เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 20 เรือนเล็กงามประณีต
ตอนที่ 20 เรือนเล็กงามประณีต
เมื่อเห็นการคลำสัมผัสของจี้หยวน ทั้งเห็นดวงตาจี้หยวนชัดเจน นายหน้าที่อยู่ด้านข้างจึงพบว่าจี้หยวนเป็นคนตาบอด เมื่อครู่ระหว่างทางเขายังไม่สังเกตเห็น คนเฝ้าร้านที่อยู่ด้านข้างก็เพิ่งพบว่าผู้ดูกระบอกพู่กันเหมือนเป็นคนตาบอด
“เอ่อ ท่านลูกค้า กระบอกพู่กันนี้ท่านถูกใจหรือไม่”
คนเฝ้าร้านรู้สึกเก้กังอยู่บ้าง คนตาบอดจะซื้อสี่สมบัติประจำห้องหนังสือได้อย่างไร การถามเช่นนี้ก็คือการเตือนจี้หยวนอย่างสุภาพว่าควรวางกระบอกพู่กันลงแล้ว กระบอกพู่กันนี้ไม่ถูก ถ้าหล่นมาต้องแย่แน่
เสียงนี้ดึงจี้หยวนกลับมาสู่ความจริง ต่อให้ฟังความเยียบเย็นหลังความกระตือรือร้นของลูกจ้างออก เขาก็ไม่ได้ไม่ยินดีอะไร
“น้องชายท่านนี้ กระบอกพู่กันชิ้นนี้ราคาเท่าไหร่”
เขาถูกลู่เฉิงเฟิงมองอย่างเย็นชาเพราะคำพูดเมื่อครู่ คนเฝ้าร้านรู้ว่าตนเสียมารยาท คราวนี้จึงตอบอย่างค่อนข้างเคารพ
“เรียนลูกค้า แม้ว่ากระบอกพู่กันพะยูงนี้วางอยู่ข้างนอก แต่จากวัสดุถึงขั้นตอนการทำล้วนพิถีพิถันยิ่ง ไม่หลอกใครทั้งแก่เด็ก สองร้อยอีแปะ[1] เมื่อออกจากอำเภอหนิงอันไปต่างจังหวัดต่างอำเภอ สุ่มขึ้นมาย่อมมีราคาหนึ่งถึงสองตำลึงเงินขึ้นไป!”
สองร้อยอีแปะถือว่าแพงหรือไม่แพง จี้หยวนไม่แน่ใจนัก แต่ก่อนหน้านี้กินหมี่หยางชุน[2]หนึ่งชามจ่ายไปสามอีแปะ กระบอกพู่กันนี้มีมูลค่าเท่าข้าวหกเจ็ดสิบมื้อ ถ้าทำอาหารเองแบบคนทั่วไปคงถึงร้อยมื้อกระมัง ไม่นับว่าถูกเลย
ตอนนี้จี้หยวนนับว่ามีเงินติดตัวมหาศาล หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเงินเท่ากับหนึ่งร้อยห้าสิบก้วน หนึ่งก้วนเท่ากับหนึ่งพันเหรียญทองแดง ซื้อกระบอกพู่กันหนึ่งแน่นอนว่าเหลือเฟือ แต่ไม่มีแหล่งที่มาทางเศรษฐกิจซึ่งน่าเชื่อถือ จี้หยวนยอมตระหนี่ไม่อยากซื้อแล้ว
เดิมทีก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าภายหน้าตกอับเล่า สองร้อยอีแปะนี้สามารถช่วยชีวิตได้เลย!
