เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 207 จอมยุทธผู้อาภัพ
ตอนที่ 207 จอมยุทธผู้อาภัพ
จี้หยวนเขย่าจดหมาย เห็นว่าไม่มีอะไรซ่อนอยู่ถึงพับจดหมายใส่ซองดังเดิม
‘เห็นตัวหนังสือเหมือนเห็นคน ตู้เหิงใช้มือซ้ายเขียนคล่องมีพลังถึงเพียงนี้เชียว เห็นทีจะเหมือนกับการฝึกยุทธ์ของเขา แม้ไม่สมบูรณ์แบบ แต่กลับทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง’
เมื่อเก็บจดหมายของตู้เหิงแล้ว จี้หยวนค่อยหยิบจดหมายของอิ๋นชิงและอิ๋นจ้าวเซียนขึ้นมาอ่าน
เนื้อหาจดหมายของอิ๋นชิงเหมือนกับที่เขาคาดเดาไว้ ส่วนใหญ่เพียงบอกเล่าเหตุการณ์ทั่วไป เล่าเรื่องที่ไปอ่านตำราริมแม่น้ำอยู่บ้าง อ่านตำราเล่มใด บนผิวน้ำมีปฏิกิริยาอะไรทำนองนี้ แต่กลับไม่ได้เขียนคำว่า ‘ปลาชิงฮื้อ’ หรือ ‘เต่าเฒ่า’ นี่น่าจะเป็นจดหมายที่เขียนขึ้นเร็วๆ นี้ ประมาณครึ่งเดือนก่อนหน้า
ส่วนจดหมายของอิ๋นจ้าวเซียนเขียนช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ระยะทางจากรัฐหวั่นถึงรัฐจินความจริงไม่มากเท่าไหร่ แต่จดหมายของตู้เหิงกับเขามีเวลาห่างกันหนึ่งเดือนกว่า เพราะระดับหนทางราบรื่นแตกต่างกัน กอปรกับอิ๋นจ้าวเซียนเป็นเจ้าเมือง ส่งจดหมายแล้วย่อมเร็วกว่ามาก
ในจดหมายนั้น อิ๋นจ้าวเซียนเผยความกลัดกลุ้มให้จี้หยวนรู้อย่างหาได้ยาก บอกว่าแม้เตรียมใจไว้นานแล้ว แต่การเป็นขุนนางซับซ้อนยิ่งกว่าที่จินตนาการไว้ ตั้งแต่บนลงล่าง แม้กระทั่งที่ว่าการอำเภอก็มีเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งมากมาย ส่วนเรื่องหน้าซื่อใจคดเป็นเรื่องรอง บางคนเป็นพวกขี้เมาหยำเปจริง นอกจากกินดื่มแล้วทำอะไรไม่เป็นและไม่ยินดีทำ แต่สองปีมานี้เขาฝึกลมปราณเห็นผล ยิ่งมายิ่งคล่องแคล่ว เริ่มจัดระเบียบจัดระเบียบจังหวัดลี่ซุ่นได้แล้ว
แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดในจดหมายของอิ๋นจ้าวเซียนไม่ใช่เพื่อร้องทุกข์กับจี้หยวน เขาไม่ใช่คนน่าเบื่อเช่นนั้น ข่าวที่สำคัญที่สุดคือฮูหยินตระกูลอิ๋นตรวจเจอชีพจรมงคล ยืนยันได้ระยะหนึ่งแล้ว จากนั้นถึงค่อยตั้งใจเขียนจดหมายบอกจี้หยวนและอิ๋นชิง
อ่านจดหมายของสหายจบแล้ว สีหน้าเขาค่อนข้างประหลาดใจ
“เอ่อ…ไม่รูว่าอิ๋นชิงอ่านจดหมายของอาจารย์อิ๋นแล้วจะรู้สึกอย่างไร…”
อ่านจดหมายสามฉบับจบ จี้หยวนยืนพิจารณาอยู่กลางลานครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ามองกิ่งต้นพุทราที่มีหิมะเกาะอยู่ สุดท้ายยื่นมือออกไปและกล่าวกับต้นพุทราว่า
“ขอพุทราใหม่ผลหนึ่ง”
ทันทีที่สิ้นเสียงมีพุทราเพลิงผลหนึ่งร่วงลงจากกิ่ง หล่นลงใส่ฝ่ามือจี้หยวนพอดี
