั้งสองฝ่ายควบคุมอารมณ์อย่างสุดความสามารถ ถึงขนาดใช้คำเรียกด้วยความเคารพในสถานการณ์ที่แม้เซียนกับมารไม่ลงรอยกัน
จี้หยวนหวาดกลัวมารแท้สุดขีด ถึงแม้กระบี่เซียนอยู่ข้างตนเองก็ยังเสี่ยงอันตรายอย่างถึงที่สุด ฝ่ายฉู่หมิงไฉก็หวาดหลัวจี้หยวนไม่น้อยเช่นกัน ยิ่งมีความกังวลว่าอีกฝ่ายยังคงอยู่ในที่มืด แต่ตนเองอยู่ในที่แจ้งแล้ว
‘ตอนนี้จำเป็นต้องแสร้งทำ!’
ความคิดนี้ผุดขึ้นในห้วงสมองของจี้หยวน มีวิธีจัดการแล้ว
“ฮ่าๆ ท่านกับข้าล้วนเชื่อใจกันไม่ได้ ไม่หวังให้ห่างจากหวงซิ่งเยี่ยมากเกินไปแน่นอน สถานที่ที่ดีก็ทำได้เพียงถามคนที่เหมาะสม…”
พูดถึงตรงนี้แล้ว จี้หยวนยกขาขึ้นและเหยียบลงบนพื้นอย่างนุ่มนวลที่สุดโดยพยายามไม่กระตุ้นอีกฝ่าย
“เจ้าที่รีบมา”
ลมสีเหลืองก่อตัว ควันจากบนพื้นลอยสูงขึ้น เจ้าที่ปรากฏกายตามคำเรียกแล้ว
ฉู่หมิงไฉจ้องมองเขม็ง นี่คือการ ‘คุมเทพ’ ของแท้แน่นอน อีกทั้งใช้งานอย่างง่ายดาย ไม่ได้มีพลังงานแผ่กระจายออกมาเท่าไหร่ กระนั้นความรู้สึก ‘กล่าววาจาพลังเกิดตาม’ รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง เขาหัวใจเต้นแรงอยู่บ้าง เริ่มคิดอย่างควบคุมไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรให้ตนเองหลุดพ้นโดยปลอดภัย
เจ้าที่ปรากฏกายท่ามกลางควันกลุ่มหนึ่ง แล้วโค้งกายคารวะจี้หยวนในทันที
“ข้าน้อยคารวะท่านเซียน สิ่งชั่วร้ายไม่ได้ปรากฏที่เมืองเม่าเฉียน ข้าน้อยทั้งวัน…”
เจ้าที่พูดได้ครึ่งเดียวพลันตัวแข็งทื่อ คำพูด ‘ตรวจตราทั้งวันทั้งคืนไม่หย่อนยาน’ ที่เดิมทีอยากพูดคาอยู่ในลำคอ เพราะในที่สุดเขาก็พบฉู่หมิงไฉยืนประจันหน้ากับ ‘ท่านเซียน’
ในบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ แม้รู้ดีว่าเจ้าที่ตกใจกลัว แต่ฟังจากหางเสียงของอีกฝ่ายแล้วยังคงรู้สึกชอบใจ ทำให้จี้หยวนยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ในเมืองเม่าเฉียนแห่งนี้ หากอยากหาสถานที่ถามเจ้าที่นับว่าเหมาะสมยิ่งนัก เจ้าที่ พวกข้าต้องการหาที่สงบๆ สนทนากันสักหน่อย ไม่ทราบว่าที่ใดเหมาะสมบ้าง”
