เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 213 ได้หลับเต็มตื่นแล้ว
ตอนที่ 213 ได้หลับเต็มตื่นแล้ว
ทว่าขณะที่เทพภูเขาประสานมือคารวะ จี้หยวนไม่ได้เอาเปรียบเขา กลับประสานมือคารวะกลับด้วยซ้ำไป รอจนเทพภูเขาพูดจบค่อยเอ่ยปาก
“ท่านเทพภูเขาหงอย่าแปลกใจไป ข้าน้อยเรียกท่านไม่สำเร็จ จึงจำต้องใช้วิชาคุมเทพเชิญท่านออกมา!”
จี้หยวนทำได้เพียงพยายามให้น้ำเสียงของตนเองจริงใจอย่างชัดเจน ถึงอย่างไรสถานการณ์ตอนนี้ก็ค่อนข้างน่าอึดอัด อาจทำให้เทพภูเขาเกิดความคิดอยากคิดบัญชีย้อนหลังง่ายนัก
ไม่รอเทพภูเขาลานสารทคิดมาก จี้หยวนพูดต่อทันที
“ท่านเทพภูเขาหงรู้ข่าวลือหอความลับสวรรค์ทำนายชะตาหรือไม่”
เทพภูเขาหงเซิ่งถิงชำเลืองมองชายชราผู้ฝึกมารบนพื้น ตอบตามความจริง
“ย่อมต้องรู้อยู่แล้ว ท่านเซียนมาที่นี่เพราะข่าวลือและคิดว่าเป็นคนผู้นี้หรือ”
จี้หยวนคิดก่อนตอบ
“นั่นอาจไม่ใช่ ต้าเจินเป็นสถานที่สงบสุข ต่อให้มีโอกาสที่ผู้ฝึกมารวางแผนร้าย นั่นก็เป็นเพราะสอดคล้องกับลิขิตสวรรค์ คนเช่นนี้ต้องการฝึกวิชามารเช่นเดียวกับผีแม่ลูกเก้า ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวก็นำมาซึ่งหายนะได้แล้ว”
เทพภูเขาอดไม่ได้ มองผู้ฝึกเซียนที่ดวงตาคล้ายมืดบอดตรงหน้า กล่าวในใจว่าท่านเซียนไม่ใช่ผลกรรมของเขาหรอกหรือ
จี้หยวนก็มองคนที่อยู่บนพื้นเช่นกัน หยุดไปครู่หนึ่งแล้วค่อยกล่าวต่อ
“ด้วยสภาพของคนผู้นี้เกรงว่าไม่รู้ข่าวลือหอความลับสวรรค์ แต่อยู่ดีไม่ว่าดีอาจถูกผู้อื่นหลอกใช้ กลายเป็นสุนัขรับใช้ที่น่าสงสาร พยายามใช้วิชาชั่วร้ายมาหลอกล่อ”
เทพภูเขาขมวดคิ้วเช่นกัน ความจริงคนบนพื้นนับว่าเป็นสหายเก่าของเขาไม่ใช่หรือ เคยอาศัยอยู่บนเขาลานสารทมากกว่าหนึ่งปี อีกทั้งเคยช่วยตนเองไม่น้อยเลย ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางมีเทพภูเขาผู้นี้
เพียงแต่หลังจากกลับมาครั้งนี้กลับหาสถานที่เต็มไปด้วยพลังหยินเพื่อฝึกปราณ แถมยังฝึกวิชาชั่วร้ายด้วย แปลกอยู่บ้างจริงๆ
แน่นอนว่าในสายตาวิญญาณภูผาธาราที่แทบไม่ได้รับกำยานอะไรอย่างเทพภูเขาลานสารทแล้ว เขาคร้านจะไปสนใจว่าอีกฝ่ายฝึกวิชาสายใด ขอเพียงไม่รบกวนเขาลานสารทของเขาก็พอแล้ว อย่างไรก็ดีทุกวิชามีหนทางของตนเอง อาจมีเวทมนตร์อื่นร่วมด้วยก็ได้
หากท่านเซียนคุมเทพเรียกพบครั้งนี้เพื่อถามหาความผิด เช่นนั้นเทพภูเขาย่อมเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ แต่ในเมื่อไม่ถาม เขาก็ไม่มีทางพูดออกมาเองอย่างแน่นอน
พิจารณาสิ่งเหล่านี้แล้ว เทพเจ้าที่ไม่รออีกฝ่ายพูดจา ตนเองกล่าวถามขึ้นก่อน
“ท่านเซียนเรียกข้ามาสนทนาด้วย ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดอยากกำชับหรือ”
