เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 287 มีสัตว์ประหลาด
ตอนที่ 287 มีสัตว์ประหลาด
เด็กหญิงบนหลังม้า รวมถึงคนเดินเท้าอีกแปดคนเห็นดังนั้นแล้วมองหน้ากัน
ชัดเจนมาก ทุกคนล้วนมองออกว่าหมู่บ้านนี้ไม่มีคน ไฟที่จุดอยู่ตรงนั้นเป็นของคนที่เดินผ่านมาเท่านั้น
“เฮ้อ! หมู่บ้านร้างอีกแล้ว…”
“เขาอยู่ตัวคนเดียว เดินบนถนนเส้นนี้ไม่กลัวหรือ”
“อาจจะมีเพื่อนร่วมทางอยู่ด้วยก็ได้”
“เหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นนะ…”
หลายคนเห็นจี้หยวนอยู่คนเดียว พวกเขาปรึกษากันหลายคำ ชายหนุ่มผู้นำกลุ่มกล่าวกับชายสูงวัยเคราขาวข้างๆ
“อารอง ข้าดูแล้ว ระหว่างทางเดินมาถึงตรงนี้ ละแวกนี้ไม่มีบ้านดีๆ สักหลัง บ้านหลังใหญ่ของคนคนนั้นนับว่าสมบูรณ์ อีกทั้งหน้าเรือนมีบ่อน้ำ พวกเราไปคุยกับเขา…”
อารองที่ชายหนุ่มเรียกขมวดคิ้วมองไปทางที่จี้หยวนอยู่ พวกเขาอยู่ห่างจากทางนั้นประมาสิบกว่าจั้ง ขณะนี้ฟ้ามืดลงแล้ว ในหมู่บ้านร้างไร้คนแห่งหนึ่ง อีกฝ่ายอยู่คนเดียวทว่ามองพวกเขาแล้วไม่มีท่าทางหวาดกลัวสักนิด
“ข้าว่าพวกเราหาที่อื่นพักเท้าดีกว่า กล้าเดินทางตามลำพัง อีกทั้งพักอยู่ในหมู่บ้านร้างแบบนี้ พวกเราหาเรื่องใส่ตัวให้น้อยๆ หน่อยดีกว่า”
ฟังชายชราพูดแล้ว หลายคนข้างๆ มองกันและกัน ไม่มีความคิดเห็นอื่นใด เขาจูงม้าเดินไปด้านข้าง ถึงอย่างไรหมู่บ้านก็ไม่เล็กน้อย แม้รกร้างแล้วแต่น่าจะยังหาสถานที่ที่เหมาะสมได้
จี้หยวนยืนอยู่ที่หน้าประตู เปิดประตูอ้ากว้าง เห็นคนเหล่านั้นเหมือนกับไม่มีความคิดเดินมา
ครืน…
เสียงฟ้าร้องดังขึ้น จี้หยวนเงยหน้ามองท้องฟ้า ได้กลิ่นน้ำฝนลอยมา คำพูดที่เดิมทีจะพูดออกมาก็เก็บงำไว้ในใจชั่วคราว
ซ่า…
ว่าแล้วฝนก็ตกลงมา ถึงไม่ได้ตกหนักมากเหมือนฟ้ารั่ว แต่ก็ไม่ใช่ฝนตกปรอยๆ อะไร
“แย่แล้ว เร็วเข้าๆๆ ไปหลบฝนทางนั้นก่อน หากเปียกแล้วถูกลมจะเป็นไข้เอา!”
“เร็วๆ วิ่งไปตรงที่มีแสงไฟ!”
“จูงม้าด้วย!”
