เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 277 ผู้วิเศษมาอีกแล้ว
ตอนที่ 277 ผู้วิเศษมาอีกแล้ว
เมืองหลวงในเวลากลางดึก องค์ชายสององค์ต่างซึมเซา
อู๋อ๋องนำทัพถึงนอกห้องทรงอักษรคุมเชิงอยู่ฝั่งตรงข้ามบิดาตนเอง ในสถานการณ์แบบนี้ ขันทีชราหลี่ซือเจ๋อยังคงถือราชโองการประกาศมอบตำแหน่งให้จิ้นอ๋อง
เหตุการณ์นี้ไม่ได้เป็นเช่นที่อู๋อ๋องซึ่งร้อนอกร้อนใจหวังไว้ ผู้บัญชาการกองทักค่ายประทับและค่ายเร้นอุดรในบรรดาสามทัพที่เขานำมา เมื่อได้ยินราชโองการแล้วยอมศิโรราบแปรพักตร์ในทันที อีกทั้งตะโกนใส่อู๋อ๋องเสียงดังว่าเป็นกบฏ ก่อนจะล้อมกองทัพทักษิณที่อยู่ตรงกลาง
สุดท้ายเกิดการต่อสู้อีกระลอกหนึ่ง ผู้นำกองทัพทักษิณถูกสังหาร กอปรกับนายทหารในตอนนี้รู้แล้วว่าตนเองไม่ใช่ ‘ฝ่ายธรรมะ’ เมื่อขวัญกำลังใจทหารพังทลาย พวกเขาต่างก็คุกเข่ายอมแพ้ หลังจากยอดฝีมือจวนอ๋องตายสิ้น อู๋อ๋องที่หน้าซีดเผือดก็ถูกจับเป็น
พร้อมกันนั้นจิ้นอ๋องหนีเข้าไปในศาลาว่าการเมืองจิงจีแล้ว หลบพ้นจากการตามฆ่า รู้เรื่องแล้วว่าอู๋อ๋องตั้งทัพบุกวังหลวง
แต่ข้อมูลไม่ตรงกัน เดิมทีจิ้นอ๋องคิดว่าครั้งก่อนเสด็จพ่อจะสังหารหานป๋อซานแล้ว น่าจะกำจัดผู้เกี่ยวข้องกับอู๋อ๋องไปบ้าง ทว่าคิดไม่ถึงเลยยังมีค่ายประทับ ค่ายเร้นอุดร และค่ายทักษิณสามกองทัพตอบรับคำสั่งอู๋อ๋องบุกวังหลวง
ภายใต้สถานการณ์นี้ การคุ้มกันภายในวังหลวงอาจสู้กองกำลังของอู๋อ๋องไม่ได้ จิ้นอ๋องก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่เสด็จพ่อของตนเอง
ตอนที่หนีเข้าศาลาว่าการเมืองจังหวัดจิงจี ยอดฝีมือของที่นี่ทุกคนออกไปต่อสู้ หลี่มู่ซูหมดลมหายใจไปแล้ว
“ท่านอ๋อง ดื่มน้ำหน่อยเถอะ!”
ตรงโถงใหญ่ของศาลาว่าการ ทหารอารักขาคนหนึ่งนำน้ำชาร้อนควันฉุยมาถ้วยหนึ่ง จิ้นอ๋องที่นั่งอยู่ข้างร่างหลี่มู่ซูเพียงส่ายหน้า
บุรุษไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ เพียงเพราะยังไม่ถึงจุดเจ็บช้ำหัวใจ หลายเรื่องจิ้นอ๋องไม่แสดงความรู้สึก แต่การตายของหลี่มู่ซูทำให้จิ้นอ๋องกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่โดยสิ้นเชิง
“ท่านอ๋อง หากพวกเราไม่คิดหาทางหลบลี้ เมื่ออู๋อ๋องทำสำเร็จขึ้นมาย่อมไม่มีทางปล่อยพวกเราไปแน่”
“หลบลี้? ฮู่…”
จิ้นอ๋องขยับร่างกายแล้วกระเทือนถึงแผล เจ็บจนเขาต้องขมวดคิ้ว เมื่อมองร่างอาจารย์ที่อยู่ข้างๆ แล้วมองทหารที่มีใจภักดี เขายิ้มกล่าวว่า