เมื่อก่อนทัศนคติการใช้เงินของจี้หยวนรอบคอบมาก ทั้งปีนอกจากซื้อเกมซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์แล้ว ส่วนใหญ่ไม่ใช้เงินอะไรมาก ตอนนี้มีแรงกดดันหน่อยจึงยิ่งเป็นเช่นนี้
ส่วนการถามราคาของแล้วไม่ซื้อจะรู้สึกละอายหรือไม่ เรื่องนี้จี้หยวนไม่เคยเป็นมาก่อน หนังหน้าเขาอาจหนามาตั้งแต่เกิด
จี้หยวนวางกระบอกพู่กันลงแล้วลุกขึ้นมา พยักหน้าไปทางนายหน้าขายบ้านน้อยๆ
“เดินเล่นมาพอประมาณแล้ว ไปเถอะ พวกเราไปดูบ้านกัน”
“อะ อ้อ ทางนี้ขอรับทางนี้ พวกเราไปทางตะวันออกของเมืองก่อน”
นายหน้าเดินอยู่ข้างหน้า จี้หยวนตามหลังเขาไป
ลู่เฉิงเฟิงเจตนารั้งท้ายก้าวหนึ่ง มองกระบอกพู่กันซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะ หยิบเศษเงินออกมาชิ้นหนึ่งระหว่างที่คนเฝ้าร้านยังสงสัย
“ข้าต้องการกระบอกพู่กันนี้”
คนเฝ้าร้านคิดไม่ถึงว่าจะทำการค้าครานี้สำเร็จจริง เขารับเศษเงินพลางยิ้มระรื่นทันที
“ลูกค้ารอสักครู่ ขอชั่งน้ำหนักก่อน จากนั้นค่อยห่อให้ท่าน!”
คนเฝ้าร้านหยิบกระบอกพู่กันและเศษเงินก่อนวิ่งเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว มอบเศษเงินให้กับหลงจู๊[3] ฝ่ายหลังหยิบเครื่องชั่งขนาดเล็กออกมาชั่งเศษเงิน จากนั้นจึงดีดลูกคิดคำนวณสองสามรอบ
เมื่อเห็นว่าลู่เฉิงเฟิงไม่มีความคิดจะเข้ามา ไม่นานคนเฝ้าร้านจึงนำกระบอกพู่กันที่ห่อหนาดีแล้วกับเงินทอนออกมาข้างนอก
“ลูกค้า ท่านถือดีๆ เงินหนักหกบาท[4] สองร้อยห้าสิบอีแปะ นี่เงินทอนท่าน เหรียญห้าอีแปะสิบเหรียญ!”
เหรียญห้าอีแปะคือคำพูดคนทั่วไป ด้วยเงินทองแดงนี้ไม่ว่าน้ำหนักหรือราคาล้วนเท่ากับเงินห้าอีแปะ ความจริงควรเรียกว่าเหรียญใหญ่
ลู่เฉิงเฟิงไม่แม้แต่จะมอง รับของรีบตามจี้หยวนกับนายหน้าซึ่งเดินห่างไปไกลอยู่บ้างแล้ว
…
ลองดูตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง เดินไปหลายที่ สถานที่ไม่ห่างไกลเกินไปก็เล็กเกินไป หรือไม่ก็ตำแหน่งสถานที่ค่อนข้างอึกทึกครึกโครม
ภายใต้การนำทางของนายหน้า จี้หยวนมาถึงจุดที่ห้าของวันนี้แล้ว ตำแหน่งอยู่ทางใต้ของเมือง
มองโดยคร่าวๆ บนประตูทางเข้ามีป้ายติดอยู่ ไม่รอให้จี้หยวนถาม นายหน้าเริ่มกล่าวแนะนำแล้ว
“ท่านจี้ ที่นี่แหละเรือนสันติ สถานที่นี้รับรองว่าท่านต้องพอใจ โดยรอบเงียบสงบ เข้ามาเจอลานบ้าน ภายในลานมีบ่อน้ำส่วนตัว ประตูด้านหลังติดกับพื้นที่ว่างซึ่งเป็นของเรือนนี้ หากจะสร้างขยายย่อมสร้างเป็นเรือนใหญ่ของครอบครัวใหญ่ได้!”