จี้หยวนประสานมือให้เทพภูเขาอีกครั้ง
“มีอยู่เรื่องหนึ่งจริงๆ…”
จี้หยวนสงวนท่าทีมองไปทางเหนือ สิ่งที่เห็นยังคงเป็นทิวเขาลานสารทเชื่อมโยงกันไม่ขาดสาย
“ข่าวลือหอความลับสวรรค์ครั้งนี้ไม่กระจ่างชัด แต่คนโหยหามันมีไม่น้อย หากคิดเพียงอยากมาชมต้าเจินสักหน่อยย่อมไม่มีปัญหา แต่หากน่ารังเกียจเหมือนมูลหนูใต้เท้าคนก็แย่แล้ว”
ความจริงมรรควิถีของคนผู้นี้ไม่นับว่าต่ำ ไม่มีกระบี่เครือเขียวจี้หยวนถึงขั้นไม่กล้าแข็งข้อด้วย แต่ตอนนี้จี้หยวนตีคุณค่าต่ำเหมือนมูลหนูจึงไม่มีความรู้สึกเกินความคาดหมายเลยสักนิด
จี้หยวนหยุดครู่หนึ่งค่อยกล่าวต่อ
“เขาลานสารทอยู่ทางเหนือของต้าเจิน ถือว่ามีอุปสรรคทางธรรมชาติที่ยากจะก้าวข้ามได้สำหรับคนธรรมดา ส่วนผู้ฝึกเซียนกลับก้าวข้ามได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งเค่อ หากท่านเทพภูเขาหงเจียดเวลาได้ ย้ำเตือนผู้ออกนอกลู่นอกทางบางคนได้บ้างย่อมดีที่สุด”
เทพภูเขามองทางเหนือพลางครุ่นคิด
“ความหมายของท่านเซียนคือหลังจากท่ากระบี่ฟ้าทลายของท่านเซียนแพร่ออกไปแล้ว ผู้โง่เขลาเช่นคนใต้เท้าผู้นี้จะยังปรากฏตัวอีกหรือ”
ตอนนี้เทพภูเขารู้สึกว่าท่านเซียนผู้นี้มีความคิดข่มขู่พวกโจรไม่มากก็น้อย กลิ่นอายที่อยู่ไกลออกไปเมื่อครู่นั้นไม่มีทางที่เทพภูเขาจะไม่เห็น
“ฮ่าๆ คำพูดของท่านเทพภูเขาใช่ว่าไม่มีความเป็นไปได้ เช่นมารแท้เสียเปรียบครั้งใหญ่เพราะข้าและประมุขมังกรแห่งแม่น้ำเทียมฟ้า ไม่กล้าปรากฏกายที่ต้าเจิน แต่ด้วยนิสัยของมันต้องไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง เบื้องหลังผู้ฝึกมารนี้ก็ใช่ว่าไม่มีเงาของมัน”
คำพูดนี้ทำให้พื้นที่จินตนาการกว้างใหญ่ขึ้น แต่จี้หยวนหยุดที่ตรงนี้แล้ว
สตรีท้องโตไม่ใช่ทั้งคนและผีน่าจะเป็นคนต้าเจินโดยกำเนิด ใช้วิธีพรรค์นี้บ่มเพาะวิชามารมรรคผีที่ชายแดนของต้าเจิน รอคอยเวลาที่แน่นอนค่อยไปซ่อนตัวในพื้นที่ต้าเจิน อยากเรียกใช้เมื่อไหร่ล้วนสะดวกทั้งสิ้น
นับเป็นวิธีเลี่ยงคำสาบานเลือด แต่ความจริงแล้วกะเวลาไม่ถูก ด้วยสตรีท้องโตนางนั้นมีผีเด็กถึงเจ็ดตนแล้ว ในท้องยังมีอีกตนหนึ่ง ไม่ใช่ว่าสถานการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้ภายในเวลาไม่กี่ปี เพียงแต่หลายปีมานี้เพิ่งพบว่ามีคนถูกควักหัวใจกิน สร้างความตื่นตระหนกไปทั่ว
คิดไปคิดมา ความเป็นไปได้ก็เป็นความบังเอิญอย่างหนึ่ง ชายชราผู้นี้ได้รับวิชามา เลือกตำแหน่งที่ส่งผลดีกับตนเองเพื่อให้ฝึกของสิ่งนี้สำเร็จ ทว่าเพราะบางสิ่งบางอย่างถึงได้รีบร้อนอยู่บ้าง หรือไม่ก็พูดได้ว่าสตรีท้องโตไม่เข้มแข็งก่อเรื่อง ถึงได้มีพวกตู้เหิงซุ่มจู่โจมที่แดนเหนือ รวมถึงจี้หยวนตามมาในภายหลัง