เจ้าที่สูดลมหายใจ มองฉู่หมิงไฉแล้วมองจี้หยวน รับรู้ได้อย่างว่องไวว่าสิ่งนั้นไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นไหนเลยท่านเซียนจะพูดไร้สาระกับอีกฝ่ายอยู่ได้
แต่มีท่านเซียนอยู่ข้างๆ เจ้าที่สงบนิ่งมากเช่นกัน อย่างน้อยท่านเซียนก็ยังพูดจาติดตลก คนฝั่งตรงข้ามคงไม่กล้าแม้แต่จะผายลม
“เรียนท่านเซียน มิสู้ไปที่ศาลเจ้าที่ของข้า แม้จะเรียบง่าย แต่ไม่มีทางมีมนุษย์ปรากฏตัวขึ้น และไม่มีทางมีมือปราบผีมารบกวนเช่นกัน”
ศาลเจ้าที่ที่ว่าไม่ได้หมายถึงศาลเจ้า แต่หมายถึงที่อยู่อาศัยข้างใต้ดินของศาลเจ้า
จี้หยวนมองฉู่หมิงไฉ
“ท่านคิดว่าอย่างไร”
ฉู่หมิงไฉครุ่นคิดอยู่ในใจอย่างต่อเนื่อง ดวงตาทอประกายเล็กน้อย
“เทพเจ้าที่ผู้นี้เป็นท่านที่เรียกมา แทนที่จะให้เขาเป็นฝ่ายกำหนดสถานที่ ควรเป็นข้าที่กำหนดมากกว่าไม่ใช่หรือ เจ้าที่ตัวเล็กๆ ไหนเลยจะกล้าพูดคำว่าไม่ต่อหน้าเซียน เดิมข้าเป็นมาร ด้วยนิสัยชั่วร้ายของข้า จวนเจ้าที่นั่นข้าไปไม่ได้ เปลี่ยนสถานที่เถอะ”
คำพูดนี้ฟังดูแล้วชัดเจนและสมเหตุสมผล แต่จากมุมมองของจี้หยวนนั้นยากจะปกปิดคำว่า ‘ใจเสาะ’ นี่ทำให้เขาคนแซ่จี้ใจกล้าขึ้นไม่น้อยในทันที
เจ้ากลัวต่างหาก! แม้ข้าจะกลัวเหมือนกัน แต่เจ้าไม่มีทางรู้หรอก!
“เช่นนั้นท่านกำหนดสถานที่เถอะ ข้าไปที่ใดก็ได้ แม้ออกจากเมืองเม่าเฉียนก็ได้ ล้วนฟังตามท่านว่า”
“เช่นนั้นก็อยู่ที่จวนตระกูลหวงนี่แหละ!”
ฉู่หมิงไฉนั่งลงตรงตำแหน่งที่เขายืน
หวงซิ่งเยี่ยเหงื่อตก ไม่กล้าขยับตัว มอง ‘นักพรตชิงซง’ เชิงขอความช่วยเหลือ แม้ฟังจากบทสนทนาเมื่อครู่จะรู้แล้วว่านี่อาจไม่ใช่นักพรตชิงซง แต่อย่างน้อยก็นับว่าอยู่ฝั่งตนเอง
ความขี้ขลาดของฉู่หมิงไฉเมื่อครู่นี้ ทำให้จี้หยวนกล้าได้กล้าเสียมากขึ้นหน่อย
“ตกลง จวนตระกูลหวงก็ได้ เพื่อไม่ให้มีใครรบกวน ข้าว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า เจ้าที่ส่งหวงซิ่งเยี่ยและข้ารับใช้ทั้งหมดในจวนตระกูลหวงออกไปทั้งหมดทีเถอะ”
จี้หยวนพูดจบประโยคนี้แล้วเดินไปยังตรงที่หวงซิ่งเยี่ยอยู่ ตอนนี้ดวงตาสีเทาไม่อาจมอบความสบายใจให้เขาได้ แต่จี้หยวนพยักหน้าให้แล้วหวงซิ่งเยี่ยก็สบายใจขึ้นได้ไม่น้อย
“รับบัญชา!”
