เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 26 นกกระจอกเทศถึงทางตัน
ตอนที่ 26 นกกระจอกเทศถึงทางตัน
จี้หยวนไม่ได้คลุมหัวตัวเองทั้งหมด แต่เหลือช่องโหว่เสี้ยวหนึ่ง จากนั้นเขาเห็นเส้นผมมากมายแทรกผ่านซอกประตูห้องมาแล้ว รวมตัวภายในห้องมากขึ้นเรื่อยๆ…
ในใจหนาวเยือกตัวผุดเหงื่อพราย ผ้าห่มใหม่เอี่ยมถูกเหงื่อของจี้หยวนซึมจนด้านในชื้นแฉะ
จี้หยวนไม่กล้าขยับ ในสมองคิดมาตรการรับมืออย่างรวดเร็ว คิดพุ่งตัวออกไปเพื่อหนีอยู่หลายครั้ง
ฮ้า…
เสียงไม่เหมือนคนดังขึ้นภายในห้อง จี้หยวนซึ่งเดิมก็กลัวแทบตายตัวแข็งทื่อแล้ว
เมื่อมองผ่านช่องโหว่ เขาเห็นผมกองนั้นกำลังสูงขึ้นช้าๆ ปรากฏเป็นร่างคนดำสนิท ทุกอย่างโดยรอบล้วนเลือนรางชัดๆ แต่กลับเห็นสิ่งนี้ชัดเจนยิ่ง เขาขอมองไม่ชัดดีกว่า
ความเยียบเย็นเสียดกระดูกอบอวลไม่หยุด ต่อให้คลุมผ้าห่มก็ไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นแม้แต่น้อย
‘ทำอย่างไรดีๆ สิ่งนี้ต่างจากผีชางโดยสิ้นเชิง! นี่ไม่ใช่ผีธรรมดาแต่เป็นผีร้ายแล้ว!’
จี้หยวนจับมุมผ้าห่มแน่น ความหวาดกลัวรุนแรงและการเต้นของหัวใจอันรวดเร็ว ทำให้ทั้งตัวเขาสั่นเทาเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุม
ครั้งนี้ไม่มีพ่อค้าเร่อยู่ข้างกาย ทั้งไม่มีจอมยุทธ์น้อยแห่งยุทธภพพวกนั้น อีกฝ่ายยิ่งไม่ใช่พวกเจรจากันได้อย่างเจ้าภูเขาลู่
กลิ่นอายความตายและปราณหยินเด่นชัดอบอวลทั่วเรือนสันติ
กรอบ… แกรบ…
เสียงกระดูกกระทบเจือความมืดดำประหลาดเข้ามาใกล้เรื่อยๆ อยู่ใกล้แค่เอื้อม ราวห่างจากตนแค่ผ้าห่มกั้นบางชั้นหนึ่ง
ความมุ่งร้ายซึ่งอยากนำชีวิตไปสู่แดนมรณะนั้น ความโลภและความกระหายพลังชีวิตนั่นชัดเจนมาก ดวงตาซีดขาวของจี้หยวนผู้หลบอยู่ในผ้าห่มหดรัดเท่าเข็มแล้ว
ตายแน่! หนีไม่พ้น!
นี่ไม่ใช่การดูภาพยนตร์สยองขวัญหรือหนังผีฮ่องกงผ่านจอ ความหวาดกลัวและความสิ้นหวังเช่นนี้ทำให้ผู้คนหายใจไม่ออกและไร้กำลัง
จากนั้นจี้หยวนพบว่าความรู้สึกไร้กำลังนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะร่างกายของตนหลั่งฮอร์โมนมากเกินจริงๆ แต่มีปราณขาวมากมายออกจากร่างกายตนไป
‘มันกำลังดูดปราณหยางของเรา!’
