เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 167 ช่วงเวลาเสี่ยงตายที่สุด
ตอนที่ 167 ช่วงเวลาเสี่ยงตายที่สุด
จี้หยวนเอียงคอมอง ‘ฉู่หมิงไฉ’ ที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง
“บังเอิญจริงๆ เพิ่งพูดถึงไม่ทันไร มังกรเฒ่าผู้นี้ก็มาถึงแล้ว”
เห็นสีหน้าไม่น่ามองของฉู่หมิงไฉและเผยลมปราณดำทมิฬ นับเป็นความต้องการของจี้หยวนในตอนนี้ ความรู้สึกยินดีปรากฏขึ้นในใจอย่างน่าประหลาด
“อย่ามองว่ามังกรเฒ่าผู้นี้อายุหนึ่งพันปีเชียว บางครั้งเขาผูกใจเจ็บเก่งจริงๆ หากข้าดื่มชาอยู่กับท่านที่นี่โดยไม่สนใจเขา เขาจะต้องจดจำไว้ในใจตลอดไปแน่ ครั้งก่อนข้าก็เสียเปรียบที่งานฉลองวันเกิดของเขา อย่างไรก็ต้องเรียกเขามาที่นี่แหละนะ!”
จี้หยวนพูดอย่างมีเหตุผล ทว่าฉู่หมิงไฉด้านข้างฟังแล้วเกือบจะบีบถ้วยชาจนแตก ครุ่นคิดอยู่นาน ทว่าไม่พูดอะไรออกมาจากปากเสียที
ไม่ใช่ว่าเขาคิดหาเหตุผลยืนกรานห้ามไม่ให้จี้หยวนเรียกมังกรเฒ่าไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉู่หมิงไฉเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าอะไรที่เรียกว่า ‘ต้องยอมจำนนต่อสถานการณ์’
แต่จี้หยวนยังไม่ทันคิดเลยว่าจะใช้วิธีการใดบอกมังกรเฒ่าว่าตนเองอยู่ที่นี่ ก็พบว่าลมสดชื่นเจือความชื้นพัดเข้ามา จี้หยวนยื่นมือขวาออกไปตามสัญชาตญาณ
บนใบหน้าจี้หยวนไม่มีความรู้สึกใด แต่ในใจกลับแปลกใจอยู่บ้างและกำลังคิดว่าผมนี้คืออะไรกันแน่ ตอนผมยาวๆ ลอยเข้ามาในพื้นที่จวนตระกูลหวงเขาก็รับรู้ได้รางๆ แล้ว และเข้าใจว่ามันไม่ได้มาจากมังกรเฒ่าสำแดงวิชา แต่เป็นผมยาวของตนเองกลับมาต่างหาก
ความสนใจของฉู่หมิงไฉอยู่ที่จี้หยวนทั้งหมด ถึงขั้นลืมไปชั่วคราวว่ามีมังกรแท้บินร่อนอยู่บนท้องฟ้า
เทียบกับจี้หยวนแล้ว ฉู่หมิงไฉมองเห็นสองสิ่ง ผมยาวกลับคืนเป็นเพียงหนึ่งสิ่งในนั้น ถึงแม้ไม่มีร่องรอยพลังอะไร แต่จี้หยวนกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจน สำคัญคือจี้หยวนไม่ได้ใส่ใจมากนัก นั่นเป็นสิ่งที่สอง
ลมกลิ่นฝนบางเบาม้วนพัดเข้ามาในห้อง พัดฝุ่นผงลอยขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ฝุ่นผงลอยถึงตรงหน้าจี้หยวนแล้วกลับร่วงลงด้วยตนเอง จากมุมมองของสายตามารแท้ หยดน้ำสีเทาขนาดเล็กจ้อยติดอยู่บนเสื้อผ้าของจี้หยวน เป็นปรากฏการณ์หยดน้ำยังคงอยู่แต่สิ่งสกปรกแยกตัวออกไป นี่ไม่ใช่วิชาเลี่ยงโลกีย์อย่างแน่นอน
ขณะนี้ฉู่หมิงไฉสังเกตสีหน้าจี้หยวนอย่างละเอียด พบว่าอีกฝ่ายยังคงมองผมเส้นนั้นโดยไม่สนใจสิ่งอื่นบนร่างกายตนเองเลยสักนิด เรียกว่าไม่ใส่ใจเลยก็ได้ ท่วงท่านั้นเป็นธรรมชาติหาใดเปรียบ ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าเขากำลังใช้วิชาอะไรอยู่
