เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 23 ต้องทำให้ได้อย่างนั้น
ตอนที่ 23 ต้องทำให้ได้อย่างนั้น
นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเวลาแลกเปลี่ยนความรู้ ความสามารถสิบส่วนอย่างมากคงแสดงออกมาแปดส่วน ไม่อย่างนั้นจี้หยวนกล้ายืนยันว่าเสียงการโจมตีที่ได้ยินต้องแข็งแกร่งกว่าส่วนหนึ่งแน่
ต่อให้เป็นเช่นนี้เสียงทึบหนักยามหมัดเท้ากระทบและแรงสั่นสะเทือนที่อากาศโดยรอบได้รับพวกนั้น ล้วนแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่หมัดเท้าประดับบุปผาอะไร
พวกผู้เข้าพักกับลูกจ้างโรงเตี๊ยมที่อยู่ด้านข้างรับชมอย่างเบิกบาน แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นใครสักคนขึ้นไปสู้ อย่างเบาครึ่งเดือนคงลงจากเตียงไม่ได้ อย่างหนักย่อมบาดเจ็บจนล้มหมอนนอนเสื่อ
นี่ทำให้จี้หยวนมีความคิดบางอย่าง ถึงอย่างไรตอนนี้ตนก็เป็นไก่อ่อน วิชายุทธ์ดูท่าว่าร้ายกาจมาก
ตอนนี้ทุกคนตื่นเต้นถึงขีดสุด กอปรกับเสียงฮือฮาของคนอื่น เมื่อลู่เฉิงเฟิงกับหวังเค่อพักปรับลมปราณ มีอีกสองคนเตรียมลงสนามแลกเปลี่ยนความรู้
ในฐานะคนเจ็บแน่นอนว่าลงสนามลำบาก แต่มองอยู่ด้านข้างนับว่าระบายอารมณ์ ในเก้าคนมีแค่ตู้เหิงที่มือขวาพิการดูเศร้าสร้อยอยู่บ้าง แค่นั่งมองพวกพ้องประมือแลกเปลี่ยนความรู้โดยไม่พูดจาอยู่ตรงนั้น
ตอนนี้จี้หยวนไม่เพียงการฟังเป็นเลิศ การแยกแยะเสียงยังยอดเยี่ยมด้วย เขาได้ยินเสียงของทั้งแปดคน มีเพียงตู้เหิงไม่พูดสักประโยค คิดดูแล้วการโจมตีคงมากเกินไปจริงๆ
‘เจ้าหนุ่มดีพร้อมคนหนึ่ง น่าเสียดายข้าช่วยเจ้าไม่ได้’
เวลานี้ผู้เข้าพักกับเด็กรับใช้บางคนเอะอะโวยวาย คนด้านนอกส่วนใหญ่ตื่นเต้นสุดขีด จี้หยวนไม่อยากเป็นเป้าสายตานัก แฝงตัวอยู่หลังฝูงชนทำตัวเป็นผู้ชม ถึงอย่างไรพวกเขาคงไม่สู้กันไปตลอดกระมัง
สิ่งสำคัญก็คือห้าคนซึ่งบนตัวไร้บาดแผลผลัดกันลงสนาม คนบาดเจ็บมากสุดยกมือวาดเท้าอยู่ด้านข้าง หลังจากต่อสู้เสร็จหลายรอบ พวกเขานั่งคุยกันอยู่ใต้ต้นหลิว พูดว่ากระบวนท่าเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นกระบวนท่าไหนเหมาะสมกว่า ตรงไหนตอบสนองช้าไปบ้าง
พิงประตูหลังอยู่พักหนึ่ง ไม่ได้ยินเรื่องน่าสนใจอะไร จี้หยวนเบื่ออยู่บ้างแล้ว แต่สุดท้ายเขารู้สึกอายที่จะตะโกนบอกพวกเขาว่าไปกินข้าว ยังต้องรักษาบุคลิกของผู้สูงส่งไว้หน่อย
‘ช่างเถอะ สองสามวันนี้พวกเขามาเชิญข้าไปกินข้าวด้วยตลอด กลับห้องคอยรอก็พอแล้ว!’
