เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 183 กระเรียนวิญญาณกระดาษ
ตอนที่ 183 กระเรียนวิญญาณกระดาษ
นักพรตที่เพิ่งออกมาเห็นหญิงสาวที่แปลงกายจากกระเรียนเซียนแล้ว จึงถามด้วยความสงสัยอยู่บ้าง
“กระเรียนเซียน เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่ เด็กคนนี้เป็นศิษย์ของใครกัน”
ผู้มาสวมชุดคลุมยาวสีน้ำตาล อายุประมาณห้าหรือหกสิบปี มองเด็กชายที่กระเรียนเซียนอุ้มไว้ด้วยใบหน้าฉงน ด้วยไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง
“อ้อ เรียนท่านเซียนหวง เด็กคนนี้เป็นทายาทตระกูลเว่ยที่มีบุญคุณต่อข้า กายมีจิตวิญญาณดีเยี่ยม กำลังเตรียมเข้าเขาล้อมหยกของพวกเรา จริงสิ เมื่อครู่ท่านเห็นอะไรบินเข้าไปหรือไม่”
“หืม?”
นักพรตเสื้อสีน้ำตาลหันหลังไปมองอย่างสงสัย ดูจากปฏิกิริยานี้กระเรียนเซียนก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่สังเกตเห็นจริงๆ
หอเมฆาสงบหรือหอเข้าฌานมีหมอกขาวจางๆ โอบล้อมอยู่โดยรอบ ส่วนตัวกระเรียนกระดาษสีขาวราวกับหิมะไม่มีพลังผันแปรหรือพลังปราณใดๆ พริบตานั้นที่ลอดเข้าไปในเขตอาคม ท่านเซียนหวงผู้นี้จึงไม่สังเกตเห็นโดยสิ้นเชิง
“ท่านเซียนหวง เมื่อครู่มีนกกระดาษตัวหนึ่งบินเข้าไปแล้ว ข้าตามนกกระดาษตัวนั้นมาที่นี่”
กระเรียนเซียนอธิบายคำหนึ่ง เรื่องนี้ปิดบังไว้ไม่ได้
“เป็นกระเรียนกระดาษ…”
เว่ยหยวนเซิงพูดแก้จากในอ้อมแขนของกระเรียนเซียนเบาๆ
“กระเรียนกระดาษ?”
นักพรตเสื้อสีน้ำตาลมองเว่ยหยวนเซิงแล้วมองกระเรียนเซียน ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะโบกมือเปิดเขตอาคมอีกครั้ง
“ไป พวกเราไปดูกันหน่อย!”
พูดจบแล้วเขาก็เดินกลับหอเมฆาสงบ กระเรียนเซียนรีบอุ้มเว่ยหยวนเซิงตามไป เดิมทีนางก็ต้องอุ้มเด็กชายมาที่นี่อยู่แล้ว อีกทั้งท่านเซียวฉิวเฟิงอาจอยู่ข้างในก็เป็นได้
ลึกเข้าไปในอาคารสูงใหญ่นอกหอเมฆาสงบ พื้นที่ซึ่งซ่อนอยู่กลางหมอกขาวไม่น้อยเลยจริงๆ ข้างในมีหอตำราและห้องสงบใจขนาดใหญ่ ที่นี่มีคนอยู่ไม่มาก ทว่าหน้าประตูห้องสงบใจจำนวนหนึ่งส่องสว่าง น่าจะมีคนอยู่ข้างใน
กระเรียนเซียนเล่าเรื่องตระกูลเว่ยให้นักพรตเสื้อสีน้ำตาลฟังโดยสังเขป และให้เว่ยหยวนเซิงอธิบายที่มาของกระเรียนกระดาษ มันมาจากท่านจี้ผู้นั้นดังคาด