ฮูม…
บนตัวรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล ทำให้ร่างกายไม่อาจขยับช้าๆ ลมหายใจเปลี่ยนเป็นติดขัดขึ้นมา
ถ้าจี้หยวนไม่คลุมผ้าห่ม บางทีอาจเห็นเงาดำสกปรกหนึ่ง ยื่นแขนขาบิดเบี้ยวซีดเผือดแนบบนตัวตน…
เสียงแหบพร่าชวนประหวั่นและสภาพร่างกายซึ่งควบคุมไม่ได้นี้ กลับทำให้จี้หยวนนึกถึงช่วงที่เพิ่งข้ามมิติมาตอนนั้น
เวลานี้ในใจจี้หยวนรู้สึกเดือดดาลอย่างบอกไม่ถูก
‘ช่วงเฉียดตายยามเผชิญหน้าภูตเสือร้ายในอารามเทพภูเขาเรายังผ่านมาแล้ว แต่กลับต้องตายที่นี่โดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่หรือ เราแม่งไม่ยินยอม! ไม่ยินยอม!’
เขากัดฟันกรอด ดวงตาสีเทาคั่งโลหิตเล็กน้อย หนังตากระตุกรุนแรง เหยียดนิ้วมือขวาออกไปสุดกำลัง
‘เราเพิ่งมาถึงโลกใบนี้ เราเพิ่งพบความพิเศษของตน เรายังมีเรื่องต้องทำมากมาย เรายังมีเรื่องอยากทำเยอะแยะ เรายังอยากเห็นความอัศจรรย์ของโลกใบนี้!’
ไม่สนว่ามีประโยชน์หรือไม่ จี้หยวนนึกถึงกระดานหมากขวานผุไม่หยุด คิดถึงตัวหมากนั่นอย่างต่อเนื่อง นี่คือวิธีเดียวที่เขานึกได้ตอนนี้
จี้หยวนตัดสินใจเด็ดขาด ไม่สนความเจ็บปวดลืมตาขึ้นเต็มที่ ในความรางเลือนปราณบางอย่างภายในผ้าห่มสั่นสะเทือนเล็กน้อย การควบคุมร่างกายฟื้นคืนกลับมาชั่วพริบตา
‘เรา!’
“ไม่ยินยอม!”
เขาส่งเสียงตะโกนออกมาสามคำ ขณะเดียวกันจี้หยวนลุกขึ้นกะทันหัน มือข้างหนึ่งกระชากผ้าห่มออก เหยียดแขนตั้งนิ้วเป็นกระบี่ สะบัดมือแทงไปหลังผ้าห่มอย่างรุนแรง กลิ่นอายเร้นลับภายในแขนแล่นปราด เปลี่ยนเป็นหมากมายาตัวหนึ่งตรงปลายนิ้ว
“ไสหัวไป!”
วู้ม…
แขนจี้หยวนเหมือนมีแสงขาวเลือนรางอบอวล ครู่ต่อมาตัวหมากกับปลายนิ้วแตะโดนผีร้าย
“อ๊าก…”
เมื่อนิ้วกระบี่กับตัวหมากทะลวงร่างวิญญาณของผีร้าย เสียงกรีดร้องแหลมสูงจนทำให้แก้วหูจี้หยวนเจ็บปวดดังขึ้นตรงหน้า
วู้ๆๆ…
ลมทมิฬคล้ายหวนกลับเป็นระลอก ปราณหยินสกปรกน่ากลัวมากมายหมุนวนรอบแขนขวาจี้หยวน คล้ายเสื้อผ้าในถังเครื่องซักผ้า
จี้หยวนรู้สึกว่ามือขวาของตนเหมือนถูกแช่แข็ง ความเยียบเย็นเสียดกระดูกเหมือนเข็มเหล็กมากมายแทงผิวเนื้อแขนขวาไม่หยุด ทนต่อความปวดแสบและความเยียบเย็นไม่ไหวแล้ว
ครู่ต่อมาเสียงปึงดังขึ้น
เงาดำถูกดีดออกไปอย่างรุนแรง กระแทกประตูห้องทะลุผ่านไป หนีเข้าบ่อน้ำภายในลานอย่างรวดเร็ว
แต่จี้หยวนกลับยื่นแขนขวาเบิกตากว้าง รักษาท่าทางนี้ประมาณสิบกว่าวินาที จากนั้นจึงยืนโคลงเคลงอยู่บนเตียงสักพัก ตัวอ่อนยวบหงายหลังทั้งอย่างนั้น