จี้หยวนนึกถึงตรงนี้แล้วไม่อยู่ต่ออีก เตรียมกลับห้องไปลองฝึกวิชาไม่ทราบชื่อของตัวหมากนั่นต่อ
ไม่ผิด แม้ว่าไม่เข้าใจความเป็นมาของมัน แม้ยังไม่รู้ว่ามีประโยชน์อะไร แต่จี้หยวนปลอบใจตัวเองด้วยการนิยามความรู้สึกก่อนหน้านี้เป็นการฝึกปราณอย่างหนึ่งชั่วคราว
…
หลังจากกลับห้อง จี้หยวนนึกถึงความรู้สึกเมื่อครู่อีกครั้ง คิดเรียกตัวหมากออกมา แต่ไม่รู้ว่าตั้งใจเกินไปหรือขาดสิ่งสำคัญอะไรหรือไม่ ต่อให้สามารถรวบรวมปราณวิญญาณเขียวคล้ายมีคล้ายไม่มีมากมายมาได้ แต่กลับไม่อาจเข้าสู่สภาวะนิมิตภาพฟ้าดินภายในกายได้อีก
สายลมเย็นภายในห้องสงบลงทีละน้อย จอนผมของจี้หยวนไม่ลอยล่องอีก
เมื่อตัวหมากหายเข้าไปในปลายนิ้ว ปราณวิญญาเขียวกลายเป็นไอเย็นตามปลายนิ้วไหลเข้าร่างกายก่อนจางหายไปโดยไร้ร่องรอย
จี้หยวนลูบคางพลางขมวดคิ้ว
‘ไม่น่านะ หรือยังมีข้อเรียกร้องทางเวลาด้วย ว่าไปแล้วเมื่อครู่มาเมื่อไหร่กัน ไม่มีนาฬิกาข้อมือไม่มีโทรศัพท์มือถือไม่สะดวกจริง!’
‘หรือภายหน้าเมื่อเจอผู้ฝึกปราณที่แท้จริงค่อยถามพิสูจน์ไหม ถ้ากราบเป็นศิษย์สำนักเซียนมีอาจารย์ผู้ร้ายกาจปกป้องเหมือนในนิยายก็ดี!’
จี้หยวนกำลังใคร่ครวญ ทันใดนั้นในใจกระตุกวูบ ได้ยินเสียงฝีเท้าเก้าคนเข้ามาใกล้ พร้อมกับเสียงพูดคุยแผ่วเบาด้วย
“เฉิงเฟิง เจ้าว่าตอนนี้ท่านจี้ฝึกปราณเสร็จหรือยัง”
“นานขนาดนี้แล้ว น่าจะเสร็จแล้วกระมัง…”
“ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องมาบอกสักคำ!”
“อืม!”
เสียงแผ่วเบานี้ทำให้จี้หยวนสงสัยอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าพวกเขาอยากมาพูดอะไร
ผ่านไปไม่นานเสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้ว
ตึกๆๆ
“ท่านจี้ ตอนนี้ท่านสะดวกหรือไม่”
จี้หยวนใช้สองมือถูหน้า ทำให้ตนได้สติหน่อยค่อยเอ่ยปากตอบ
“เข้ามาเถอะ!”
แกนประตูไม้ของโรงเตี๊ยมส่งเสียงดังเอี๊ยด พวกลู่เฉิงเฟิงกับเยี่ยนเฟยเก้าคนเดินตามกันเข้ามา
“ท่านจี้ พวกเรามาบอกลาท่าน!”