ยอดหอเมฆาสงบในเวลานี้ ฉิวเฟิงและเซียนหยางหมิง ศิษย์พี่ของเขากำลังนั่งเรียงหน้าอยู่บนเบาะร่วมกับนักพรตอีกสามท่าน หนึ่งในนั้นคือ ‘ศิษย์พี่จ้าว’ ที่หมดสติก่อนหน้านี้ ส่วนอีกสองคนสวมเสื้อขนนก ซึ่งก็คือกระเรียนเซียนสองตัวนั้น
ฝั่งตรงข้ามทั้งห้าคนมีเบาะอยู่อันหนึ่ง บนนั้นนั่งไว้ด้วยชายวัยกลางคนสวมเสื้อสีเขียวอายุสี่สิบกว่าปี เคราดกดำยาวถึงกลางหน้าอก กำลังถือป้ายหยกมองและคิดอย่างละเอียด
“ศิษย์หลานจ้าว หมายความว่าตอนศิษย์พี่เผยให้เจ้าและสหายกระเรียนทั้งสองส่งป้ายหยกกลับ พวกเจ้าไม่ได้โชคร้ายเจอการจู่โจม ทว่าระหว่างทางกลับต้าเจินถึงพบมารร้ายหรือ”
ชายเสื้อเขียวคล้ายกับอ่านข้อมูลบนป้ายหยกเสร็จแล้ว คราวนี้ถึงถามคนที่อยู่ข้างล่าง
“ถูกต้อง ทีแรกข้าไม่รู้ตัวเกือบเข้าตาจน หากไม่ใช่เพราะสหายกระเรียนสองท่านพลังสูงส่งบินรวดเร็วเหนือธรรมดา พวกข้าอยากกลับเขาล้อมหยกยังต้องเสียสิ่งแลกเปลี่ยนไปมากทีเดียว”
ชายชุดขนนกคนหนึ่งต่อบทสนทนาด้วยความฉงน
“ที่น่าแปลกคือวันนั้นพวกข้าไม่ละความพยายามที่จะใช้พลังหนีออกไปในสายลมนอกท้องฟ้า เมื่อเข้าเขตต้าเจินแล้ว พวกมารร้ายเหล่านั้นกลับไม่ตามมาแล้ว หากบอกว่ากลัวโชคชะตาสถานการณ์พลิกผัน อยู่กลางลมนอกสวรรค์ต้องส่งผลกระทบถึงต้าเจินถึงจะถูกต้อง”
เซียนหยางหมิงข้างฉิวเฟิงกล่าว
“เรื่องนี้แปลกจริงเชียว แต่ไหนแต่ไรเขาล้อมหยกของพวกเราไม่มีความแค้นอะไรกับโลกภายนอก เรื่องหอความลับสวรรค์ครั้งนี้ยังคงเป็นแค่ข่าวลือ…”
“คำพูดนี้ของศิษย์พี่ไม่ค่อยดีนัก ก่อนหน้านี้พื้นที่รัฐปิงมีผู้สูงส่งประมือ ตามคำพูดของผีสางเทวดาท้องถิ่น ประมุขมังกรแห่งแม่น้ำเทียมฟ้าตอนนั้นก็อยู่ในเหตุการณ์ ร่วมกับผู้สูงส่งอีกคนออกโรงหยุดยั้งมารแท้ ขับไล่ไปที่เกาะเมฆาบูรพา…เรื่องนี้คนนอกไม่รู้ ทว่าผีสางเทวดาที่จังหวัดฉางชวนประสบด้วยตนเอง”
ชายเสื้อเขียวที่นั่งอยู่ตรงหน้าทั้งห้าคนมุ่นคิ้วใคร่ครวญ
“ประมุขมังกรแห่งแม่น้ำเทียมฟ้ายากคาดเดาอารมณ์ ครั้งนั้นกลับลงมือ นอกจากมารแท้แล้ว อีกท่านหนึ่งคือใครกัน หรือว่าเป็นมังกรแท้เหมือนกัน”
ต้าเจินแห่งนี้คล้ายกับเปลี่ยนเป็นไม่คุ้นเคย เดิมทีมีมังกรเท้พำนักในแม่น้ำก็ยากพบเจอมากแล้ว ตอนนี้เห็นทีสภาพการณ์ซับซ้อนขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ส่วนพวกเขาเขาล้อมหยกเหตุการณ์ผ่านมาแล้วถึงรู้ตัว