จี้หยวนหมดสติล้มตัวลงบนเตียงดังโครม
เสียงร้องโหยหวนนี้ชวนสยองและน่ากลัวถึงขีดสุด ตรงมุมตรอกเทียนหนิวไม่รู้ว่ามีผู้อาศัยเท่าไหร่ถูกเสียงหวีดร้องซึ่งไม่แยกชายหญิงนี้ปลุกกลางดึกกะทันหัน พากันหลบอยู่ในผ้าห่มไม่กล้าเคลื่อนไหว
ถึงขั้นมีบางคนที่เดิมยังจุดตะเกียงสว่าง รีบดับเทียนด้วยความลนลานเช่นกัน กลัวเรียกสิ่งชั่วร้ายอะไรมา
ยามนี้อารามทางตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภอหนิงอัน สถานที่ตั้งศาลหลักเมืองอำเภอหนิงอัน
ภายในอารามร่างทองสั่นสะเทือน
ภายใต้เปลือกนอกซึ่งคนทั่วไปมองไม่เห็น เทพหลักเมืองอำเภอหนิงอันยืนอยู่กลางโถงโหญ่
“หน่วยลาดตระเวนอยู่หรือไม่ รีบไปตรวจสอบบ่อกักวิญญาณตรงตรอกเทียนหนิวทางใต้ของเมือง!”
“รับคำสั่ง!”
ยมทูตดำสองคนสวมชุดทางการสีดำทั้งตัว คนหนึ่งพกตะขอด้ามยาว คนหนึ่งคาดดาบไว้ช่วงเอว กลายเป็นเงาดำสองสายลอยจากอาณาเขตศาลหลักเมืองไปทางตรอกเทียนหนิวอย่างรวดเร็ว
…
เรือนสันติ จี้หยวนนั่งลูบหัวบนเตียง เมื่อครู่ยามหมดสติหลังหัวกระแทกขอบเตียง โชคดีว่าหัวแข็งมาก ไม่อย่างนั้นสมองคงกระเทือนแน่
เมื่อครู่ช่วงสุดท้ายจี้หยวนยังมีภาพความทรงจำอยู่ สิ่งที่ท่าทางเหมือนผีร้ายนั่นถูกตนใช้นิ้วซัดกระเด็น จากนั้นค่อยหนีออกไป ดูจากการตอบสนองใช่ว่าไม่เป็นอะไรง่ายดายเช่นนั้นแน่ อย่างน้อยก็คงตกใจ
หลังจากผ่านเรื่องราวเมื่อครู่ ตอนนี้ความกล้าของจี้หยวนมากขึ้นไม่น้อย สวมชุดคลุมลงจากเตียงทันที
แขนขวายังหนาวเย็นชาหนึบ ทั้งตัวปวกเปียกไร้กำลังอยู่บ้าง แต่โดยส่วนใหญ่ไม่เป็นอะไรมาก
เขาดึงสลักประตูไม้ออก เปิดประตูห้องเรือนหลักดังเอี๊ยด
เหนือศีรษะแสงดาวเจิดจรัส ภายในลานต้นพุทราสะบัดกิ่งก้าน บ่อน้ำใต้ร่มเงาปกคลุมด้วยความมืดมิด
วู้ม… วู้ม…
ไม่รู้ว่าเป็นลมหนาวหรือลมทมิฬ พัดมาจนจี้หยวนตัวสั่นเล็กน้อย
จี้หยวนยืนตรงประตูเรือนหลักด้วยความไม่เป็นสุข สีหน้าปรวนแปรไม่หยุด คิดว่าควรฉวยโอกาสนี้หนีไปหรือไม่อยู่หลายครั้ง ถึงอย่างไรคราวหน้าก็ไม่แน่ว่าจะโชคดีเช่นนี้
“เรือนสันติมีคนธรรมดาเข้ามาอยู่แล้วหรือ”
ทันใดนั้นเสียงค่อนข้างแปลกใจดังมาจากนอกเรือน จากนั้นร่างสวมชุดทางการสีดำสองคนถืออาวุธทะลุผ่านประตูเรือนเข้ามาข้างในอย่างน่าประหลาด
จี้หยวนใจสั่นเล็กน้อยก่อนนัยน์ตาหดรัด พบว่าตนถึงกับมองเห็นพวกเขาชัดเจน
‘เจอผีอีกแล้ว!’