เจ้าที่ไม่กล้าชักช้า หลังจากรับคำสั่งแล้วเดินไปถึงข้างกายหวงซิ่งเยี่ย ไม้เท้าหวายชี้อีกฝ่ายก่อนที่จะหายไปจากพื้นพร้อมหวงซิ่งเยี่ย พวกข้ารับใช้และสาวใช้ตระกูลหวงก็ทยอยหายไปทีละคนเช่นกัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมาจี้หยวนยิ้มและสังเกตห้องโถงตรงหน้าตลอดเวลา ไม่มองฉู่หมิงไฉเลย อีกฝ่ายหรี่ตานั่งลง ยอมรับการกระทำของเจ้าที่อย่างเงียบๆ
จนกระทั่งทุกคนในจวนตระกูลหวงหายไปหมดแล้ว ตัวอักษรบนฝักกระบี่เครือเขียวถึงเริ่มจางลงและกลับสู่สภาพปกติ
บนใบหน้าฉู่หมิงไฉไม่ชัดเจน แต่ในใจกลับโล่งอกอย่างน่าประหลาด
เมื่อครู่นี้มีพริบตาหนึ่งที่เขาเตรียมระเบิดพลังออกมา ด้วยสงสัยยิ่งนักว่าหลังจากมนุษย์ตรงนี้ถูกส่งออกไปแล้ว คนที่อยู่ข้างๆ จะลงมือในทันที ทว่าเขาคิดมากไปเองเท่านั้น
จี้หยวนคิดใคร่ครวญคำพูดไว้ในใจพักหนึ่งแล้ว ตอนนี้เขาเริ่มแสดงความเมตตา อันดับแรกนั่งลงบนเก้าอี้ของหวงซิ่งเยี่ย จากนั้นยกกาน้ำชาเทน้ำชาให้ฉู่หมิงไฉแก้วหนึ่ง แล้วหยิบแก้วใหม่จากบนถาดเพื่อเทน้ำชาให้ตนเองเช่นกัน คราวนี้สมควรแก่เวลาเอ่ยปากแล้ว
“พูดตามตรง นอกจากเขาล้อมหยกและแม่น้ำเทียมฟ้า ภายในอาณาเขตอาณาจักรต้าเจิน เมื่อเห็นท่านแล้วข้าตกใจจนสะดุ้งเชียว”
ฉู่หมิงไฉย่อมไม่มีทางคิดว่าอีกฝ่ายเทน้ำชาให้ตนเองแล้วเป็นการแสดงการอ่อนข้อ ผู้มีมรรคยอดเยี่ยมมีนิสัยเรียบง่าย แต่หลายครั้งทำอะไรแล้วแปลกยิ่งกว่ามารเสียอีก
“เห็นท่านแล้วข้าก็กลัวไม่น้อยเช่นกัน! เห็นทีคนชอบดูความคึกคักในต้าเจินแห่งนี้มีไม่น้อยจริงๆ แม้แต่เซียนก็มาร่วมด้วย!”
ดื่มน้ำชาไปอึกหนึ่งแล้ว ฉู่หมิงไฉจงใจถากถางประโยคหนึ่ง
ว่ากันว่าเซียนผู้มีมรรคอัศจรรย์จะมีความรู้ล้ำลึก ยากนักที่จะถูกล่อลวงในโลกมนุษย์ ทว่าตอนนี้มาถึงที่นี่แล้วไม่ใช่หรือ ฉู่หมิงไฉเพียงถากถางเล็กน้อย ไม่กล้าพูดอะไรมากกว่านี้
หลังจากพูดคุยกันง่ายๆ เขาก็เข้าใจแล้ว หากพูดถึงมรรควิถี ตนเองอาจเก่งกาจไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายมีกระบี่เซียนที่มีจิตวิญญาณเหนือธรรมดาลอยอยู่ข้างหลัง พลังทำลายล้างย่อมไม่น้อยเป็นแน่
จี้หยวนย่อมฟังเจตนาถากถางในคำพูดของเขาออก แต่ในใจแปลกใจกับข้อมูลอื่นที่อยู่ในคำพูดของฉู่หมิงไฉมากกว่า มาดูความคึกคัก? ต้าเจินมีความคึกคักอะไรน่าดู มังกรเฒ่ารู้เรื่องหรือไม่
“เกรงว่าท่านฉู่จะเข้าใจผิดแล้ว ข้าเดิมทีก็เป็นคนอาณาจักรต้าเจิน แน่นอนว่าตอนนั้นยังไม่ได้เรียกว่าต้าเจิน แต่ข้าไม่ได้มาจากต่างถิ่นอย่างแน่นอน”
“เอ๋?”
