เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 176 เรื่องของเขาล้อมหยก
ตอนที่ 176 เรื่องของเขาล้อมหยก
แต่เวลานี้จี้หยวนเห็นท่าทางหวาดกลัวของเว่ยหยวนเซิง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางไป ครุ่นคิดดูแล้วจึงลากเก้าอี้เข้าไปใกล้เว่ยอู่เว่ยเล็กน้อย จากนั้นก้มหน้ามองเว่ยหยวนเซิง
“เสี่ยวหยวนเซิง เจ้าอยากไปเขาล้อมหยกหรือไม่ อยากฝึกเซียนหรือไม่”
“ข้า?”
เว่ยหยวนเซิงย้อนถามอย่างงุนงน ฉับพลันนั้นรู้สึกว่าแรงมือที่บิดาอุ้มตนเองอยู่เปลี่ยนเป็นเพิ่มมากขึ้น
“เอ่อ ฮ่าๆ ท่านจี้…หยวนเซิงเพิ่งสี่ขวบ ไหนเลยจะมีความสามารถในการตัดสินใจ ไหนเลยจะรู้ผิดชอบชั่วดี…”
จี้หยวนมองเว่ยอู๋เว่ยครั้งหนึ่ง ฝ่ายหลังคล้ายกับรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล พลันโมโหหนักแต่ไม่กล้าแสดงออก ทำได้เพียงคลายมือเล็กน้อย
“ถูกต้อง ข้าถามว่าเจ้าอยากฝึกเซียนหรือไม่ ก่อนหน้านี้คงจะมีท่านพ่อ ท่านแม่ และผู้อาวุโสในตระกูลเจ้าบอกเสมอว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง แล้วตัวเจ้าเองเล่า”
บนใบหน้าจี้หยวนปรากฏรอยยิ้มอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มชนิดที่ทำให้เว่ยหยวนเซิงผ่อนคลายลงทันทีที่ได้เห็น
แม้เว่ยหยวนเซิงยังเด็ก แต่กลับมีความรู้สึกรู้สา ตอนนี้ขอเพียงตนเองพูดว่า ‘ไม่อยาก ไม่ยินยอม’ เช่นนั้นทุกอย่างนี้ก็จะออกห่างตนเองไป
ผู้อาวุโสหลายคนของตระกูลเว่ยที่อยู่ตรงหน้าเหงื่อตกกันหมด มีเพียงในดวงตาของมารดาเว่ยหยวนเซิงที่ปรากฏความหวังรางๆ
เว่ยหยวนเซิงมองมารดาตนเอง จากนั้นเงยหน้ามองบิดาตนเอง สุดท้ายค่อยมองจี้หยวน
ท่านจี้ผู้นี้เป็นใครเว่ยหยวนเซิงย่อมไม่อาจไม่รู้ เขาจึงถามจี้หยวนโดยไม่ลังเล
“ท่านจี้ เซียนเหมือนกับท่านหมดเลยหรือไม่”
จี้หยวนเอียงคอคิดครู่หนึ่ง
“ใกล้เคียงกับข้าแน่นอนว่ามี แต่น้อยมาก”
ตอนนี้จี้หยวนไม่คิดมากเรื่องมาตรฐานเซียนในใจตนเองแล้ว กลับเหมือนคนธรรมดาทั่วไป มองว่าผู้ที่ฝึกเซียนมีคุณธรรมสูงส่ง มีพลังความสามารถนั่นแหละถือว่าเป็นเซียน
“เช่นนั้นหากจะถึงระดับเดียวกับท่าน ต้องมีความสามารถมากเพียงใด”