ตอนนี้คนกลุ่มนั้นตกที่นั่งลำบาก บ้านรอบข้างถนนในหมู่บ้านพังจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว หากจะใช้หลบฝนก็เข้าไปได้แค่สองคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขามีม้า ตามหาบ้านที่เหมาะสมสักหลังขณะที่ฝนตกไม่ใช่แผนการที่ดีอย่างแน่นอน ทำได้เพียงวิ่งไปยังบ้านหลังใหญ่และกว้างขวางซึ่งจี้หยวนพักอยู่
อารองและชายหนุ่มกำยำยังไม่ทันเข้าใกล้เรือนใหญ่ ก็ตะโกนเรียกจี้หยวนที่อยู่ทางนั้นแล้ว
“สหายท่านนี้ จู่ๆ ฝนก็ตกหนัก ให้พวกข้าเข้าไปหลบฝนด้วยได้หรือไม่”
“มีตรงไหนไม่สะดวกหรือไม่!”
จี้หยวนแสดงความจริงใจตามจริง รีบเปิดประตูเรือนกว้างกว่าเดิมพลางตอบเสียงดัง
“เชิญทุกท่าน ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ หากตัวเปียกอยู่ข้างนอกจะไม่สบายเอา”
“ขอบคุณมาก ขอบคุณสหายท่านนี้มาก!”
อารองผู้นั้นวิ่งไปพลาง ประสานมือไปพลาง ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเข้าเข้ามาก่อน ฝนมีทีท่าว่าจะตกหนักขึ้นแล้ว ทุกคนล้วนเร่งฝีเท้า รีบเข้าไปในเรือนหลังใหญ่
เมื่อสุดท้ายจูงม้าเข้ามาแล้ว จี้หยวนที่ยืนอยู่ตรงประตูถึงปิดประตูลงเล็กน้อย ทว่าเพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้เครียดเกร็ง จึงเหลือช่องว่างกว้างประมาณหนึ่งฝ่ามือเอาไว้
คนในเรือนล้วนกระโดดและเครื่องไหว สะบัดมือข้นลง ถือปัดหยดน้ำบนตัวทิ้งไปตอนที่ยังไม่ซึมเข้าไปในเสื้อ
หลังจากนั้นไม่นาน คนกลุ่มนั้นถึงนับว่าจัดการตนเองเรียบร้อย ตอนนี้ฝนข้างนอกตกหนักมาก อารองที่เด็กหญิงคนนั้นเรียกจัดเสื้อผ้าบนตัวเล็กน้อย ก่อนเดินเข้าไปใกล้จี้หยวนตรงมุมประตูแล้วประสานมือคารวะ
“ขอบคุณท่านผู้นี้ที่มีน้ำใจช่วยเหลือ ข้าน้อยมีนามว่าหานหมิง ส่วนคนเหล่านี้คือคนรุ่นหลังของข้า”
เห็นจี้หยวนแต่งกายสง่างาม หานหมิงพยายามทำตัวสำรวมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่นกัน จี้หยวนมองดูบุรุษอายุประมาณห้าสิบปีคนนี้ จากนั้นประสานมือตอบกลับตามมารยาท
“ข้าแซ่จี้ บ้านหลังนี้รกร้างไร้เจ้าของ ใครล้วนพักผ่อนได้ ไม่นับว่าช่วยเหลือทุกท่านแต่อย่างใด พวกท่านไม่จำเป็นต้องเกรงใจ…”