ค่อนข้างเหมือนหินกลายเป็นขี้เถ้าก่อนหน้านี้ พุทราเพลิงผลนี้ถือไว้ในมือแล้วรู้สึกเย็น แต่รู้สึกได้เช่นกันว่าภายในเต็มไปด้วยพลังไฟที่เต็มเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณ แน่นอนว่าพลังไฟนี้อ่อนโยนกว่า
รับพุทราเพลิงแล้ว จี้หยวนเร่งฝีเท้าเข้าไปในห้อง หยิบกุญแจสองดอกออกมา ลงกลอนประตูห้องเรียบร้อย จากนั้นออกจากเรือนลงกลอนประตูเรือน แม้มีคนมาหาเขาไม่มากนัก แต่ทำเช่นนี้อย่างน้อยก็ทำให้ใครๆ รู้ว่าเขาออกเดินทางไกล ไม่ต้องรอ
ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จแล้ว จี้หยวนยืนอยู่นอกประตูเรือน หยิบถุงผ้าไหมออกมาจากในอกเสื้อ นิ้วมือกดลงนับว่าออกคำสั่ง หลังจากนั้นโยนเข้าไปในเรือนสันติอย่างไม่ยี่หระดังฟิ้ว ถุงผ้าไหมทำมุมโค้ง เกี่ยวบนประตูห้องข้างในพอดิบพอดี
ถุงผ้าไหมยังคงส่ายไหวบนบานประตู ระหว่างนี้มีศีรษะกระดาษสีขาวขนาดเล็กชะเง้อออกมาจากข้างใน มองข้างนอกจากนั้นก็หดกลับไปทันที
จี้หยวนที่อยู่ข้างนอกมองรอบข้างแล้วไม่ลังเลอีก ใช้วิชาบังตาสำแดงวิชาตัวเบากระโจนตัวขึ้น ม้วนลมบริสุทธิ์สายหนึ่งกลางอากาศขึ้นสู่ท้องฟ้าสูง สุดท้ายขี่เมฆจากอำเภอหนิงอันไป
…
รัฐจินตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐจี และตั้งอยู่ทางเหนือของจังหวัดจิงจี หากเดินทางเป็นเส้นตรงล่ะก็ ระยะทางสั้นกว่าจากรัฐจีสู่จังหวัดจิงจีอยู่บ้าง แต่หากคนทั่วไปจะไปรัฐจินจากรัฐจี นั่นยิ่งใช้เวลานานยิ่งกว่าไปจังหวัดจิงจี คุณภาพการคมนาคมย่ำแย่จริงๆ ต้องผ่านยอดเขาสูงไม่ว่า แถมยังจำเป็นต้องใช้ทางน้ำอีกต่างหาก
พระอาทิตย์ตกได้หนึ่งชั่วยามกว่า จี้หยวนเดินบนแผ่นดินรักฐจินท่ามกลางท้องฟ้ามืดมิด รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าอากาศหนาวกว่าที่รัฐจี
ที่นี่เป็นรัฐทางเหนือในเขตต้าเจิน หากพูดถึงความเจริญรุ่งเรืองแล้ว นับเป็นกลุ่มล่างสุดภายในพื้นที่อาณาจักรต้าเจิน หลักๆ เป็นเพราะจำนวนประชากรค่อนข้างน้อย ภัยธรรมชาตินับว่าไม่มาก แต่ฤดูหนาวและต้นฤดูใบไม้ผลิลำบากยิ่ง ช่วงเวลาเพาะปลูกน้อยกว่าที่อื่นเหลือเกิน
ตำแหน่งที่จี้หยวนอยู่เป็นเมืองชื่อว่าอะไรเขาก็ไม่รู้ เขาไม่ถามทางและไม่ใช้แผนภูมิ ทว่าอาศัยปราณระหว่างหมากรับรู้จนมาถึงที่นี่
เขายืนอยู่นอกเมืองใช้ตาทิพย์มองสถานการณ์ของเมือง แม้มองเช่นนี้จะไม่ค่อยละเอียด แต่อย่างน้อยก็ไม่พบว่ามีปราณปีศาจอะไร เพียงปราณของมนุษย์ก็ดูเหมือนไม่ค่อยเข้มข้นเช่นกัน ให้ความรู้สึกเหมือนฟืนเผาไฟได้ไม่ดี แค่เรื่องนี้จี้หยวนก็ต้องระมัดระวังให้มากขึ้นแล้ว