เดิมทีจี้หยวนอยากพูดว่าไม่ต้องมีความสามารถอะไรเท่าไหร่ แต่ทันใดนั้นนึกอะไรขึ้นได้ เรื่องเหล่านั้นที่ตนเองทำแม้จะเหนือความคาดหมายเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกเซียนทั่วไปจะทำได้จริงๆ
แม้การท่องไปในโลกมนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีพลังแข็งแกร่งหรือมรรควิถีสูงส่งอะไรมาก ความจริงแล้วนานวันเข้ากลับเดินผิดทางได้ง่าย ผู้ฝึกเซียนที่กล้ามีจิตใจฝักใฝ่โลกมนุษย์มักจะมีมรรควิถีไม่ต่ำต้อยเช่นกัน
“ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว ต้องมีความสามารถมากทีเดียวถึงจะใช้ได้
จี้หยวนเพิ่งตอบ เว่ยหยวนเซิงก็รวบรวมความกล้าถามอีกคำ
“ท่านไม่รับข้าเป็นศิษย์หรือ ทุกคนล้วนบอกว่าข้าฉลาด ไม่ใช่เพราะข้าเป็นนายน้อยตระกูลเว่ยถึงได้ชม”
จี้หยวนยิ้มพลางส่ายหน้า พูดเพียงคำเดียว
“ไม่รับ”
“อ้อ…แม้จะกลัวภูเขาเซียนอยู่บ้าง แต่ข้ายังอยากไปอยู่ดี ข้าอยากรู้ว่าชีวิตหนึ่งของมนุษย์ได้เจอโอกาสเช่นนี้เป็นเรื่องยากมาก หากไม่คว้าไว้จะต้องเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน”
พูดถึงตรงนี้แล้วใบหน้าเล็กของเว่ยหยวนเซิงง้ำงอ กำปั้นเล็กๆ กระชับเข้าหากันแน่น ก่อนจะพูดอย่างอึดอัดใจ
“อีกอย่างหากข้าไม่ไป ข้าตั้งใจเรียนอย่างหนักตั้งปีกว่านั้นคงจะเสียเปล่า เช่นนั้นข้าไม่พอใจหรอก!”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ…ยอดเยี่ยมๆ เจ้าคิดได้แล้ว นี่ไม่ใช่เพียงเพื่อตระกูลเว่ย แต่ยังเพื่อเสี่ยวหยวนเซิงเองด้วย อย่าทำหน้าง้ำทั้งวันเลย เจ้าเข้าใจดีแล้วไม่ใช่หรือ นี่เป็นโอกาสหายากในรอบพันปีเชียวนะ!”
จี้หยวนหัวเราะเสียงดัง จากนั้นยังไม่ลืมเย้าเด็กชายคำหนึ่ง
เสียงหัวเราะของจี้หยวนทำให้บรรยากาศภายในห้องโถงพลันผ่อนคลายลง เว่ยหยวนเซิงคล้ายกับไม่ได้หวาดกลัวเช่นเมื่อครู่นี้แล้วเช่นกัน มีแต่ถามเจื้อยแจ้วเรื่องเกี่ยวกับจวนเซียนกับจี้หยวน
“ท่านจี้ เขาล้อมหยกใหญ่หรือไม่”
“ไม่แน่ใจ ข้าอยากให้เจ้าไปแล้วบอกข้าด้วย!”
“ท่านไม่เคยไปหรือ”
“ไม่เคยน่ะสิ”
“เช่นนั้นหากข้าไปแล้วถูกขังไว้ ข้าจะบอกท่านอย่างไรเล่า!”
จี้หยวนทำเป็นข่มขู่
“พวกเขากล้ารึ!”
“ท่านพ่อข้าก็ไปด้วยได้จริงๆ หรือ”
“น่าจะไม่มีปัญหา”
“เช่นนั้นท่านแม่ข้าเล่า แม่นมข้าเล่าไปด้วยได้หรือไม่ เสี่ยวชุ่ยด้วย!”