เมื่อเยี่ยนเฟยเอ่ยปากก็กล่าวคำอำลา
“ทำไม พวกเจ้าไปกันหมดเลยหรือ”
ต่อให้เดาได้รางๆ แต่จี้หยวนยังบอกไม่ถูกว่าตนรู้สึกอย่างไรอยู่บ้าง คนพวกนี้ฝืนนับว่าเป็นคนคุ้นเคยที่มีจำนวนแค่นับนิ้วได้ของตน จากไปพร้อมกันทีเดียว ทำให้เขามีความรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมาบ้างจริงๆ
“อืม ถึงอย่างไรอำเภอหนิงอันก็เป็นสถานที่เล็กๆ อาการบาดเจ็บของพวกเราบางคนกลับไปหาอาจารย์ของตนจึงได้รับการรักษาที่ดีกว่า เดิมคิดอยู่นานวันหน่อย แต่เมื่อครู่เจ้าสำนักสามแห่งสำนักเขาแสงคล้อยจังหวัดเต๋อเซิ่งมาหาศิษย์น้องลั่ว พวกเรา พวกเราต้องไปด้วยกัน…”
เมื่อฟังคำพูดของจี้หยวน ความจริงลู่เฉิงเฟิงอยากอยู่ต่อมาก โดยเฉพาะอยากเห็นว่าท่านจี้จัดการบ้านผีสิงหลังนั้นอย่างไร แต่ก็ได้แต่รับคำฝืนตอบเช่นนี้ เจ้าสำนักสามยังรอตรงชั้นแรกของโรงเตี๊ยมอยู่เลย
ลั่วหนิงซวงถลึงตามองลู่เฉิงเฟิงคราหนึ่ง นางผู้ทำท่าคล้ายหญิงสาวน้อยนัก ขออภัยต่อหน้าจี้หยวน
“ท่านจี้ เดิมก็ไม่มีอะไร แต่ท่านลุงสามพบว่าพวกเราหลายคนได้รับบาดเจ็บหนัก ถึงยื่นคำขาดให้พวกเรากลับไป…”
ทันใดนั้นลั่วหนิงซวงเหมือนคิดอะไรได้
“หรือท่านอยากกลับไปพร้อมพวกเราก็ได้!”
คนอื่นดวงตาวาววาบเช่นกัน ไม่มากก็น้อยทั้งเก้าคนล้วนเคยหยั่งเชิงว่าจี้หยวนมีความคิดถ่ายทอดเคล็ดมายาอัศจรรย์อะไรหรือไม่ แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ถือว่าเลิกล้ม โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ตรงสวนด้านหลังยังฟังลู่เฉิงเฟิงพูดถึงเรื่องมหัศจรรย์ว่าท่านจี้ก่อให้เกิดสายลมเย็นล้อมรอบห้อง
การกลับไปพร้อมคนพวกนี้เป็นเรื่องที่จี้หยวนไม่เคยพิจารณามาก่อน มิฉะนั้นไม่ช้าก็เร็วคงความแตก ใช่ว่าจี้หยวนไม่มีหน้าทำเรื่องเช่นนี้ แต่บางครั้งเรื่องราวอาจไม่จบแค่ขายหน้าง่ายดายเช่นนั้น
แม้ว่าอย่างน้อยจี้หยวนพอมีความมั่นใจเพราะเกี่ยวข้องกับตัวหมาก แต่ความมั่นใจนี้เป็นเรื่องอนาคต ไม่ใช่ตอนนี้
“ไม่ล่ะ ข้าค่อนข้างชอบความสงบ พวกเรามีวาสนาย่อมเจอกันอีก!”
เมื่อฟังคำพูดนี้พวกเขาหดหู่อยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่ยอดบุคคลอย่างท่านจี้คงทำตามใจปรารถนาเสมอ ทั้งไม่ใช่คนที่พวกเขาคาดเดาได้ง่ายๆ
แต่ตอนนี้การตอบสนองของจี้หยวนกลับสวนทางไปนึกเรื่องอื่น
‘เฮ้อ น่าเสียดาย ดูท่าว่าไม่มีโอกาสถามเรื่องวิชายุทธ์ของพวกเขาชั่วคราวแล้ว!’