“จริงสิอาจารย์อาเริ่น บนป้ายหยกของอาจารย์อาเผยบอกอะไรบ้าง เป็นข้อมูลอันแม่นยำที่หอความลับสวรรค์มอบให้หรือ”
ชายเสื้อเขียวส่ายหน้า สีหน้าแปลกๆ อยู่บ้าง
“หอความลับสวรรค์คล้ายกับพยายามอย่างหนักหลังจากปิดถ้ำเข้าฌาน ทว่าเนิ่นนานแล้วไม่ได้อะไร ศิษย์พี่เผยช่วยพวกเขาทำความเข้าใจภูมิประเทศต้าเจินและกลิ่นอายสายน้ำป่าเขา รวมถึงอานุภาพของราชวงศ์ คิดรวมกำลังเสี่ยงดวงอีกสักครั้ง ยังไม่อาจมีผลลัพธ์ในเวลาอันสั้น”
“เอาล่ะ เรื่องนี้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ อย่าให้ส่งผลกระทบถึงการฝึกตนของคนอื่นในเขาเป็นพอ ข้าคำนวณดูแล้ว กลิ่นอายของต้าเจินไม่ได้ผิดปกติ แต่ละรัฐแต่ละจังหวัดล้วนมีผีสางเทวดาดูแลไม่ให้มารร้ายกล้ำกราย แม้ราชวงศ์ของมนุษย์มีเค้าลางเสื่อมสลายกลับไม่มีสงครามหายนะ แม้อยู่ที่เกาะเมฆาบูรพาก็ยังคงเป็นแดนสวรรค์ ผู้ฝึกเซียนข้างนอกไม่มีทางเห็นความวุ่นวายมาเยือน”
มักจะพูดกันว่าโลกมนุษย์ถือครองโดยอำนาจอันเที่ยงตรง ผีและเทพหลายองค์ถูกสร้างขึ้นตามความปรารถนาของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกมนุษย์โดยเฉพาะเผ่ามนุษย์เอง และเป็นพลังที่ไม่อาจนับได้ว่าอ่อนด้อย
ยิ่งเป็นสภาพสังคมที่เรียกได้ว่าสงบสุขอย่างต้าเจิน ความมั่นคงเป็นชะตาฟ้า มรรควิถีถึงระดับที่แน่นอนแล้วไม่กล้าก่อความวุ่นวายตามใจชอบ อย่างน้อยก็ไม่กล้าทำชั่วโดยไม่ละอายใจ ด้วยเคราะห์กรรมพันตัว ปีศาจร้ายจึงมักก่อเรื่องเลวร้ายตามอำเภอใจในสถานที่ที่ใต้หล้าไม่มั่นคง
ชายเสื้อเขียวกล่าวประโยคนี้ เท่ากับเป็นการบอกว่าตอนนี้ไม่มีผลอะไร ทุกคนเลยแยกย้ายกันไปฝึกเซียน
ตอนที่ฉิวเฟิงและเซียนหยางหมิงเดินออกจากห้องสงบใจในหอเข้าฌานของอาจารย์อา พลันมีนกกระดาษแปลกประหลาดตัวหนึ่งตีปีกบินอย่างรีบร้อน
ฉิวเฟิงและศิษย์พี่ของเขาสังเกตเห็นนกกระดาษตัวนี้แล้ว นกกระดาษบินจากที่ไกลมาอยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็วเสียอย่างนั้น อีกทั้งบินวนรอบตัวฉิวเฟิงอีกต่างหาก
“เจ้านกกระดาษตัวนี้? เป็นวิชาอัศจรรย์ใดกัน ไม่มีการแปรผันของพลังและปราณวิญญาณด้วย!”