จี้หยวนนวดขมับ
“นั่นเกรงว่าจะไม่ได้…”
…
สถานการณ์นี้ทำให้เว่ยอู๋เว่ยและคนอื่นสบายใจขึ้นมาก มีหลายครั้งที่เว่ยอู๋เว่ยจำเป็นต้องพูดแทรก แต่ก็พยายามให้ท่านจี้กับบุตรชายได้สนทนากันมากๆ
จี้หยวนคุยเล่นเป็นเพื่อนเด็กชายที่มีความคิดโลดแล่นผู้นี้จนถึงกลางดึก นับว่ากำจัดความกลัวที่เสี่ยวหยวนเซิงมีต่อจวนเซียนไปได้โดยสิ้นเชิง ภายหลังเว่ยหยวนเซิงทนความง่วงไม่ไหว หลับคาอ้อมแขนเว่ยอู๋เว่ยแล้วถึงจะหยุดพูด
เมื่อฮูหยินเว่ยอุ้มเว่ยหยวนเซิงไปนอนแล้ว จี้หยวนถึงหยิบสิ่งของแปลกๆ ชิ้นหนึ่งออกจากแขนเสื้อ เว่ยอู๋เว่ยมองอย่างไรก็เหมือนนกกระดาษธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง
“เอ่อ ท่านจี้ นี่จะให้หยวนเซิงหรือ”
“ไม่ใช่ นี่ให้เจ้าต่างหาก”
จี้หยวนวางกระเรียนกระดาษลงบนโต๊ะ จากนั้นหันไปพูดกับเว่ยอู๋เว่ย
“ดูให้ดี หากไปถึงเขาล้อมหยกแล้วพบท่านเซียนฉิวเฟิงก็มอบมันให้เขา สอนเขาดึงปีกกระเรียนกระดาษลง แล้วตรงกลางจะเปิดออกเช่นนี้”
จี้หยวนพูดไปพลาง พับไปพลาง หลังจากทำสองขั้นตอนสุดท้ายของกระเรียนกระดาษเสร็จสิ้น มันลอยขึ้นจากบนโต๊ะทั้งอย่างนั้น วนรอบจี้หยวนสองรอบและวนรอบเว่ยอู๋เว่ยอีกสองรอบ จากนั้นถึงบินกลับมาบนโต๊ะ
มันขยับศีรษะกระดาษจิกมุมข้างใต้เหมือนกับนกจริงๆ ตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ขอบที่จี้หยวนยังกางออกให้ไม่เต็มที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
หลายคนที่อยู่ตรงนี้เห็นภาพนี้แล้วตะลึงตาค้างพูดไม่ออก ถึงแม้เคยเห็นเต่าเฒ่าเลี่ยงวารี ทว่าเห็นวิชาเซียนอัศจรรย์พรรค์นี้แล้วก็ยังสั่นสะท้านในใจอย่างยากจะเลี่ยงได้อยู่ดี
จี้หยวนยิ้ม พอใจกับ ‘วิชากระเรียนกระดาษ’ ที่ตนเองสำแดงออกมาได้ยิ่งกว่าสมบูรณ์แบบ เขาหยิบกระเรียนกระดาษมากดทับ นกกระดาษที่มหัศจรรย์ตัวนั้นพลันกลับคืนสู่กระดาษที่พับไว้ธรรมดาๆ
“เข้าใจแล้วใช่หรือไม่ ถึงตอนนั้นหากไม่เจอท่านเซียนฉิวเฟิงก็ลอบใช้วิชากระเรียนกระดาษได้ มันจะบินไปหาท่านเซียนฉิวเฟิงผู้นั้นเอง”
“ข้าจำไว้แล้วๆ!”
จี้หยวนพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน เดินห่างออกจากที่นั่ง เว่ยอู๋เว่ยลุกขึ้นยืนตามเช่นกัน
“ท่านจี้ ข้าจะพาท่านไปเรือนพักผ่อนเอง!”
จี้หยวนหยุดฝีเท้า หันไปกล่าวว่า
“ไม่ต้องหรอก ฝากคำข้าไปบอกเสี่ยวหยวนเซิงก็พอ”
“ท่านจี้เชิญกำชับ!”