“ไม่ต้องหลบลี้แล้ว ข้ายังพอมีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง ไม่ได้สนใจเรื่องการเนรเทศสักเท่าไหร่ ผู้ที่เอาชนะใต้หล้าได้ อย่างไรก็ได้รับชัยชนะ! หากข่าวทางวังหลวงไม่เป็นอย่างที่คิด พวกเจ้าก็จับข้าไปพบพี่ใหญ่เถอะ”
จิ้นอ๋องพูดแล้วเยาะเย้นตนเอง
“แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพี่ใหญ่จะเลือกลงมือทันที ไม่รอให้ข้ากลับถึงจวน เดิมคิดว่าขุนนางอาวุโสเหล่านั้นอย่างน้อยก็ต้องโน้มน้าวเขาให้รอก่อนสักสองวัน ช่างเป็นข่าวที่รวดเร็วนัก ตัดสินใจเด็ดขาดทีเดียว”
ตอนจิ้นอ๋องกล่าวด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าอย่างชัดเจน ความจริงแล้ววิญญาณของหลี่มู่ซูยืนอยู่ข้างร่างตนเอง มองจิ้นอ๋องที่มียาดแผลจากธนูและดาบอย่างอาลัยอาวรณ์
เขาตะโกนเรียกจิ้นอ๋องหลายครั้งมากแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่มีการตอบสนอง เห็นทีเป็นตายแยกจากไม่อาจพบกันแล้ว
‘ไม่คิดเลยว่าตายแล้วจะมีวิญญาณอยู่จริง…’
เขากำลังคิด พลันได้ยินเสียงคลุมเครือดังขึ้นข้างๆ
“หลี่มู่ซู ในเมื่อเจ้าตัวตายแล้ว ก็ตามพวกข้าไปเสียเถอะ”
หลี่มู่ซูหันกายมองไป พบว่ามีเจ้าหน้าสวมชุดคลุมดำและหมวกทรงสูงหลายคนยืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้ามืดมนนั้นมองปราเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนเป็น
ถึงแม้ตายไปแล้ว หลี่มู่ซูก็ยังคงรู้สึกกลัวโดยสัญชาตญาณ
“พวกท่านคือ?”
“พวกข้าคือเจ้าหน้าที่จากศาลมืดในสังกัดศาลหลักเมืองจังหวัดจิงจี รับคำสั่งให้มานำตัวเจ้าไปศาลมืดโดยเฉพาะ! หลี่มู่ซู อย่าชักช้าอยู่เลย ตามพวกข้าไปเถอะ เรื่องของโลกคนเป็นเจ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้แล้ว”
ยมทูตดำพูดพลางก้าวไปข้างหน้า ไม่ได้เข้าไปคุมตัวหลี่มู่ซูเช่นกัน เพียงใช้ปราณหยินชักจูง ทำให้หลี่มู่ซูเดินออกไปข้างนอกกับพวกเขาอย่างต้านไม่อยู่
“เดี๋ยว! ได้โปรดรอก่อน!”
หลี่มู่ซูขอร้องยมทูตดำให้หยุดก่อน ยมทูตดำสองสามคนไม่ได้บังคับพาเขาไป มองวิญญาณหลี่มู่ซูเดินไปถึงตรงหน้าจิ้นอ๋องที่กำลังเซื่องซึม โค้งคำนับอย่างตั้งใจ
เมื่อหลี่มู่ซูคำนับแล้ว ยมทูตดำหลายคนถึงพาเขาไปพร้อมกัน
พวกเขาผ่านประตูไป ออกจากศาลาว่าการจังหวัดจิงจี เดินบนนถนนในเมืองหลวงยามวิกาล