เซียนหมิงหยางก็อยากรู้เช่นกัน จึงยื่นมือคิดคว้านกกระดาษตัวนี้ ปรากฏว่านกน้อยตีปีเร็วๆ หลบลี้ ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าฉิวเฟิง ห่างออกไปเพียงถึงฉื่อเท่านั้น
สามคนข้างนอกก็มองภาพนี้อย่างแปลกใจ นกกระดาษตัวนี้มีไหวพริบมาก ราวกับมีคนกำลังควบคุมมันอยู่ในตอนนี้ แต่กลับไม่มีพลังแปรผันอะไร มองแล้วก็ไม่เหมือนว่าเป็นเล่ห์กลอะไรเช่นกัน
ฉิวเฟิงมองศิษย์พี่แล้วมองนกกระดาษตัวนี้ ลองยื่นฝ่ามือไปหามัน
เป็นดังคาด นกกระดาษตีปีกสองครั้ง ค่อยๆ ร่อนลงที่กลางฝ่ามือของฉิวเฟิง จากนั้นยืดคอกระดาษส่งเสียงร้องอยู่ตรงนั้น
ทันใดนั้นข้อความจากวัตถุสื่อจิตก็ส่งเข้าสู่ความคิดของฉิวเฟิง ทำให้เขาชะงักงันไปครู่หนึ่งอย่างชัดเจน
พอดึงสติกลับมาได้ นกกระดาษกลางฝ่ามือไร้ปฏิกิริยาไปแล้ว ราวกับกลายเป็นกระดาษพับธรรมดาๆ
“ศิษย์พี่ ยังจำเรื่องที่ข้าบอกกับท่านว่าเจอผู้สูงส่งคนหนึ่งบนเขาคทาในปีนั้นได้หรือไม่”
“ย่อมจำได้ ทำไมหรือ หรือว่ากระเรียนกระดาษนี้เกี่ยวข้องกับเขา”
เซียนหยางหมิงหยิบหางกระเรียนกระดาษจากฝ่ามือฉิวเฟิงมามองดูอย่างละเอียดด้วยความใคร่รู้ มองอย่างไรก็เป็นเพียงกระดาษแผ่นหนึ่ง
“ถูกต้อง นกกระดาษนี้เป็นผู้สูงส่งแซ่จี้ผู้นั้นพับเอง ใช้วิธีวัตถุสื่อจิตฝากข้อความมา ข้าต้องไปอธิบายกับอาจารย์อาสักหน่อย ผู้ฝึกเซียนลึกลับที่ลงมือในรัฐปิงอาจจะเป็นเขา!”
เมื่อพูดจบแล้ว ฉิวเฟิงไม่กล้าล้าช้า รับกระเรียนกระดาษคืนจากมือศิษย์พี่และย้อนกลับไปที่ห้องสงบใจ อีกสี่คนลังเลครู่เดียวก็ตามกลับไปด้วย
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งถ้วยชา ภายในห้องสงบใจของอาจารย์เริ่นผู้นี้ไม่เพียงมีฉิวเฟิงและอีกห้าคนอยู่ด้วย แม้แต่กระเรียนเซียนที่อุ้มเว่ยหยวนเซิงไว้ รวมถึงนักพรตเสื้อน้ำตาลผู้นั้นก็นั่งอยู่ที่นี่ด้วยกัน
ฝ่ายชายเสื้อเขียวหยิบหางกระเรียนกระดาษมาพิจารณาดูทั้งบนและล่างด้วยสับสน เขามองอยู่ได้ครู่ใหญ่แล้ว ทว่ามองอย่างไรก็รู้สึกว่านี่เป็นกระดาษธรรมดาแผ่นหนึ่ง
ด้วยความไม่เข้าใจจึงเตรียมคลี่กระเรียนกระดาษออกดู ปรากฏว่าการเคลื่อนไหวนี้คล้ายกับทำให้กระเรียนกระดาษตกใจ กระเรียนกระดาษที่แต่เดิมเหมือนกระดาษที่เด็กๆ พับเล่นพลันกระพือปีก หลุดพ้นจากมือของชายเสื้อเขียว หนีไปอยู่ในอ้อมแขนของเว่ยหยวนเซิง
“เอ๋…มีชีวิตจริงๆ หรือ”
“อาจารย์อา กระดาษแผ่นนี้เกิดปัญญาแล้วหรือ”
ชายเสื้อเขียวยิ้ม
“ไม่ใช่หรอกๆ วิชาแปลกอัศจรรย์เช่นนี้เป็นวิชาที่ผู้สูงส่งคิดค้นขึ้น ทว่านกกระดาษนี้…”
“เป็นกระเรียนกระดาษ!”