เว่ยอู๋เว่ยตอบอย่างนอบน้อม ด้วยรู้สึกได้รางๆ ว่าท่านจี้จะจากไปแล้ว
“ดูจากท่าทางของเขาก่อนหน้านี้ นับว่าเขารู้จักวางตัวและมีปฏิสัมพันธ์ดีต่อข้า เจ้าตระกูลเว่ยน่าจะบอกเขาไว้กระมัง”
“ขอรับ! ท่านจี้คงไม่ตำหนิข้าใช่หรือไม่”
“ไม่ตำหนิๆ เป็นเช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน บอกเสี่ยวหยวนเซิงแทนข้าที ว่าข้าอยากให้เขากลายเป็นเซียนเช่นข้า ข้าคนแซ่จี้เอาจริงเอาจัง หากเห็นด้วยกับข้าแล้วไม่อาจลืมได้!”
“แน่นอนๆ ข้าคนแซ่เว่ยจะต้องบอกหยวนเซิงและเร่งเร้าเขาด้วย!”
จี้หยวนพยักหน้า ก่อนจะประสานมือให้ทุกคนในตระกูลเว่ยที่ลุกขึ้นยืนกันหมดแล้ว
“เช่นนั้นข้าคนแซ่จี้ขอตัวลา ทุกท่านไม่ต้องไปส่ง”
พูดจบแล้วจี้หยวนก็เปิดประตูก้าวออกไป เว่ยอู่เว่ยและคนอื่นๆ รีบตามออกไป ถึงท่านจี้จะพูดว่าไม่ต้องไปส่ง แต่ไหนเลยจะไม่ไปส่งจริงๆ ได้
ทว่าทุกคนออกจากประตูแล้วกลับพบว่าทางเดินข้างนอกและในลานบ้านไร้เงาร่างของจี้หยวน มีเพียงสาวใช้และข้ารับใช้หลายคนที่คอยท่าอยู่ตรงประตูรีบทำความคารพให้ทุกคนที่ออกมา จากนั้นส่งเสียงเรียกอย่างพร้อมเพรียง
“เจ้าตระกูล!”
เว่ยอู๋เว่ยมองซ้ายมองขวา
“เห็นท่านผู้นั้นที่เพิ่งออกมาหรือไม่ เขาไปแล้วหรือ เหาะขึ้นฟ้าใช่หรือไม่”
ข้ารับใช้ทั้งหลายมองหน้ากัน คนหนึ่งที่ค่อนข้างมีอายุในหมู่พวกเขาตอบด้วยความลังเลอยู่บ้าง
“เจ้าตระกูล เมื่อครู่ประตูพลันเปิดออก แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มีเพียงพวกท่านที่เดินออกมาขอรับ”
เว่ยอู๋เว่ยได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักงัน อาสาม พ่อบ้าน และคนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากัน
ในค่ำคืนที่ถูกหนดให้นอนไม่หลับสำหรับคนตระกูลเว่ยนั้น จี้หยวนกลับเหาะไปพักที่อำเภอหนิงอัน ไม่ได้กลับมานานหลายปี คิดถึงลานเล็กที่เงียบสงบแห่งนั้นทีเดียว
ได้ยินว่าอาจารย์อิ๋นไปเจ้าเมืองทีรัฐอื่นแล้ว คนตระกูลอิ๋นน่าจะไปกันหมดเช่นกัน ไม่รู้หมือนกันว่าที่เรือนสันติตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ใช่ว่าฝุ่นหนาสามชุ่ม หรือต้นพุทราออกดอกแล้ว
…