ว่ากันว่ามักจะเห็นความจริงจากจุดเล็กๆ มารแท้เพิ่งเคยเจอสถานการณ์นี้เป็นครั้งแรก ถึงแม้ไม่แน่ใจว่าหมายความว่าอะไร แต่ในใจย่อมเกิดคำศัพท์ใหม่อย่าง ‘ร่างบริสุทธิ์’ ขึ้นมาอย่างเหมาะเจาะ
‘คนที่อยู่ข้างๆ ผู้นี้…เกรงว่าจะเก่งกาจกว่าที่เราจินตนาการไว้มากโข…พื้นที่ต้าเจินซ่อนเซียนที่น่ากลัวขนาดนี้ไว้คนหนึ่งโดยที่ทั่วหล้าไม่รู้เรื่องเนี่ยนะ…’
เวลาเพียงชั่วครู่ จี้หยวนมองผมยาวของตนเองไม่นานเท่าไหร่ ด้วยใจอยากทดลองดูจึงดึงกวานออกจากบนศีรษะ แล้วส่งผมยาวกลับสู่บนศีรษะ
เขาคันหนังศีรษะเล็กน้อย ผมยาวงอกกลับไป แม้แต่จี้หยวนเองก็ยังจุ๊ปากชมเชยอยู่ในใจ
วิ้ว…วิ้ว…
ลมพร้อมด้วยฝนปรอยๆ ข้างหน้าห้องโถงรุนแรงยิ่งขึ้น ตอนนี้ชัดเจนว่าผิดปกติอยู่บ้างแล้ว ดึงดูดความสนใจจี้หยวนและฉู่หมิงไฉที่กระวนกระวายใจไปไว้ข้างหน้าห้องโถงแล้ว
เอี๊ยด…อ๊าด…
บานประตูห้องโถงซึ่งเปิดอ้าอยู่ขยับอย่างต่อเนื่อง เสียงที่ดังขึ้นบ่งบอกถึงความวุ่นวายของทิศทางลม
กลิ่นคาวฝนเข้มข้นขึ้น ความรู้สึกของเมฆดำกระจายตัวเข้าโอบล้อมอำเภอตงเยวี่ย สีท้องฟ้าของเมืองเม่าเฉียนทางนี้ก็มืดครึ้มเช่นกัน
ครืน…
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นที่ขอบฟ้า ฟ้าแลบทอแสงสีขาวน่ากลัวทั้งผืนชั่วขณะหนึ่ง
ตอนสายฟ้าสว่างวาบทั่วทั้งใต้หล้า ตรงหน้าห้องโถงจวนตระกูลหวงมีคนในชุดคลุมผ้าไหมยืนอยู่สองคนแล้ว หนึ่งหนุ่มหนึ่งชรา ทั้งคู่ก็คือสองบิดาบุตรตระกูลอิงจากแม่น้ำเทียมฟ้า ลมคลั่งปนฝุ่นดินและสายฝนพร่าตาล้อมรอบพวกเขา
“เอื้อก…”
ฉู่หมิงไฉถือถ้วยชา บัดนี้กลืนน้ำชาอึกหนึ่งอย่างแรง
“ฮ่าๆๆๆ…ข้ารู้เพียงตามผมเส้นนั้นมา แน่ใจว่าจะพบท่านจี้ได้ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเรื่องน่าประหลาดใจด้วย ฮ่าๆๆๆ…”
แรกเริ่มเสียงมังกรเฒ่าสดใส ทว่าหลังจากนั้นแหบพร่าอย่างชัดเจน เพราะมีปราณมังกรไหลออกจากมุมปากอย่างต่อเนื่อง
บุตรมังกรอิงเฟิงจริงจังกว่าบิดาตนเองเล็กน้อย เขากวาดสายตามองฉู่หมิงไฉ จากนั้นสายตาจับจ้องที่ตัวจี้หยวน ก่อนจะคารวะอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
“หลานคารวะท่านอาจี้!”
“อืม ปลาตะเพียนตัวใหญ่นั่นรสชาติยอดเยี่ยมมาก ข้าติดหนี้น้ำใจองค์ชายแล้ว”
คราวนี้อิงเฟิงเรียก ‘ท่านอาจี้’ แล้วทำให้จี้หยวนค่อนข้างสบายใจทีเดียว อาจเป็นเพราะด้วยสถานการณ์นี้ด้วย ปกติแล้วจี้หยวนรู้สึกว่าบุตรมังกรผู้นี้น่ารำคาญเกินไป แต่ตอนนี้มองดูแล้วเข้าท่าขึ้นมาก
บัดนี้อิงเฟิงซึ่งแต่เดิมรักษาความเคร่งขรึมไว้อดทนไม่ไหวอีกต่อไป ความเบิกบานใจฉายชัดบนใบหน้า ในใจยิ่งปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง
“ฮ่าๆๆ…ท่านอาจี้ชอบก็ดีแล้ว ความจริงแล้วปลาตัวนั้นข้าก็ได้ติดมือมาเหมือนกัน…”
แต่ดูจากบรรยากาศในตอนนี้ อิงเฟิงสงบจิตใจและหยุดพูดแล้ว
จี้หยวนลุกขึ้นประสานมือให้มังกรเฒ่า
“ไม่พบผู้อาวุโสอิงนาน หวังว่าจะสบายดี เชิญเข้ามาดื่มชาเถอะ!”