นายหน้าพูดพลางเงยหน้ามองแสงอาทิตย์เจิดจ้ายามเที่ยงวัน ไขกุญแจทองแดงเปิดกลอนประตูใหญ่
แกร๊ก… แอ๊ด…
ตอนเปิดประตูใหญ่เศษฝุ่นมากมายหล่นลงมา
“แค่กๆๆ… แค่ก… ไม่มีใครอยู่นานมากแล้วขอรับ…”
นายหน้าสะบัดมือปัดฝุ่นบนตัว จากนั้นค่อยเชิญจี้หยวนกับลู่เฉิงเฟิงเข้าไป
ถึงตอนนี้นับว่าจี้หยวนตื่นเต้นอยู่บ้างแล้ว แม้ว่าการมองเห็นไม่ดี แต่ก็มองออกเลือนรางว่านี่คือบ้านซึ่งดีที่สุดตั้งแต่ดูมาวันนี้แล้ว
กำแพงเรือนไม่สูง ประตูใหญ่ไม่นับว่าวิจิตรนัก ภายในเป็นเรือนสี่ประสาน[5]ซึ่งค่อนข้างประณีตเหมือนภาพความคิดของจี้หยวนอยู่บ้าง ระหว่างเรือนหลักกับเรือนข้างมีประตูหลังบานหนึ่ง
กลางลานบ้านซึ่งนับว่ากว้างขวางมีบ่อน้ำหนึ่ง ทว่าใช้ไม้แผ่นใหญ่ครอบไว้ น่าจะไม่ใช้มานานจึงปิดกันฝุ่นและใบไม้ร่วง ด้านบนยังวางหินกลมสองสามก้อนทับไว้ ป้องกันแผ่นปิดหล่นลงมาด้วย
ในลานบ้านยังมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง กิ่งใบพลิ้วไหวดังสวบสาบตามลม คงเป็นเพราะการมีอยู่ของร่มเงา เมื่อมาถึงในเรือนเห็นชัดว่าเย็นสบายอยู่บ้าง
“ภายในลานมีต้นไม้ด้วยหรือ เป็นต้นอะไร”
จี้หยวนพลันถามนายหน้าประโยคหนึ่ง
“เอ่อ ท่านรู้ว่ามีต้นไม้ด้วยหรือ”
จี้หยวนยิ้มพลางชี้หู จากนั้นค่อยยื่นมือชี้ไปทางต้นไม้ใหญ่
“การรับรู้ทางเสียงของข้าน้อยถือว่าฉับไว ต้นไม้อยากอยู่นิ่งแต่ลมไม่หยุดพัด”
“ท่านจี้ นั่นคือต้นพุทรา ดูท่าอายุไม่น้อยแล้ว”
ลู่เฉิงเฟิงชิงตัดบทก่อน กล่าวตอบอย่างนอบน้อบ
“ใช่ๆๆ เป็นต้นพุทรา หลังเข้าฤดูใบไม้ร่วงสามารถกินผลพุทราสดใหม่หวานฉ่ำมากมายได้!”
นายหน้ายิ้มพลางกล่าว
“ไป พวกเราดูนอกประตูหลังกัน”
บางครั้งนายหน้าก็ลืมว่าท่านผู้นี้เป็นคนตาบอด ทั้งนึกถึงเรื่องนี้โดยละเอียดขึ้น
นอกประตูหลังล้วนเป็นที่รกร้างหญ้าขึ้นรกชัฏผืนหนึ่ง ยังมีแปลงผักและร้านน้ำเต้าร้างบางส่วนด้วย เห็นชัดว่าน่าจะเป็นสถานที่ปลูกผักผลไม้ของเจ้าของเดิม
แต่สถานที่ไม่นับว่าเล็กจริงๆ ด้านนอกสุดมีรั้วรอบซึ่งก้าวข้ามได้ ถือเป็นเขตแดน ยามนายหน้าอธิบายเรื่องพวกนี้ จี้หยวนถึงขั้นนึกขบขัน ถ้าขยายรั้วออกไปหน่อยที่ดินของตนจะใหญ่ขึ้นใช่หรือไม่
จากนั้นทั้งสามคนยังไปดูเรือนหลักเรือนข้างห้องครัวภายในบ้านต่อ บ้านช่องห้องหอไม่ถือว่าใหญ่ แม้ว่าภายในห้องล้วนมีฝุ่นปกคลุมชั้นหนึ่ง แต่โดยรวมเรียกได้ว่าโครงสร้างสมบูรณ์บ้านลานสง่างาม
เครื่องเรือนถูกย้ายไปจนเกือบว่างเปล่า มีแค่เรือนหลักซึ่งใหญ่ที่สุดยังมีเตียงหนึ่งหลังกับโต๊ะหนึ่งตัว รวมถึงม้านั่งสองตัว
ถ้าพูดตามจริงคือหากอยู่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเหมือนกับชาติก่อน ปล่อยให้จี้หยวนอยู่สถานที่แบบนี้ ขอแค่มีอินเทอร์เน็ต ตกแต่งเพิ่มอีกหน่อย เขาย่อมยินดีมาก
เมื่อเดินชมรอบแล้วกลับมายังลานบ้าน รอยยิ้มจี้หยวนไม่เคยจางหาย
“แหะๆๆ ท่านน่าจะพอใจกระมัง ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านต้องถูกใจที่นี่แน่ อีกทั้งเรือนหลังนี้ยังถูกมากด้วย หากอยากซื้อขาดต้องการแค่สามสิบหกตำลึงเงินเท่านั้น บ้านพร้อมลานเช่นนี้ทั้งมีสถานที่กว้างขวางแบบนี้ ที่ไหนไม่ขายถึงหนึ่งร้อยตำลึงเงินบ้าง!”