ว่ากันว่าความเร็วของวิญญาณผียากจะจินตนาการ ตอนนี้หลี่มู่ซูรู้สึกได้ว่าความเร็วของพวกเขาเร็วยิ่งกว่ารถม้าทั่วไปเสียอีก
“ขอถามเจ้าหน้าที่ทุกท่าน คืนนี้มีคนตายที่จังหวัดจิงจีไม่น้อยเลยกระมัง”
“ใช่ ทางนี้ตายเยอะมาก แต่ทางวังหลวงตายเยอะกว่า”
“เจ้าหน้าที่รู้ผลลัพธ์ทางวังหลวงบ้างหรือไม่”
หลี่มู่ซูถามด้วยใจเป็นห่วง
ทูตดึงวิญญาณซึ่งรับหน้าที่นำเขาไปศาลมืดมองเขา เผยรอยยิ้มน่ากลัว
“เอาเถอะ จะบอกให้เจ้ารู้จะได้สบายใจ ทางวังหลวงนั้นเล่ากันว่าอู๋อ๋องพ่ายแพ้ ผู้รับตำแหน่งในราชโองการคือจิ้นอ๋องของเจ้า”
วิญญาณผีของหลี่มู่ซูเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง ในที่สุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่าๆๆๆๆ…ฮ่าๆๆ…ตายแล้วๆ ขอบคุณเจ้าหน้าที่มาก ฮ่าๆๆๆๆ…”
ยมทูตดำที่อยู่ข้างๆ ส่ายศีรษะ ตายแล้วยังจะเป็นห่วงเรื่องพวกนี้อีก
กลุ่มส่งวิญญาณเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หลี่มู่ซูที่อยู่ตรงกลางถึงขนาดมองเห็นว่ามียมทูตดำคุมตัววิญญาณผีกลุ่มใหญ่ไป ทว่าตรงเขามีเพียงเขาลำพัง เห็นทีนับว่าเป็นการดูแลอย่างพิเศษกระมัง
ระหว่างทางจากหน้าศาลาว่าการไปยังตรอกศาลเจ้าต้องผ่านสถานพักม้าที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดจิงจี ตอนเดินผ่านหลี่มู่ซูพบว่าทางสถานพักม้าต่างไปจากเดิม มีแสงสว่างเรืองรองอยู่ที่นั่น ราวกับก่อตัวเป็นแสงตะวันสลัวอยู่โดยรอบ
ยมทูตกำพวกนั้นเดินผ่านทางนี้แล้วอ้อมไปยังที่ไกล ไม่ได้เดินเป็นเส้นตรง
“ขอถามเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ไยตรงสถานพักม้านั่นถึงมีแสงสว่าง”
ยังคงเป็นทูตดึงวิญญาณคนนั้นที่ชี้ไปยังสถานพักม้า จากนั้นมองหลี่มู่ซู่
“เพราะที่นั่นเป็นที่พักของท่านอิ๋น!”
ท่านอิ๋นที่ว่าเป็นใคร หลี่มู่ซูย่อมรู้ในทันที แต่ยมทูตดำใช้คำเรียกยกย่องเช่นนี้ ทำให้เขาคาดไม่ถึงอยู่บ้างเหมือนกัน
“ฮ่าๆ เจ้าหน้าที่ศาลมืดจังหวัดจิงจีล้วนรู้ ใต้เท้าอิ๋นแห่งโลกมนุษย์มีปราณต้านทานยิ่งใหญ่ ได้รับการอวยพรจากประชาชนมากมาย วิชาชั่วร้ายไม่อาจทำร้ายเขา พวกปีศาจมารไม่เข้าใกล้เขาเช่นกัน เป็นความเที่ยงธรรมสำหรับคน เป็นเหล็กกล้าสำหรับผี ถือเป็นขุนนางดีที่ยิ่งใหญ่ของโลกนี้!”
ตอนยมทูตดำพูด น้ำเสียงยกย่องชัดเจนประจักษ์
หลี่มู่ซูได้ฟังแล้วมองทางสถานพักม้าพลางทอดถอนใจ สองมือประสานกันคารวะทางนั้น
“ท่านอิ๋น มีท่านอยู่ข้าก็จากไปได้อย่างสบายใจแล้ว!”