มังกรเฒ่าคารวะจี้หยวนกลับเช่นกัน
“ย่อมสบายดีอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะช่วงก่อนข้าวิ่งวุ่นอยู่หลายที่ก็คงมาเยี่ยมท่านจี้ที่นี่ตั้งนานแล้ว แต่วันนี้ข้ามาได้เหมาะเจาะดีจริงๆ ฮ่าๆๆๆ…”
มังกรเฒ่าหัวเราะพลางจ้องมองฉู่หมิงไฉจากหางตา
“บังเอิญมาก บังเอิญมากๆ ฮ่าๆๆๆ…”
จี้หยวนก็หัวเราะด้วยเหมือนกัน
ทั้งสองฝ่ายเพิ่งสนทนากัน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ปิดบังอะไรกับคนนอกอย่างฉู่หมิงไฉเลย กระนั้นความกดดันมหาศาลกลับรวมศูนย์อยู่ที่โต๊ะฝั่งนี้ กดอัดที่เขาเพียงลำพัง ทำให้มารแท้รู้สึกเหมือนภูเขาไท่ซานกดอยู่บนศีรษะ ส่วนใต้ก้นเหมือนนั่งอยู่บนเบาะเข็ม ไม่ต้องพูดเลยว่าในใจเขาทรมานมากเพียงใด
หลังจากนั้นไม่นานเท่าไหร่ ที่นั่งในห้องโถงของจนะกูลหวงเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
จี้หยวนและฉู่หมิงไฉยังคงนั่งอยู่ด้านบนฝั่งซ้ายและขวา ส่วนมังกรเฒ่าอิงหงและบุตรมังกรอิงเฟิงนั่งบนที่นั่งทั้งสองข้างฉู่หมิงไฉ ตอนนี้มารแท้นับว่าถูกขนาบอยู่ตรงกลาง ใบหน้าเขาหม่นหมองไม่น่ามองมาโดยตลอดตั้งแต่เมื่อครู่นี้
…
“อ๋อ…ที่แท้หวงซิงเยี่ยก็บ่มเพาะ ‘เทพร่างคน’ หรือ นี่นับว่าหาได้ยากจริงๆ!”
เมื่อครู่ฟังจี้หยวนเล่าเรื่องทั้งหมดแล้วรอบหนึ่ง มังกรเฒ่าส่งเสียงร้องด้วยความแปลกใจเช่นกัน จากนั้นก็มอบความสนใจให้ฉู่หมิงไฉอีกครั้ง อืม สองบิดาบุตรตระกูลอิงสบตากันอีกแล้ว
“ใช่ หาได้ยากจริงๆ ข้าคนแซ่จี้ก็ตกใจไปแล้วรอบหนึ่ง”
ในเมื่อก่อนหน้านี้ถูกมังกรเฒ่าเปิดเผยฐานะ ‘ท่านจี้’ แล้ว จี้หยวนก็ไม่ ‘น่าเหยียดหยาม’ อีกต่อไป
ตอนนี้คุยเรื่องจิปาถะจบแล้ว จากนี้ต่างหากที่เป็นการแสดงของจริง
จี้หยวนวางถ้วยชาที่เพิ่งดื่มได้อึกเดียวลง แล้วยกกาน้ำชาเทให้ฉู่หมิงไฉเองอีกครั้งหนึ่ง มุมปากเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
“เห็นทีท่านจะไม่ค่อยชอบดื่มชา หากดื่มชาเสร็จเร็ว หลังจากนี้จะได้คุยธุระสำคัญกันต่อไป”
จี้หยวนพูดพลางมองมังกรเฒ่า ก่อนจะถอนสายตากลับมาที่ฉู่หมิงไฉอีกครั้ง
“ขอพูดตามตรงไม่ปิดบัง ความคึกคักของต้าเจินที่ท่านพูดถึงก่อนหน้านี้ แท้จริงแล้วหมายถึงเรื่องอะไรกันแน่ ข้าชินกับการตกข่าวเสียแล้ว จึงไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ
ฉู่หมิงไฉอ้าปาก คำว่า ‘ที่นี่…’ เพิ่งดังขึ้นได้ครึ่งเดียว มังกรเฒ่าก็เอ่ยปากด้วยความประหลาดใจเสียแล้ว
“ท่านจี้ไม่รู้จริงหรือ ฮ่าๆๆ…ใช่ๆ ข้าก็เพิ่งรู้ไม่นานเช่นกัน ท่านจี้ชอบชีวิตสงบเรียบง่าย ยิ่งไม่มีทางไปถามข่าวคราวอะไร”