…
หลังบอกลาจี้หยวน ทั้งเก้าคนมาถึงโถงโรงเตี๊ยมพร้อมกัน ที่นั่นมีชายวัยกลางคนหนวดเคราค่อนข้างยาวคนหนึ่งกำลังดื่มชา สวมชุดคลุมยาวแขนกว้าง ผมยาวไร้เกี้ยวประดับทั้งไม่เกล้ามวย เหมือนนักพรตจริยธรรมงามมากกว่าจอมยุทธ์
เมื่อเห็นพวกเขาลงมา ชายคนนี้วางถ้วยชาลง
“บอกลาเสร็จแล้วหรือ”
“อืม ท่านลุงสาม พวกเรา…”
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ ข้าจ้างรถม้ามาสามคัน รออยู่ด้านนอกโรงเตี๊ยมแล้ว”
ชายคนนั้นพูดจบก็ลุกขึ้น สะบัดแขนเสื้อวางเหรียญทองแดงห้าเหรียญเป็นค่าน้ำชา เดินออกไปนอกโรงเตี๊ยมก่อน ลั่วหนิงซวงกัดริมฝีปากแต่ยังตามไปอย่างจนปัญญา อีกแปดคนก็ก้าวตามจังหวะฝีเท้าไป เหมือนกลัวเจ้าสำนักสามคนนี้มาก
แต่เมื่อก้าวออกจากโรงเตี๊ยม เจ้าสำนักสามราวรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เงยหน้าหันกลับไปมองชั้นสาม ตรงนั้นชายหนุ่มผอมซูบดวงตาสีเทาคนหนึ่งกำลังยิ้มพลางพยักหน้ามาทางเขา
เจ้าสำนักสามพยักหน้าทักทายเช่นกัน จากนั้นจึงก้าวออกจากโรงเตี๊ยม เก้าคนซึ่งตามหลังเขามาติดๆ มองไปบนชั้นสามโดยไม่รู้ตัว เห็นจี้หยวนผงกศีรษะมาทางพวกเขา
พวกเขาทำตามสัญญาจี้หยวน ไม่พูดถึงเรื่องไม่ควรพูดกับคนนอก เจ้าสำนักสามจึงคิดว่าจี้หยวนเป็นคนเดินเขาตกอับที่ทั้งเก้าคนเจอบนภูเขา หลายวันนี้คอยช่วยเหลือพวกเขามาบ้าง
นอกโรงเตี๊ยม รถม้าสามคันเรียงแถวหน้ากระดาน เจ้าสำนักสามขึ้นคันด้านหน้าสุด เก้าคนแบ่งกันนั่งอีกสองคันด้านหลัง
เมื่อคนคุมรถม้าสะบัดแส้บังคับม้า รถม้าก็เคลื่อนออกนอกอำเภอหนิงอันช้าๆ
‘คนหนุ่มสาวหนอ ยุทธภพนี้ลึกล้ำนัก แค่เข้าป่าปราบเสือรอบหนึ่ง จ่ายค่าตอบแทนหนักหน่วงเช่นนี้ เฮ้อ น่าเสียดายเจ้าหนุ่มตระกูลตู้…’
เจ้าสำนักสามลั่วเฟิงพิงอยู่ในรถม้าที่สั่นคลอนน้อยๆ ส่ายศีรษะพลางครุ่นคิด
ตอนนี้จี้หยวนมองทางประตูโรงเตี๊ยมอย่างเหม่อลอยอยู่บ้าง สายตาพร่ามัวชัดๆ กลับมองสิ่งที่เหมือน ‘กลิ่นอาย’ บางอย่างออกแบบบอกไม่ถูก ทำให้ในสายตาจี้หยวนภาพของลั่วเฟิงชัดเจนขึ้นมาก
เมื่อเรื่องราวค่อนข้างผิดธรรมดา การมองเห็นย่ำแย่ของจี้หยวนมักจะเผยประโยชน์อย่างน่าประหลาด แต่จี้หยวนพอรู้ว่าเจ้าสำนักสามคนนี้มีวิชายุทธ์สูงส่ง ไม่ใช่พวกอสูรอะไรแน่
หวนนึกถึงสถานการณ์ตอนเห็นผีชางหวังตง ทำให้จี้หยวนคาดเดาอย่างอดไม่ได้ว่าดวงตาของตนเป็นตาทิพย์หรือสิ่งที่สูงส่งกว่านั้น?
แน่นอนว่าไม่นานความคิดในหัวก็ถูกความคิดอื่นเข้ามาแทน
ให้ตายเถอะ รูปลักษณ์ภายนอกตั้งแต่หัวจรดเท้าของเจ้าสำนักสามนั่น ช่างโอ้อวดยกตัว ทั้งยังมีอัตลักษณ์นัก เราก็ต้องทำให้ได้อย่างนั้นบ้าง!