หลังจากการคารวะครั้งนี้ หลี่มู่ซูไม่ยืดยาดอีก ตามยมทูตดำเดินไปทางตรอกศาลเจ้า เข้าสู่ประตูผี
…
พร้อมกันนั้นเอง จี้หยวนพาปรมาจารย์ตู้นั่งที่หอนาฬิกาบนถนนสันตินิรันดร์ ในเวลากลางวันหอนาฬิกาจะบอกเวลาคนในเมืองหลวงตามชั่วยาม ส่วนตอนเย็นจะเป็นหน้าที่ของคนเคาะยาม บนหอนาฬิกาย่อมไม่มีคน
ตั้งแต่กลางดึกจนถึงตอนนี้ ทั้งสองคนคุยกันเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวหลังจากงานชุมนุมวารีปฐพี ฮ่องเต้ชราขอปรมาจารย์หลายคนฝึกเซียนอย่างไร ให้พวกเขาหลอมยาลูกกลอนเซียนอย่างไร ไปจนถึงความชั่วร้ายของปรมาจารย์บางคน
นักพรตตู้รู้เช่นกันว่าตนเองพบกับผู้สูงส่งตัวจริง ไม่กล้าอมพะนำและไม่กล้าพูดเลื่อนเปื้อนอะไรโดยสิ้นเชิง ทว่าก็ยังรู้สึกได้ว่าตนเองได้รับความชื่นชอบจากผู้สูงส่งเล็กน้อย
“ปรมาจารย์ตู้นับบว่าเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ทั้งหลายในวังหลวง เป็นคนเดียวที่มีความสามารถอย่างแท้จริง”
“มิกล้าๆ ท่านก็รู้ดีว่ามรรควิถีข้าน้อยนิด จะกล้าเรียกว่ามีความสามารถได้อย่างไร เพียงเหนือกว่าคนอื่นเล็กน้อยก็เท่านั้นเอง”
จี้หยวนหัวเราะ หลังจากพูดคุยกันได้สองสามชั่วยาม เขาพอเข้าใจนิสัยของนักพรตตู้ได้บ้างแล้ว ไม่นับว่าแน่ อีกทั้งมีความกระตือรือร้นเล็กน้อย
“ข้าคนแซ่จี้พูดว่าท่านมีความสามารถ นั่นไม่ใช่เรื่องลวง อย่างเช่นจอมพลังคนกระดาษนั้นของท่านน่าสนใจมาก อย่างน้อยข้าคนแซ่จี้ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน”
นักพรตตู้พลันรู้สึกเป็นเกียรติ กล่าวอย่างปีติ
“มรรคเล็กน้อยเช่นนี้ ไม่คิดเลยว่าจะเข้าตาทิพย์ของท่านจี้ได้ วิชานี้เป็นวิชาที่อาจารย์ของข้าคิดค้นขึ้นตอนยังมีชีวิตอยู่ ข้าปรับแก้เพียงเล็กน้อย แม้ไม่อาจนับได้ว่าอยู่ในแนวหน้า แต่หลายครั้งใช้ช่วยเหลือข้าได้ หรือเผยให้เห็นมือข้างหนึ่งของมันก็นับว่ามหัศจรรย์แล้ว อย่ามองว่ามันเป็นเพียงกระดาษเชียว เพราะพลังของมันไม่ถือว่าน้อย เทียบได้กับชายหนุ่มโตเต็มวัยเลยทีเดียว!”
“น่าสนใจ ทว่าดูจากที่ปรมาจารย์ตู้หวงแหนคนกระดาษเหลืองนั้นมาก เห็นทีวิชานี้ยากจะสำเร็จกระมัง”
นักพรตตู้ส่ายหน้าด้วยความเศร้า
“ถูกต้อง หลายสิบปีมานี้ข้าคนแซ่ตู้ทำคนกระดาษเหลือสำเร็จหกใบ ตลอดหลายปีนี้ใช้จนเสียหายไปสองใบ ตอนนี้ไม่อาจตั้งใจแน่วแน่ได้ หากเสียไปอีกใบคงยากจะเติมกลับมาได้อีก”
จี้หยวนมองเขา ในที่สุดเอ่ยปากพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจ
“ปรมาจารย์ตู้น่าจะไม่มีวิชาหลอมปราณดั้งเดิม ไม่ทราบว่าข้าคนแซ่จี้ใช้เคล็ดวิชาหลอมปราณแลกเปลี่ยนวิชานี้กับท่านได้หรือไม่”
นักพรตตู้เบิกตาโพลงตามจิตใต้สำนึก มองจี้หยวน
“คะ เคล็ดวิชาหลอมปราณดั้งเดิม วิชาที่เปลี่ยนแปลงหยินหยาง แบ่งแยกห้าธาตุ และชี้แนะทางมรรคสู่ความเป็นอมตะได้น่ะหรือ”
“เป็นอมตะไหนเลยจะง่าย ไม่ใช่ว่าฝึกเคล็ดวิชาหลอมปราณสำเร็จแล้วก็เป็นอมตะได้ แต่สิ่งที่ปรมาจารย์ตู้ฝึกต้องเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยมมาก ปรมาจารย์เข้าฌานตรึกตรองไฟในใจเพื่อฝึกพลังนั้นออกจากสุกเอาเผากินเกินไป ได้เคล็ดวิชาหลอมปราณอย่างน้อยเตาโอสถสะพานทองของฟ้าดินภายในก็สำเร็จได้…”
“อาจารย์!”