“หืม? ถูกขนาดนี้เชียว?”
จี้หยวนประหลาดใจอยู่บ้าง แน่นอนว่าเขาไม่รู้ราคาบ้านของที่นี่อย่างชัดเจน แต่สามารถเทียบกันได้ ก่อนหน้านี้บ้านชั้นเดียวกับบ้านดินหลังน้อยพวกนั้นยังราคายี่สิบสามสิบตำลึง
สถานที่นี้คุณภาพทิ้งห่างจากพวกบ้านก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด แพงกว่าสองเท่าไม่นับว่ามากเกินไป แค่ขายไม่ถึงสี่สิบตำลึงก็ถือว่าถูกแล้วจริงๆ
“แหะๆ อะแฮ่ม ท่านคงไม่รู้ว่า…”
นายหน้าทำตัวมีความรู้ขึ้นมาหน่อย แต่ยังหาคำเหมาะสมมากล่าวต่อไม่ได้
“อะแฮ่ม เจ้าของเดิมที่นี่ถึงแก่กรรมนานแล้ว ตอนนี้กรรมสิทธิ์บ้านโฉนดที่ดินถูกส่งคืนทางการทั้งหมด กอปรกับสถานที่ค่อนข้าง… ขายไม่ออกมาตลอด คนมีเงินไม่แน่ว่าจะถูกใจ คนทั่วไปมีไม่ถึงสามสี่สิบตำลึง อยากได้บ้านจริงตนต้องไตร่ตรองให้ดี ที่นี่จึงขายไม่ได้มาตลอด ฝั่งทางการไม่ทยอยลดราคาได้หรือ!”
“อ้อ!! ถ้าข้าอยากซื้อต้องไปที่ว่าการด้วยตัวเองหรือไม่”
“ท่านตัดสินใจซื้อหรือ”
นายหน้ามองจี้หยวนพลางเอ่ยถามอย่างคาดหวัง
“บ้านลานซึ่งทั้งถูกทั้งสง่างามขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่ซื้อ ต่อให้มีเศษฝุ่นอยู่บ้าง เก็บกวาดหน่อยก็พอแล้ว!”
จี้หยวนยิ้มระรื่น อารมณ์ไม่เลวนัก
“ได้ขอรับๆ ท่านตาแหลมจริงๆ!! เช่นนั้นตอนนี้ฉวยโอกาสช่วงฟ้าสว่าง พวกเราไปยังที่ว่าการด้วยกัน นำกรรมสิทธิ์บ้านกับโฉนดที่ดินมาดีหรือไม่”
เห็นชัดว่านายหน้าอยากได้ค่าเหนื่อยจนทนไม่ไหวแล้ว การค้าสามสิบกว่าตำลึงนี้ เขาได้ค่านายหน้าเกือบสองตำลึง ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยเลย!