มังกรเฒ่ายกนิ้ว กาน้ำชาลอยมาถึงข้างๆ แล้วเทน้ำชาลงแก้วของเขาให้เอง
“เล่ากันว่าภายในถ้ำสวรรค์อัศจรรย์กลางหอความลับสวรรค์ เมื่อหลายปีก่อนชายชราเครายาวสามคนผู้แตกฉานในมรรคเกิดความรู้สึกและอยากทำนาย เสียเวลาอยู่นานมากถึงจะทำนายสำเร็จ ได้ความว่าทางใต้ของรัฐหวั่น อืม น่าจะเป็นอาณาเขตของอาณาจักรต้าเจินนี่แหละ ปรากฏความเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด วาสนาแห่งมรรคที่ไร้สิ้นสุดก็ซ่อนอยู่ในนั้นด้วย”
“แล้ว?”
“ไม่มีแล้ว ได้ยินมาว่าตอนนี้ถ้ำสวรรค์อัศจรรย์ถูกปิดตายห้ามเปิดโดยสิ้นเชิง หอความลับสวรรค์ปฏิเสธการเยี่ยมเยียนทั้งหมด ชายชราเครายาวสามคนเหมือนจะได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่รู้เหมือนกันว่าข่าวแพร่ออกไปได้อย่างไร”
ในที่สุดฉู่หมิงไฉก็สบโอกาสพูด ราวกับต้องการทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย เขาพยายามควบคุมน้ำเสียงให้อ่อนโยน
“เดิมทีเรื่องนี้แพร่ออกไปก็แปลกแล้ว ดังนั้นเรื่องจริงเรื่องเท็จล้วนมีทั้งสิ้น อีกทั้งไม่อาจขอหลักฐานจากหอความลับสวรรค์ได้ ความคึกคักแห่งต้าเจินที่ว่าจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ ข้าเองก็มาลองดูเช่นกัน พบว่าหวงซิ่งเยี่ยบ่มเพาะ ‘เทพร่างคน’ ได้ ด้วยความใคร่รู้จึงอยากรอดูให้นานกว่านี้หน่อย…”
มังกรเฒ่ามองเขาด้วยสายตาเย็นชา
“โอ้? เจ้ามีกายเนื้อหรือนี่ เรื่องราวก่อนหน้านั้นเล่า แม้สหายเก่าของข้าคนนี้ไม่มีความคิดฝักใฝ่ในปีศาจอะไร แต่กลับรังเกียจมารร้ายกระทำความชั่วเป็นที่สุด อย่ามองว่าเขายิ้มร่าดื่มชากับเจ้าเชียว เจตกระบี่หมื่นจั้งที่อยู่ภายในกระบี่เครือเขียวอาจแทบควบคุมไม่อยู่แล้วก็เป็นได้”
“ฮ่าๆๆๆ…”
บุตรมังกรอิงเฟิงหัวเราะขึ้นโดยไม่ดูสถานการณ์ แต่อย่างไรเสียบิดาตนเองและท่านอาจี้ก็อยู่ตรงนี้ เขาไร้ความกดดันโดยสิ้นเชิง ได้เห็นเรื่องสนุกไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรกระมัง
ฉู่หมิงไฉฟังคำพูดนี้ของมังกรเฒ่าแล้วเกิดความรู้สึกเหงื่อตกอยู่บ้าง พลันชำเลืองมองกระบี่เซียนข้างหลังจี้หยวน มันสงบนิ่งมาก ถึงขนาดไม่มีเจตหรือปราณกระบี่รั่วไหลออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เวลานี้กลับให้ความรู้สึกว่าไม่ขยับนิ่งสงบ เมื่อขยับสะเทือนสวรรค์อย่างน่าประหลาด
ทางซ้ายมีมังกรแท้ ทางขวามีเซียน มังกรแท้เป็นมังกรเฒ่าอายุพันปี ส่วนเซียนลึกลับยากหยั่งคาด เขาจึงเกิดความคิดที่ว่า ‘นี่อาจเป็นช่วงเวลาเสี่ยงตายที่สุด’ ขึ้นมา