เห็นชัดว่าร่างชุดดำสองคนนี้มุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่บ่อน้ำในลาน แค่เหลือบมองจี้หยวนซึ่งยืนตรงประตูเรือนหลักแล้วมองข้าม
“แปลกจริง ไอพิฆาตซึ่งเอ่อล้นบ่อกักวิญญาณถึงกับหายไปกว่าครึ่งหรือ ที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ใต้เท้าหลักเมืองต้องสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวประหลาดแน่!”
“โครงสร้างฮวงจุ้ยเรือนสันติไม่ทลาย วิญญาณชั่วร้ายนั่นคงไม่อาจหนีรอด ข้ารู้สึกว่ามันยังอยู่ในบ่อ!”
“อืม ทั้งกลิ่นอายยังไม่เสถียรด้วย!”
“ถ้าเช่นนั้นถือเป็นโอกาสดีจากฟ้าในการฆ่าเจ้าเดรัจฉานนี้ ต้องรีบรายงานใต้เท้าหลักเมืองโดยเร็ว!”
หลังจากยมทูตดำสองคนพูดคุยกันโดยย่อ ผู้ถือตะขอด้ามยาวเฝ้าข้างบ่อ ผู้พกดาบกลายเป็นกลุ่มควันร่างคนเลือนรางลอยผ่านประตูไป
จี้หยวนซึ่งยืนตรงประตูห้อง ทอดถอนใจว่ายังดีเมื่อครู่ไม่วิ่งหนีไปอย่างอดไม่ได้
‘คิดว่าเรามองไม่เห็นพวกเขาหรือ วิญญาณชั่วร้าย? โครงสร้างฮวงจุ้ย? ใต้เท้าหลักเมือง?’
ในฐานะชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเคยอ่านข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตแบบเกินพิกัดช่วงศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดมาก่อน เพียงสองสามประโยคก็ทำให้จี้หยวนคาดเดาสร้างภาพในสมองเป็นเรื่องราวมากมาย
บ่อในลานเรือนสันติอาจกักภูตผีร้ายกาจอะไรไว้ เทพหลักเมืองอำเภอหนิงอันไม่ใช่แค่รูปปั้นในอาราม ผู้มาเยือนสองคนอาจเป็นยมทูตดำบริวารของเทพหลักเมือง…
ก่อนหน้าเจอภูตผีมารปีศาจแล้ว ตอนนี้ยังเจอยมทูตดำบริวารของเทพหลักเมืองอำเภอนี้อีก
ความคิดจี้หยวนโลดแล่น
‘เช่นนั้นโลกใบนี้มีเทพภูเขาแม่น้ำวิญญาณเซียนภิกษุหรือไม่ ตอนนี้เรายังต้องวิ่งไหม สามสิบหกตำลึงนะ… ภูตผีในบ่อนั่นบาดเจ็บเพราะดรรชนีของเรากระมัง’
จี้หยวนคิดเช่นนี้แล้วรู้สึกว่าตนมีความมั่นใจเหมือนผู้ชมขึ้นมาหน่อย
ความจริงโดยเนื้อแท้จี้หยวนก็เป็นเด็กชายผู้มีความฝันคนหนึ่ง พวกเทพหลักเมืองในอารามไม่ใช่สิ่งที่ใครต่างมีโอกาสพบเจอ