จากนั้นจี้หยวนชี้ไปยังกองฟืนที่เขาเก็บรวบรวมไว้ตรงมุมก่อนหน้านี้
“ฟืนข้างนอกนอกเปียกไปหมดแล้ว ฟืนเหล่านี้ข้าใช้คนเดียวไม่หมด พวกท่านล้วนเปียดฝนกันทุกคน หยิบไปก่อกองไฟสักหน่อยก็ได้”
จี้หยวนไม่ได้พูดว่าให้ใช้กองไฟเดียวกัน หนึ่งเพราะกองไฟของเขาอยู่ใกล้มุมประตู ผิงไฟกันคนสองคนนับว่าเหลือเฟือ แต่คนมากขึ้นย่อมเบียดกันไม่พอ สองเพราะอย่างน้อยเขาก็ต้องแสดงความระแวดระวังต่อคนแปลกหน้า นี่ไม่ใช่การแสร้งทำ ทว่าทำให้คนเหล่านี้เปิดใจกว้างขึ้นได้บ้าง
เป็นดังที่คาดไว้ เมื่อได้ยินคำพูดของจี้หยวน หานหมิงไม่ได้ปฏิเสธ หลังจากประสานมือกล่าวขอบคุณอีกครั้งก็เรียกอีกคนหนึ่งมาขนฟืนด้วยกัน ส่วนฟืนที่จุดไฟได้ย่อมต้องขอจากตรงกองไฟของจี้หยวน
ไม่นานนักภายในห้องโถงใหญ่ก็มีกองไฟสุมขึ้น คนกลุ่มหนึ่งล้อมอยู่ตรงนั้นเพื่อผิงไฟและตากเสื้อผ้า
นอกจากจี้หยวนเสนอให้พวกเขานำฟืนไปใช้และช่วยเหลือเล็กน้อยแล้ว หลังจากนั้นเขาไม่ได้สนใจพวกเขาอีก แสดงความรู้สึกห่างเหินที่เหมาะสม นั่งย่างขนมเปี๊ยะและอ่านตำราอยู่ตรงมุมลำพัง
ความจริงยืนยันแล้วว่าท่าทางนี้ของจี้หยวนทำให้ในใจทุกคนเกิดความสบายใจขึ้นบ้าง เขาได้ยินเสียงพูดคุยและหัวเราะจากทางนั้นก็ผ่อนคลายไม่น้อยเช่นกัน
แต่ความสนใจหลักของจี้หยวนไม่ได้อยู่ที่พวกเขา ทั่วไปแล้วอ่านตำราครู่หนึ่งแล้วก็มองผ่านช่องประตูออกไปข้างนอก สายตาเหมือนกับมองทะลุม่านฝนเลือนรางยามวิกาลตามหาอะไรบางอย่าง
‘กลิ่นแปลกๆ นี้คืออะไร ทำไมยังไม่หายไปอีก’
จี้หยวนคิดเช่นนี้ พลิกอ่านตำราหน้าหนึ่งในมือ จมูกได้กลิ่นสายหนึ่ง แต่ครั้งนี้ขนมเปี๊ยะส่งกลิ่นไหม้ออกมาแล้ว
“อารอง ท่านผู้นั้นวางมาดน่าดู คงไม่มีน้ำใจสักเท่าไหร่ เมื่อครู่ข้าแอบมองดู ตำราเล่มนั้นของเขาเป็นกระดาษเปล่าทุกหน้า ไม่มีตัวหนังสือเลยสักตัว ทว่าเขาก็ยังคงนั่งพลิกกระดาษอ่านอยู่อย่างนั้น…”
“เด็กคนนี้อย่าพูดมั่ว”
“ข้าไม่ได้พูดมั่ว…”
เสียงนั้นแม้เบามาก แต่ย่อมไม่รอดพ้นหูของจี้หยวนไปได้