ความจริงจี้หยวนก็กำลังอารมณ์ดี ของถูกใจย่อมอยากได้มาโดยเร็ว ชาติก่อนเขายังซื้อบ้านไม่ได้จึงได้แต่อิจฉาคนอื่นเปล่าๆ ชาตินี้ถือว่ายกระดับแล้ว
ลู่เฉิงเฟิงที่อยู่ด้านข้างยิ้มน้อยๆ
“เชิญท่านกลับโรงเตี๊ยมพักผ่อน ปล่อยให้ข้าเฉิงเฟิงตามเขาไปที่ว่าการเพื่อซื้อกรรมสิทธิ์บ้านเถอะ!”
ได้เลยหนุ่มน้อยมีอนาคต ในใจจี้หยวนเบิกบานยิ่ง ตนไม่ต้องวิ่งเต้นนั่นย่อมไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว
“เช่นนั้นก็ดี รบกวนจอมยุทธ์น้อยลู่คอยเป็นธุระแล้ว”
“ท่านจี้เกรงใจไปแล้ว พวกเราส่งท่านกลับโรงเตี๊ยมก่อนแล้วกัน!”
รู้มารยาทๆ หนทางข้างหน้าไร้ขอบเขต! จี้หยวนรู้สึกว่านิสัยของลู่เฉิงเฟิงคงปรับตัวเข้ากับศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดได้ดีมากแน่ นี่เรียกว่ารู้จักคิดแทนคนอื่น
…
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ที่ว่าการอำเภอหนิงอัน ภายในห้องหนึ่งของเรือนข้าง นายทะเบียนสังกัดปลัดอำเภอมองลู่เฉิงเฟิงอย่างประหลาดใจ
“จอมยุทธ์น้อยลู่ ท่านอยากซื้อเรือนหลังนี้จริงหรือ อยู่เองรึ ท่านเหมือนไม่ใช่คนหนิงอันกระมัง”
เมื่อถามประโยคนี้จบ นายทะเบียนมองนายหน้าแซ่โจวคนนั้น หรี่ตาพลางลูบเครา ฝ่ายหลังถูกเขามองจนร้อนตัวอยู่บ้าง
“ทำไมหรือ ใต้เท้านายทะเบียน เรือนนี้มีปัญหารึ ใกล้ถล่มหรือมีกรณีพิพาท”
นายทะเบียนทำท่าเหมือนเป็นจริงดังคาด เขามองลู่เฉิงเฟิงอีกครั้ง
“จอมยุทธ์น้อยลู่ พวกท่านเป็นผู้มีบุญคุณของพวกเราอำเภอหนิงอัน ข้าไม่อาจหลอกท่าน ขอบอกท่านตามความจริง เรือนนี้หรูหรามั่นคง แต่ข่าวลือบอกต่อตามตลาดไม่ดีนัก ภายในเจ็ดปีเจ้าของบ้านสามรุ่นไม่ป่วยตายก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน โดยเฉพาะสองปีก่อนบัณฑิตคนหนึ่งถูกพบว่าตกใจตายทั้งเป็นภายในเรือน ตั้งแต่นั้นเรือนสันติก็ไม่มีใครเหลียวแลอีก!”
นายทะเบียนกล่าวพลางหันหน้าสมุดบันทึกภายในมือซึ่งเหมือนไม่ยอมให้คนนอกเห็นไปทางลู่เฉิงเฟิง ทำให้เขาเห็นหมายเหตุของทางการบนนั้นชัดเจน ‘บอกต่อกันว่าที่นี่เป็นบ้านผีสิง’
[1] อีแปะ คือหน่วยเงินจีนโบราณ หนึ่งพันอีแปะเท่ากับหนึ่งเหรียญทองแดง
[2] หมี่หยางชุน หมายถึงบะหมี่ที่ไม่ใส่เครื่องใดๆ ชูรสชาติด้วยเส้นบะหมี่และน้ำแกง ราคาไม่แพง
[3] หลงจู๊ หมายถึงผู้ดูแลร้านหรือเจ้าของร้าน
[4] บาท คือหน่วยน้ำหนัก ยี่สิบสี่บาทเท่ากับหนึ่งตำลึง
[5] เรือนสี่ประสาน คือลักษณะผังบ้านซึ่งมีเรือนอยู่ทั้งสี่ทิศ เชื่อมด้วยกำแพง เกิดเป็นลานบ้านตรงกลาง