นี่ไม่ใช่เพราะคนน้อย ความจริงแล้วต่อให้มีคนแค่คนเดียว ปราณมนุษย์ก็มีความแตกต่างออกไป
อำเภอถิงสุ่ยมีโรงเตี๊ยมที่ขนาดไม่ใหญ่มากอยู่แห่งเดียว ถึงจะเรียกว่าอำเภอ แต่ในสายตาจี้หยวนมันกลับเหมือนเมืองขนาดใหญ่เสียมากกว่า
ในโรงเตี๊ยมชื่อว่าหอรับแขกนี้ ห้องชั้นบนหลายห้องมีแขกซึ่งไม่ได้เปลี่ยนที่อยู่มากว่าครึ่งเดือนแล้ว ซึ่งก็คือตู้เหิงและสหายจอมยุทธ์ของเขาสองสามคน
ที่น่าแปลกคือสามห้องด้านบนติดกัน ห้องตรงกลางนั้นถูกเชื่อมด้วยผนังไม้สองฝั่ง สามห้องวางเตียงเก้าหลัง อีกทั้งพยายามวางให้ใกล้กันที่สุด ภายในห้องมีเตาอุ่นจุดไว้ไม่ขาด ทำให้ภายในห้องอบอุ่นมาก
ตู้เหิงนั่งอยู่กลางห้องทั้งสาม จับดาวยาวที่ไม่ได้เก็บเข้าฝักด้วยมือซ้ายตั้งฉากกับพื้น แม้ตาสองข้างจะปิดสนิท แต่ดูจากท่าทางเขาแล้วเตรียมพร้อมแสดงฝีมือตลอดเวลา
ข้างๆ ยังมีจอมยุทธ์สามคน บ้างนั่งอยู่หน้าโต๊ะน้ำชา บ้างนั่งขัดสมาธิฝึกกำลังภายในอยู่บนพื้น บนเตียงติดกันเหล่านั้นมีคนหลับอยู่ทั้งสิ้น สามคนในนั้นปกติดี ส่วนสีหน้าของอีกสี่คนซีดขาว แม้หลับไปแล้วก็ยังมีเหงื่อซึมออกมา ขดตัวอยู่รวมกันราวกับว่าหนาวมาก
ก๊อกๆๆ…
“ใคร”
ตอนเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตู้เหิงลืมตาขึ้นทันที จอมยุทธ์คนหนึ่งข้างโต๊ะยิ่งคำรามถามเสียงต่ำไปทางนอกประตู
“ลูกค้า ต้มน้ำร้อนเรียบร้อยแล้ว ให้ข้าน้อยยกเข้าไปหรือไม่”
เป็นเสียงของเสี่ยวเอ้อร์ ตู้เหิงส่งสายตาให้จอมยุทธ์ผู้หนึ่ง อีกฝ่ายพยักหน้าลุกขึ้นยืน เปิดประตูมองดูเสี่ยวเอ้อร์อย่างละเอียดค่อยตอบ
“ยกเข้ามาเถอะ จริงสิ มีข่าวอะไรบ้างหรือไม่”
เสี่ยวเอ้อร์หาวครั้งหนึ่ง มองข้างในก่อนตอบ
“อากาศหนาวมาก จะมีข่าวอะไรได้ เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวหิมะตกหนักปิดทางสัญจร คนเดินถนนย่อมไม่มาก”
“อืม เจ้าไปทำงานต่อเถอะ”
“ได้!”
เห็นเสี่ยวเอ้อร์ไปแล้ว จอมยุทธ์ผู้นั้นปิดประตูอีกครั้ง
“จอมยุทธ์ตู้ พวกเรามาถึงอำเภอนี้นานแล้ว สถานการณ์สงบเรียบร้อยดี เห็นทีครั้งนี้พวกเราจะสลัดหลุดแล้ว”
ตู้เหิงมองสหายข้างๆ มุ่นคิ้วพลางส่ายหน้า
“อาจจะเป็นเช่นนั้น จะผ่อนคลายประมาทไม่ได้ ศัตรูของพวกเราในครั้งนี้ไม่ใช่คนชั่วร้ายในยุทธภพ จะไม่ระวังจนเกิดหายนะซ้ำสองไม่ได้!”
“อืม!”
“ถูกต้อง!”
คนอื่นสนับสนุนพร้อมด้วยความกังวลในแววตา
“ฤดูหนาวทำให้ล่าช้าจริงๆ ไม่เช่นนั้นพวกเราออกจากจังหวัดไปนานแล้ว”
“ช่วยไม่ได้ พื้นที่รัฐจินคนน้อย ถนนหนทางยิ่งยากลำบาก อำเภอเล็กๆ เหล่านี้เป็นดุจอำเภอเมือง แต่เทียบไม่ได้กับเมืองใหญ่ในรัฐเลย แม้แต่ศาลหลักเมืองก็ไม่มี!”
ราวกับเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย หลายคนพูดแล้วมีบางคนพูดล้อเล่น
“เจอเรื่องแบบนี้ หลังจากนี้กลับไปอยู่บนยุทธภพก็มีเรื่องเล่าแล้ว จอมยุทธ์ตู้ จำได้ว่าตระกูลตู้ของท่านมีตำนานยอดฝีมือร่ำสุราแล้วสังหารผี พวกเราก็พอเทียบได้แล้วกระมัง”
เรื่องตู้อวี้เทียนร่ำสุราแล้วสังหารผีไม่นับว่าเป็นความลับบนยุทธภพ แน่นอนว่าคนที่เชื่อมีไม่กี่คน รวมถึงตู้เหิงในอดีต แต่คนเหล่านี้ที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ยิ่งยินดีเชื่อ
ตู้เหิงไม่ได้พูดอะไร อีกคนหนึ่งกลับพูดเยาะเย้ยตนเอง
“แต่พวกเราเหมือนจะยังฆ่าผีร้ายตัวพวกนั้นไม่ได้นะ!”
พูดถึงตรงนี้แล้ว ชายหนุ่มที่พูดเมื่อครู่นี้ไม่รู้ว่ารู้สึกกลัวหรือมีน้ำโห
“มารดาสิ ตัดหัวนางปีศาจนั่นแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่ตายแล้วมาหาถึงที่ เด็กน่ากลัวพวกนั้นก็แทบไม่เป็นไรเลย จอมยุทธ์ตู้โมโหฟาดดาบคลั่งโดนเด็กคนหนึ่ง เรื่องพรรค์นี้เล่าออกไปต้องไม่มีใครเชื่อแน่!”
“ที่น่ารังเกียจที่สุดคือพิษนี้ หลี่ทงโจววิชายุทธ์สูงขนาดนี้ก็ยังขจัดพิษไม่ได้ ใช้สมุนไพรทุกชนิดแล้วก็ยังยื้อได้แค่ลมหายใจสุดท้าย หากไม่ได้เขาและจอมยุทธ์ตู้ประจำการ พวกเราคงถูก…เฮ้อ!”
ตู้เหิงนั่งข้างดาบเล่มนั้นฟังคนข้างๆ พูด ส่วนตนเองไม่ได้เอ่ยวาจา
“พี่ตู้ ท่านว่าพวกเราจะหนีรอดหรือไม่”
จอมยุทธ์ข้างๆ ขอบตาดำอยู่บ้าง มีสีหน้าเหนื่อยล้ายากปิดบังเช่นเดียวกับตู้เฟิง ครั้นเขาพูดขึ้นมา ภายในห้องพลันเงียบกริบ
ตู้เหิงมองเขา มองไปรอบๆ
“ต้องรอดแน่นอน พวกเราเขียนจดหมายเยอะขนาดนั้น ต้องมีใครมาช่วยอยู่แล้ว!”
“แต่สถานการณ์ของรัฐจิน…เข้าฤดูหนาวแล้วอาจออกไปไม่ได้ ส่วนก่อนเข้าฤดูหนาว…”
จอมยุทธ์ผู้นี้ไม่ได้พูดต่อ ทุกคนล้วนรู้ว่าก่อนเข้าฤดูหนาวพวกเขายังไม่ทันสังเกตความร้ายแรงของเรื่องนี้ รักษาอาการให้สหายตลอด จนกระทั่งเข้าฤดูหนาวสถานการณ์พลันเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด คนเจ็บที่เดิมทีควรอาการคงที่กลับทรุดหนัก
“ไม่มีทาง!”
ตู้เหิงคำรามเสียงต่ำ ทำให้สติของคนรอบข้างแจ่มชัด
“ข้าเคยได้รับข่าวจากตระกูลเว่ย บอกว่าอาจารย์ผู้สูงส่งของข้าคนหนึ่งเดินทางกลับบ้านแล้ว แนะนำให้ข้าเดินทางไปเยี่ยมเยียน ตอนนั้นข้าเดินทางอยู่ไม่อาจกลับไป แต่ก่อนเข้าฤดูหนาวข้าเขียนจดหมายถึงเขา ขอเพียงอาจารย์ผู้นั้นได้รับจดหมาย”
เอี๊ยด…เอี๊ยด…
เสียงเล็กแหลมสายหนึ่งดังขึ้น ตู้เหิงพลันหยุดพูด จอมยุทธ์ภายในห้องมองขึ้นเหนือศีรษะตามสัญชาตญาณ
บนตัวขนผู้หนึ่งในนั้นขนลุกซู่ ชี้ด้านบนพูดเสียงเบา
“หลัง…คา…”