จี้หยวนทำเป็นไม่ได้ยิน หยิบท่อนไม้ที่เสียบไว้บนขาเก้าอี้ขึ้น จากนั้นหยิบขนมเปี๊ยะที่อ่อนนุ่มแล้วลงมา ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ เข้าปากแล้วเริ่มเคี้ยว
“ข้าเห็นท่านมองออกไปข้างนอกตลอด ท่านมองอะไรอยู่หรือ”
เสียงดังมาจากข้างบอก จี้หยวนหันศีรษะไปมอง หานหมิงที่เดินเข้ามาใส่หมวกไม้ไผ่ เหมือนจะเดินออกไปข้างนอก
“ไม่มีอะไร ที่นี่รกร้างห่างไกล เกรงว่าจะมีสัตว์ จึงคอยมองเฝ้าระวังไว้”
“อ๋อ”
หานหมิงตอบรับเสียงหนึ่งก่อนเปิดประตู เดินไปถึงชายคาเรือน ยกถังและหม้อเหล็กที่วางไว้ข้างนอกขึ้นมา มีน้ำฝนอยู่ข้างในนั้นจนเต็มแล้ว
แม้ข้างนอกมีบ่อน้ำอยู่ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ใช้น้ำฝนสะดวกกว่า
ตอนที่หานหมิงยกหม้อเข้ามา เขามองตำราที่จี้หยวนวางไว้ข้างเก้าอี้ตามสัญชาตญาณ ตอนนี้ตำราถูกปิดเอาไว้ มองไม่ออกว่าข้างในมีตัวหนังสือหรือไม่ ทว่าตรงที่ควรเขียนชื่อตำราบนหน้าปกนั้นว่างเปล่าจริงๆ
เมื่อหานหมิงยกหม้อปิดประตูเตรียมกลับไป จี้หยวนพลันเอ่ยปากถาม
“ท่านหาน ข้าคนแซ่จี้มีเรื่องสงสัยอยากขอคำชี้แนะ เหตุใดตลอดทางมานี้ถึงไม่มีคนเท่าไหร่เลย”
หานหมิงมองคนข้างใน ส่งหม้อให้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดิมเข้ามา จากนั้นถึงสนทนากับจี้หยวนตรงหน้าประตู
“ท่านจี้มาทางนี้น้อยครั้งมากกระมัง หลายปีก่อนเกิดการต่อสู้กับต้าเจิน ชายหนุ่มที่อยู่ใกล้ถนนแรกทักษิณล้วนถูกเกณฑ์ไปรบ ทั่วทุกที่สตรีแข็งแกร่งกว่าบุรุษ ต่อมานานทีเดียวเกิดเหตุร้าย ว่ากันว่ามีสิ่งอัปมงคลบางอย่าง ดังนั้นคนบนถนนแรกทักษิณส่วนใหญ่จึงมุ่งหน้าขึ้นเหนือ แต่โลกก็เป็นเสียแบบนี้…เฮ้อ!”
หานหมิงพูดถึงตรงนี้แล้วทอดถอนใจเสียงหนึ่ง
“ครั้งนี้ข้าได้รับคำบอกเล่าจึงมารับคน แล้วเดินกลับบนถนนแรกทักษิณ สถานการณ์ที่นี่เกินจริงอยู่บ้างจริงๆ ท่านจี้ต่างหาก ไยมาอยู่ในสถานที่แบบนี้คนเดียว อันตรายมาก!”
จี้หยวนกลืนขนมเปี๊ยะในปาก มองออกไปข้างนอก
“ข้าคนแซ่จี้ไม่ใช่คนอาณาจักรจู่เยวี่ย เพียงมีใจอยากออกท่องเที่ยว จึงเดินทางขึ้นเหนือมาตลอด”
ไม่ใช่คนอาณาจักรจู่เยวี่ย? ขึ้นเหนือ?