แต่สิ่งเหล่านี้จี้หยวนเพียงคิดเอาเอง ไม่ได้พูดกับเทพภูเขาโดยละเอียด ตอนนี้เทพภูเขาลานสารทจึงยังคงคิดเรื่อง ‘ความลับประลองวิชา’ ตามที่จี้หยวนว่า
เทพภูเขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนรับปาก ท่วงทีแข็งขันมาก
“ในเมื่อท่านเซียนฝากฝัง เช่นนั้นข้าจะนอนหลับให้น้อยลง เพิ่มความสนใจต่อเรื่องนี้ให้มากขึ้น”
เรื่องพรรค์นี้เป็นการรับปากลอยๆ จี้หยวนไม่มีทางหวังให้เทพภูเขาซึ่งไม่สนใจใคร่รู้เรื่องภายนอกภูเขาทุ่มเทพลังจริงๆ แต่อย่างไรเสียก็พอใช้ได้
หลังจากนั้นจี้หยวนสนทนาเกี่ยวกับชายชราฝึกมารกับเทพภูเขาอีกหลายคำค่อยจากไป คนหนึ่งเร้นกายเข้าไปในภูเขา คนหนึ่งพาชายชราฝึกมารซึ่งไม่ได้สติและสตรีท้องโตซึ่งถูกสะกดพลังเหาะไปยังอำเภอถิงสุ่ย
…
ภายในโรงเตี๊ยมอำเภอถิงสุ่ย จอมยุทธ์กลุ่มหนึ่งต่างเป็นกังวลอยู่บ้าง ตู้เหิงเองก็เป็นกังวลอย่างอดไม่ได้เช่นกัน
ผ่านไปหลายวันแล้วท่านจี้ยังไม่กลับมา ที่เขาตามไปเป็นปีศาจร้ายแปลกประหลาด น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีภัยร้ายเกิดขึ้น
หลังคาและกำแพงผนังของโรงเตี๊ยมที่พังทลายไป ด้วยความช่วยเหลือของจอมยุทธ์ อาศัยวันที่หิมะไม่ตกลงมาก็ซ่อมเสร็จโดยคร่าวแล้ว
ฝ่ายทางการของอำเภอถิงสุ่นส่งคนมาดูคดีฆาตกรรมที่โรงเตี๊ยมแล้ว แม้ฟังคำเล่าของเสี่ยวเอ้อร์โรงเตี๊ยมแล้วมือปราบและเจ้าหน้าที่ต่างกระวนกระวายใจ แต่ตัดสินได้เพียงเป็นโจรยุทธภพ อย่างมากหลังจากนั้นอธิบายเพิ่มอีกว่า ‘ตามคำให้การของคนในโรงเตี๊ยม สงสัยว่าเป็นฝีมือของปีศาจร้าย’
แต่ในเมื่อจอมยุทธ์หลายคนต่างพูดว่าอีกฝ่ายถูกจู่โจมให้ถอยไป อีกทั้งมีคนไล่ตามไปแล้ว มือปราบหนุ่มจึงไม่คิดลงมือ ยิ่งไม่คิดคอยท่าอยู่ที่โรงเตี๊ยมอัปมงคล พากันจากไปนานแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทั้งโรงเตี๊ยมยังมีตัวละครเดิมอยู่ ขาดก็เพียงเสี่ยวเอ้อร์โชคร้ายคนหนึ่ง
คืนนี้พวกตู้เหิงและหลงจู๊ รวมถึงพนักงานล้วนนั่งล้อมรอบโต๊ะตัวใหญ่กินอาหาร ช่วงนี้ทุกคนกินอยู่ตัวติดกัน ไม่มีใครอยากอยู่ตามลำพัง
พูดตามตรงว่าตอนนี้นับได้ว่าเพิ่งตกเย็น แต่ท้องฟ้าของพื้นที่ทางเหนือในฤดูนี้มืดเร็วเป็นพิเศษ กอปรกับเป็นวันหิมะตกหนัก ข้างนอกจึงมืดมิดมองไม่เห็นนิ้วมือตนเองแล้ว
คนที่หน้าโต๊ะอาหารกินข้าวอย่างไม่เป็นสุข เสียงพายุหิมะข้างนอกดังหวีดหวิวต่อเนื่อง คาดว่าคืนนี้ไม่น่าหยุดลง
ตึงๆๆ…
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทุกคนหวาดหวั่นในใจทันที จอมยุทธ์สองสามคนในนั้นอดไม่ได้ที่จะจับอาวุธ
“จอมยุทธ์ตู้ ข้าคนแซ่จี้กลับมาแล้ว!”
เป็นเสียงราบเรียบของจี้หยวน หลายคนในโรงเตี๊ยมวางใจลงได้เสียที แต่ก็ยังคงระแวดระวังเต็มที่
“พี่หลี่ พวกเราไปเปิดประตูกัน!”