คราวนี้ฉู่หมิงไฉมองจี้หยวน
“ภายในอาณาเขตต้าเจินนอกจากมังกรแท้ตัวหนึ่งแล้ว กลับมีเซียนอย่างท่านด้วย มังกรเฒ่าตัวนั้นไม่รู้หรือ”
จี้หยวนทำเป็นแปลกใจแต่มองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ผู้อาวุโสอิงนับว่ารู้ หรือว่าต้องตะโกนเสียงดังทั่วทุกที่เพื่อให้คนอื่นรู้ด้วย ข้ากับเทพแม่น้ำเทียมฟ้าเป็นสหายเก่ากัน บุตรธิดามังกรก็เรียกข้าว่า ‘ท่านอา’ ด้วยนะ!”
นี่เป็นความจริง จี้หยวนพูดโดยไม่มีความกดดันเลยสักนิด แต่กลับได้ยินร่างคนของฉู่หมิงไฉกลืนน้ำลายตามสัญชาตญาณ นี่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามความเคยชินของร่างกาย ทว่าโชคดีที่ควบคุมไว้อย่างดี
เซียนและมารส่วนใหญ่เข้ากันไม่ได้ เมื่อครู่นี้ฉู่หมิงไฉคิดไม่ถึงเลยว่าสองตระกูลจะรู้จักกัน หรือนี่จะไม่ใช่เรื่องจริง
จากนั้นจี้หยวนกล่าวเสริมอีก
“หลายวันก่อนข้ามอบตำราที่ตกทอดกันให้เทพแม่น้ำเทียมฟ้า อีกทั้งบอกว่าข้าเตรียมพักอยู่ที่อำเภอตงเยวี่ยช่วงสั้นๆ ด้วยนิสัยของมังกรเฒ่า ไม่แน่ว่าอีกไม่นานจะต้องมาพบข้าแน่ ฮ่าๆ”
สิ่งที่จี้หยวนเล่าเป็นเรื่องจริง แต่กลับเป็นการคุกคามรางๆ และทำให้เขามองเห็นปฏิกิริยาบางอย่างจากคนด้านข้างเช่นกัน ปราณมารภายในกายอีกฝ่ายปั่นป่วนเล็กน้อย
แม้ค่อนข้างควบคุมไว้ได้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นอาจจะดูไม่ออก แต่ตอนนี้จี้หยวนทนความเจ็บเบิกตากว้างมองดูอยู่ตลอด พิรุธเพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจรอดพ้นตาทิพย์ไปได้
ทว่าตอนนี้ในใจจี้หยวนต้องการรู้เรื่อง ‘ดูความคึกคัก’ ที่มารแท้พูดถึงว่าคืออะไรกันแน่ ฟังดูแล้วเหมือนว่าในอาณาเขตต้าเจินจะมีเรื่องพิเศษอะไรอย่างไรอย่างนั้น
ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ยังไม่ได้มืดสนิทเท่าไหร่ แต่มีเมฆดำรวมตัวกันตรงขอบฟ้าแล้ว
ครืน…โฮก…
ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องแทรกไว้ด้วยเสียงมังกรคำรามอยู่เลือนราง คนธรรมดาอาจไม่ได้ยิน แต่สีหน้าของจี้หยวนและฉู่หมิงไฉล้วนเปลี่ยนไปแล้ว บนใบหน้าจี้หยวนปรากฏความยินดี ส่วนฝ่ายหลังมีสีหน้าไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด ต่อให้แสร้งทำว่าไม่รู้สึกอะไรก็ไม่เนียนแล้ว
‘ผู้อาวุโสอิงมาช่วยแล้ว!’
จี้หยวนร้องด้วยความดีใจอยู่ในใจอย่างอดไม่อยู่ มาช้าดีกว่าไม่มา!