หานหมิงชะงักไป จากนั้นถามคำหนึ่ง
“หรือว่าท่านเป็นคนต้าเจิน”
จี้หยวนยิ้ม
“ถูกต้อง ข้าคนแซ่จี้เป็นคนต้าเจินจริงๆ”
“จิ๊ๆ…คนต้าเจินหรือนี่ หายากนักๆ ทางฝั่งต้าเจินเป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินมาว่านอกจากเหล่าพวกราชวงศ์แล้ว ชาวบ้านต่างก็กินไม่อิ่มท้อง”
จี้หยวนหันไปมองหานหมิง
“ท่านได้ยินมาจากที่ใด”
“เอ่อ ล้วนเล่าลือกันเช่นนี้”
ใช้ได้ ยอดเยี่ยม จี้หยวนคิดก่อนครู่หนึ่งค่อยกล่าว
“ทางต้าเจินยังดี ไม่ได้ลำเค็ญขนาดนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรจู่เยวี่ยและต้าเจินไม่ค่อยดีนัก ยากที่จะ…”
พูดถึงตรงนี้พลันหยุดชะงัก จี้หยวนมองออกไปข้างนอกอีกครั้ง ดมกลิ่นอีกครั้ง
จมูกไม่ได้กลิ่นอะไร แต่เมื่อครู่หูได้ยินเสียงรางๆ ถึงจะค่อนข้างไกลออกไปสำหรับเขา กอปรกับมีฝนตกหนักรบกวน จึงเหมือนกับหูแว่วอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านหาน คืนนี้พวกท่านรีบพักผ่อนหน่อยเถอะ อย่าเที่ยวออกไปข้างนอกดีที่สุด ข้าคนแซ่จี้กล้าออกเดินทางตามลำพัง ย่อมมีความสามารถพิเศษติดตัวอยู่บ้าง ข้ามองดูแล้วสถานที่แห่งนี้ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่”
“อืม ขอบคุณท่านจี้ที่เตือน”
หานหมิงมองออกว่าจี้หยวนไม่อยากพูดมาก จึงกลับไปยังกองไฟฝั่งนั้น
การสื่อสารระหว่างคนบางครั้งแปลกมาก บางคนแม้จะพูดกับเขาแม้เพียงไม่กี่คำ แต่ก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจริงใจหรือไม่ ชัดเจนเลยว่าจี้หยวนมอบความประทับใจให้หานหมิงไม่เลวเลย
…
ประมาณเจ็ดถึงแปดร้อยลี้ห่างจากหมู่บ้านร้าง มีคนสองกลุ่มต่อสู้กันกลางสายฝน
ฝ่ายหนึ่งมีกันสิบกว่าคน สวมชุดคล่องตัว อีกฝ่ายหนึ่งสวมเสื้อกันฝน มีบ้างที่สวมชุดเกราะเก่า อาวุธในมือมีหลากหลายชนิดทั้งดาบ หอก กระบี่ และง้าว
เสียงอาวุธกระทบกันและเสียงร้องน่าเวทนาดังอยู่ทั่วทุกที่
คนขี่ม้าถือหอกยาวในมือกำลังควบม้าไปรอบๆ พลางตะโกนเสียงดัง
“ตัดหัวได้คนหนึ่ง ได้รางวัลเป็นขาแกะย่างทั้งขา ตัดหัวได้สองคน ได้รางวัลเป็นแกะครึ่งตัว พี่น้องทั้งหลาย อย่าให้พวกเขาหนีไปได้!”
“บุก!”
“ฆ่า…เนื้อแกะของข้า!”
“ฆ่า…”
แก๊ง…แก๊ง…
อาวุธของอันธพาลสามหรือห้าคนถูกใช้เป็นไม้ยาวต้านไว ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งใช้วิชาหมัดจู่โจม
“ฮ่าๆๆๆ…กล้านักก็มาเถอะ ฮ่า!”
ชายหนุ่มโพกผ้าบนศีรษะตะโกนเสียงดังดุจฟ้าร้อง จู่โจมบนร่างอันธพาลคนหนึ่งอย่างฉับพลัน
“อัก…” อีกฝ่ายถูกจู่โจมกระเด็นไปเจ็ดแปดฉื่อ หมอบอยู่บนพื้น ตะเกียกตะกายลุกไม่ขึ้น
“จะจับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน!”
“ได้!”
ชายในชุดคล่องตัวสองคนร่วมแรงกันสกัดกั้นอาวุธที่อยู่รอบข้าง พุ่งไปยังคนขี่ม้าที่อยู่ไกลออกไป ระหว่างนั้นมีหลายคนปรากฏตัวขึ้นเพื่อขวางทาง
อันธพาลคนหนึ่งถูกชายหนุ่มจับไว้ ทั้งตัวกลายเป็นโล่ให้อีกฝ่าย เขาเหวี่ยงดาบไปด้านข้างเพื่อสกัด แต่คนจู่โจมรอบๆ มีมากเกินไป ทำให้เขาไม่อาจบุกไปข้างหน้าได้อีก
“กรี๊ด…”
“เยวี่ยหรง!”