หลี่ทงโจวพยักหน้าและลุกจากที่นั่งพร้อมตู้เหิง เมื่อถึงหน้าประตูจึงดึงสลักหลายชิ้นออกอย่างระมัดระวัง ก่อนที่ประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมจะเปิดออกเพราะพายุหิมะในทันที
วิ้ว…วิ้ว…
ลมคลั่งห่อเกล็ดหิมะพัดเข้ามา จี้หยวนยืนที่หน้าประตูพร้อมเสื้อสีขาวสง่างามดังเดิม ข้างเท้าซ้ายขวานอนไว้ด้วยคนถูกพันเชือกโปร่งแสงบางอย่างสองคน หนึ่งในนั้นคือสตรีที่ไม่ใช่คนและผีนางนั้น
“ท่านจี้! ท่านไม่เป็นไรกระมัง รีบเข้ามาอบอุ่นร่างกายเถอะ!”
จี้หยวนโบกมือกล่าว
“ข้าไม่เข้าไปแล้ว ที่มาก็เพื่อให้พวกเจ้ามองดูปีศาจสองตนนี้ จะได้สงบใจลงได้หน่อย สตรีนางนี้พวกเจ้าล้วนรู้จัก ส่วนคนข้างๆ นับว่าเป็นอาจารย์นาง นอกจากนี้ไม่มีพรรคพวกคนอื่น”
พูดถึงตรงนี้แล้ว จี้หยวนชำเลืองมองอาหารภายในห้องโถงครั้งหนึ่ง ขยับจมูกดม
ตู้เหิงตอบสนองว่องไว เห็นจี้หยวนไม่คิดเข้ามาก็วิ่งกลับไปยกกาสุราและไก่ย่างที่ทุกคนยังไม่แตะต้องออกมา
“ท่านจี้ ดาบระอุของอำเภอถิงสุ่ยไม่นับว่าเป็นสุราดังอะไร ทว่าอบอุ่นร่างกายได้ ยังมีไก่ย่างนี้ที่พวกข้ายังไม่ได้กินด้วย!”
คนตระกูลเว่ยบอกกล่าวกับตู้เหิงแล้ว แม้ท่านจี้ไม่ใช่ขี้เมาอะไร แต่ความจริงแล้วถือว่าเป็นผู้ดื่มสุราเป็นคนหนึ่ง อีกทั้งไม่ค่อยเลือกสุราเท่าไหร่นัก
จี้หยวนก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน ยิ้มรับจานใส่ไก่ย่างมาถือไว้ทันที จากนั้นวางกาสุราดาบระอุไว้บนจานด้วย หากเปลี่ยนฐานะก็เหมือนพนักงานเตรียมยกอาหารไปให้ลูกค้าทีเดียว
“ดี ข้าจะไปแล้ว มีโอกาสค่อยพบกันใหม่”
จี้หยวนพูดพลางหยิบสิ่งของคล้ายคันเบ็ดตกปลาทำจากไม้ไผ่สีเขียวมรกตจากข้างประตู จากนั้นหามสองคนบนพื้นขึ้นเพื่อพาดไว้บนบ่า คันเบ็ดตกปลาที่ถูกใช้หามงอทำองศามหาศาลเพราะน้ำหนัก ทว่าไม่ได้หักทันที
ด้วยถือจานใส่ไก่ย่างและกาสุรา ส่วนอีกมือหนึ่งประคองคันเบ็ดตกปลาซึ่งเป็นคานหาม จี้หยวนเดินเข้าสู่พายุหิมะในยามค่ำคืนด้วยฝีเท้าว่องไว ไม่นานก็มองไม่เห็นเงาหลังแล้ว
ถึงแม้ตรงหน้าประตูหนาวมาก แต่ทุกคนที่ล้อมเข้ามาก็รออยู่เนิ่นนานไม่ยอมแยกย้ายกันไป
“คันเบ็ดตกปลา!”
“เอ๋?”
“ข้าบอกว่านั่นคือคันเบ็ดตกปลา ที่พันคนอยู่น่าจะเป็นเอ็นตกปลา!”
ตู้เหิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ จากนั้นยิ้มให้คนอื่นๆ
“หนาวจะตายแล้ว ปิดประตูๆ แยกย้ายไปกันวางใจได้ ส่วนเรื่องที่ท่านจี้และคนแปลกเหล่านั้นเดินกลางค่ำกลางคืนกลางหิมะ ชัดเจนว่าพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล”
เส้นประสาทที่ขมวดเกร็งพลันคลายลง บรรยากาศภายในห้องโถงเปลี่ยนจากความกดดันเมื่อครู่เป็นความคึกคักแล้ว…