เว่ยหยวนเซิงพึมพำกับตนเองด้วยเสียงเบาหวิว กระนั้นยังคงทำให้ชายเสื้อเขียวข้างบนชะงัก จากนั้นค่อยพูดต่อ
“อืม ทว่าวิชามหัศจรรย์นี้ทำให้กระเรียนกระดาษมีไหวพริบปานนี้ หากกล่อมเกลาปราณวิญญาณฟังมรรคลึกล้ำอยู่เรื่อยๆ เกิดกำลังภายในไม่หยุดหย่อน ก็อาจมีวันหนึ่งที่เกิดผลสำเร็จขึ้นจริง”
“กระดาษแผ่นหนึ่งก็เกิดปัญญาได้หรือ”
นักพรตในชุดคลุมสีน้ำตาลถามด้วยความสนใจ ชายเสื้อเขียวข้างบนยิ้มพลางย้อนถาม
“ก้อนหินยังเกิดจิตวิญญาณได้แล้ว แล้วเหตุใดกระดาษจะไม่ได้”
ระหว่างสนทนากัน ชายเสื้อเขียวกวักมือ กระเรียนกระดาษในอ้อมแขนของเว่ยหยวนเซิงพลันถูกดูดกลับไปยังฝ่ามือของเขา แต่ตอนนี้กระเรียนกระดาษ ‘แกล้งตาย’ หรือ ‘จำศีล’ อีกแล้ว
ชายเสื้อเขียวจุดดวงไฟเล็กๆ กลางฝ่ามือ นำไฟเข้าใกล้กระเรียนกระดาษ ปรากฏว่ากระเรียนกระดาษ ‘แตกตื่น’ และบินขึ้น ครั้งนี้หนีไปถึงข้างกายฉิวเฟิง
“เจ้าดูสิ มันตั้งใจหนีเภทภัยด้วย!”
เว่ยหยวนเซิงจับอาภรณ์ของกระเรียนเซียนด้วยความกังวล กระซิบถามที่ข้างหูนางเสียงหนึ่ง
“ท่านอากระเรียน ท่านพ่อข้าเล่า จะทำอย่างไรดี”
ฉิวเฟิงที่คล้ายกับได้ยินคำถามนี้มองเด็กชายแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นประสานมือให้ชายเสื้อเขียว
“อาจารย์อา ข้าจะไปรับเว่ยอู๋เว่ยผู้นั้นมาด้วยตนเอง”
“ดี ไปเถอะ!”
เว่ยอู๋เว่ยจะเข้าเขาล้อมหยกด้วยกันย่อมไม่มีปัญหาแล้ว และหากถามได้เรื่องงว่าท่านจี้อยู่ที่ใด เขาล้อมหยกก็คิดจะส่งคงไปเยี่ยมเยียนสักครั้ง ไถ่ถามอะไรสักหน่อย