เขาหยกเขียวซึ่งอยู่ห่างจากจังหวัดเต๋อเซิ่งแปดถึงเก้าร้อยลี้ ตัวภูเขายืดยาวไปถึงห้าร้อยลี้ และมีเทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยเมฆและหมอกตลอดทั้งปี แม้แต่นักเดินทางบนภูเขามากประสบการณ์ก็มักจะหลงทางและกลับไปยังสถานที่เดิม เทือกเขาหมอกเมฆานี้เป็นสถานที่ตั้งของเขาล้อมหยกอันมีชื่อเสียงโด่งดังในต้าเจิน
ทว่าเทือกเขาเมฆาเขียวในตอนนี้ไม่ได้เงียบสงบเหมือนในอดีต กระเรียนเซียนสองตัวระหกระเหินกลับมา เห็นชัดเจนว่าขนยุ่งเหยิงและเปื้อนเลือดเป็นหย่อมๆ
บนหลังกระเรียนเซียนตัวหนึ่งนั่งไว้ด้วยผู้ฝึกเซียนซึ่งตอนนี้มีสีหน้าเหี่ยวเฉา
แคว้ก…แคว้ก…
กระเรียนเซียนสองตัวบินวนเวียนท่ามกลางเมฆหมอก ผลัดกันส่งเสียงร้อง จนกระทั่งเมฆหมอกแหวกออกด้วยตัวมันเอง
หลังจากบินผ่านไอหมอกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า หมอกขาวตรงกลางพลันกระจายไป ยิ่งสว่างไสวท่ามกลางยามค่ำคืนอย่างชัดเจน มีอาคารสูงตั้งตระหง่านระหว่างยอดเขาสูงชันและหน้าผา นอกจากนี้ยังมีสะพานเล็กๆ และสายน้ำที่ซ่อนอยู่ในหุบเขาอันเงียบสงบ
แคว้ก…แคว้ก…
กระเรียนสองตัวบินเร็วมาก แต่เหมือนลดความเร็วลงไม่ได้มากกว่า พวกมันไถลลงบนยอดเขาเตี้ยด้วยแรงเหวี่ยงมหาศาล เมื่อปีกกระพือและร่อนลง เท้าของนกกระเรียนก็ไม่มั่นคง จึงพากันล้มหน้าคว่ำลงบนพื้น เซียนบนหลังก็กลิ้งตกลงบนพื้นด้วย
แคว้ก…
กระเรียนเซียนเฝ้าภูเขากระพือปีกราวสายลมตามมาถึง ตกลงข้างหนึ่งคนสองกระเรียนแล้วกลายร่างเป็นสตรีในชุดคลุมขนนกผู้หนึ่ง
“เป็นไปได้อย่างไร”
ด้วยความตกใจ นางรีบโยกย้ายปราณวิญญาณโดยรอบเพื่อรวบรวม และมองออกว่าหนึ่งคนสองกระเรียนหมดพลังแล้ว
เสียงร้องของกระเรียนเซียนทำให้เซียนบนเขาล้อมหยกตื่นตกใจ ตอนที่มันตกลงบนยอดเขาเตี้ย มีคนสี่คนเลี่ยงวาโยมาถึง ขณะเดียวกันก็ร้อนลงบนยอดเขาเตี้ยเช่นกัน
“ศิษย์น้องจ้าว”
“แม่นางกระเรียนรู้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องใด”
“ข้าเพิ่งมาถึงเช่นกัน ท่านเซียนจ้าวและสหายกระเรียนทั้งสองยังคงไม่ได้สติ”
“ใช้พลังไปหมดแล้ว”
“อาจารย์อาเผยเล่า พวกเขาไปที่หอขอบฟ้าด้วยกันแล้วไม่ใช่หรือ”
“ใจเย็นๆ พาศิษย์น้องจ้าวและกระเรียนเซียนไปรักษาที่หอเมฆากว้างก่อน”
เซียนหลายคนและกระเรียนเซียนร่วมกันสำแดงพลัง ขี่เมฆลอยไปยังอาคารที่อยู่บนยอดเขาสูง ครั้นสะบัดแขนเสื้อมีกระแสงแสงส่องออกมาจากในอาคาร จากนั้นทุกคนก็ลอยเข้าไปข้างใน