นักพรตตู้เรียกเสียงดัง ลุกขึ้นยืนแล้วคุกเข่าให้จี้หยวนทันที
เสียงของเขาทำให้จี้หยวนตกใจตัวโยน
“เหตุใดปรมาจารย์ตู้ทำเช่นนี้ รีบลุกขึ้นเร็ว ข้าคนแซ่จี้รับการคารวะนี้ไม่ได้”
“ท่านต้องการถ่ายทอดวิชาเซียนให้ข้า นักพรตตู้ย่อมต้องนับถือท่านเป็นอาจารย์ ไม่ใช่นั้นคงไม่อาจแสดงความเคารพได้เพียงพอ อาจารย์อยู่เหนือกว่า ขออาจารย์รับศิษย์…อื้อ…อื้อ…”
นักพรตตู้พลันพบว่าตนเองพูดออกมาไม่ได้แล้ว อ้าปากไม่ได้โดยสิ้นเชิง ลิ้นตวัดไปทางซ้ายขวาอยู่ในช่องปาก พูดอะไรไม่ได้เลย
จี้หยวนนวดหน้าผาก
“ช่างเถอะปรมาจารย์ตู้ การคารวะนี้ข้าคนแซ่จี้รับไว้ไม่ได้ ถือเสียว่าเป็นเรื่องเล็กก็พอแล้วกระมัง”
นักพรตตู้ร้อนใจมาก หยิบตำราเล่มหนึ่งออกจากในอกเสื้อแล้ววางไว้ตรงหน้า จากนั้นโคกศีรษะกับพื้นอย่างต่อเนื่อง จี้หยวนเห็นแล้วมุมปากกระตุก
“เป็นผู้วิเศษอีกคนหนึ่ง เอาอย่างนี้แล้วกัน หากท่านรู้สึกว่านี่เป็นการติดหนี้น้ำใจ ต่อไปข้าคนแซ่จี้ปรับแก้วิชาเรียบร้อยแล้วจะมาถ่ายทอดให้ท่าน แล้วไม่ต้องพูดเรื่องศิษย์อาจารย์อะไรนี่อีก…”
นักพรตตู้พบของดีต้องรับไว้ รีบพยักหน้า แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองพบว่าตรงหน้าไม่มีใครแล้ว ตำราที่เขาวางไว้ตรงหน้าก็หายไปด้วยเช่นกัน เพียงตำแหน่งที่วางตำรามีตำราเข้าเล่มด้วยเส้นด้ายเพิ่มขึ้นมาเล่มหนึ่ง
ตรงที่เป็นชื่อตำรามีตำหนังสือเพียงสองตัว ชื่อว่า ‘แบบฝึก’ เมื่อพลิกตำราดู ข้อความข้างในละเอียดและสวยงามมาก ยิ่งมีท่วงทำนองวิญญาณเชื่อมต่อกันไม่ขาดช่วง เพียงอ่านครู่เดียวก็จับใจนักพรตตู้ได้แล้ว ไม่ทันไรคล้ายกับรู้สึกได้ว่าความคิดเปลี่ยนผัน เป็นเช่นนี้ไม่นานเท่าไหร่นักก็เหนื่อยจนรวบรวมสมาธิไว้ไม่ได้แล้ว
แต่เพราะตื่นเต้น นักพรตตู้พักผ่อนครู่หนึ่งให้รู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง จากนั้นค่อยทดลองในทันที
ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นแล้วระหว่างนี้…
ฤดูใบไม้ร่วง วันที่ยี่สิบสามเดือนเก้า อู๋อ๋องแห่งต้าเจินตั้งทัพก่อกบฏไม่สำเร็จถูกจับในที่สุด จิ้นอ๋องซึ่งเป็นน้องชายของเขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นไท่จื่อ
เช้าของวันที่ยี่สิบสี่เดือนเก้า อู๋อ๋องที่เนื้อตัวสะอาดไร้บาดแผลถูกจับมัดให้คุกเข่าที่ท้องพระโรง ส่วนจิ้นอ๋องที่บนตัวมีบาดแผลหลายแห่งยังไม่ทันเปลี่ยนเสื้อเปื้อนเลือดทิ้งยืนอยู่ในตำหนักเดียวกัน
ขันทีหลี่ซือเจ๋ออ่านราชโงการเสียงดังต่อหน้าขุนนางบู๊บุ๋นทุกคน
หลังจากเรื่องนี้ไม่มีใครไม่พอใจ ทั้งในและนอกราชสำนัก