“รีบไปช่วยเร็ว!”
เสียงร้องแหลมของสตรีข้างหลังชัดเจนเป็นพิเศษท่ามกลางเสียงจอแจ จอมยุทธ์สวมเกราะคนอื่นๆ ที่ได้ยินเสียงรวมตัวเข้าหาสหายของพวกเขา
จอมยุทธ์กลุ่มหนึ่งรวมกลุ่มกันทั้งสู้ทั้งถอย แต่ละคนหอบหายใจแรง มีคนไม่น้อยเลยหมดลมหายใจไปแล้ว
อันธพาลพวกนี้มีจำนวนมาก คาดว่ามีกันประมาณหนึ่งหรือสองร้อยคน รอบนอกยังมีคนขี่ม้าอีกต่างหาก
“โชคดีที่ฝนตกลงมา อีกฝ่ายยิงธนูไม่ได้ ไม่เช่นนั้นสถานการณ์คงย่ำแย่ยิ่งกว่านี้แล้ว!”
คนหนึ่งพูดไปพลาง แย่งหอกยาวของอันธพาลไปพลาง จากนั้นโยนเข้าใส่คนขี่ม้าที่อยู่ไกลๆ ทว่าอีกฝ่ายหลบพ้น ชัดเจนว่ามีวิชายุทธิ์ติดตัว
“ตอนนี้ไม่มีที่ไหนให้ไปแล้ว ฮ่า!”
ปักๆ…พลั่ก…
“ระวังทางซ้าย!”
พลั่ก…
ทางด้านนี้มีการต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อน
อีกด้านหนึ่งอันธพาลที่ได้รับบาดเจ็บหลายคนถูกสหายลากไปยังด้านหลังฝั่งตรงข้าม ต่างฝ่ายต่างกลั้นความเจ็บพันแผลให้กัน แต่ความสนใจยังคงอยู่ที่ส่วนในของวงต่อสู่
“วันนี้คนพวกนี้มือขึ้นนัก!”
“หึ พวกเขาต้านไม่ได้นานเท่าไหร่หรอก”
“ฮ่าๆๆ.ผู้หญฺงพวกนั้น อีกเดี๋ยวก็จะร้องอย่างสุขสมเอง!”
“นั่นไม่ถูกสับเป็นชิ้นก็ใช้ได้แล้ว…”
บาดเจ็บหลายคนคุยกันอย่างฮึกเหิม
อันธพาลคนหนึ่งถูกหักแขนและถูกฟันขา ตอนนี้เพิ่งจัดกระดูกเสร็จสิ้น นอนอยู่บนพื้นพร้อมใบหน้าเจ็บปวด
“ฮู่…ฮู่…ฮู่…”
เสียงแปลกๆ ที่เหมือนเสียงหอบหายใจดังขึ้นจากข้างๆ อันธพาลที่ได้รับบาดเจ็บลืมตาหันไปมองทางซ้ายของตนเอง กลับเผชิญหน้ากับศีรษะที่หน้ากลัว ดวงตาคล้ายเน่าเปื่อย ผิวหนังอย่างกับเปลือกไม้ มีเพียงศีรษะที่โผล่ออกมาข้างนอก ร่างกายราวกับฝังอยู่ใต้ดินอย่างไรอย่างนั้น
อันธพาลมีสีหน้าซีดเผือดในทันใด
“มี…เอ่อ…ฮึก…”
เสียงร้องด้วยความกลัวของอันธพาลยังไม่ทันระเบิดออกมา ปากกว้างเต็มไปด้วยฟันคมสีเหลืองสกปรกกัดลงบนคอเขาแล้ว…