เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 294 ข้าจี้หยวนพูดคำไหนคำนั้น
ตอนที่ 294 ข้าจี้หยวนพูดคำไหนคำนั้น
คนที่พาคนคุมลมมาถึงชัดเจนว่าเป็นนายท่านที่จอมพลังเกราะทองพูดถึง แต่ตอนนี้มองดูอีกฝ่ายแล้วกลับเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง
ใช้หัวแม่โป้งเท้าคิดก็รู้ว่าความรู้สึกเหลวไหลแบบนี้ย่อมไม่มีทางเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่วิชาเร้นกายก็ต้องเป็นเพราะมรรควิถีล้ำลึกมากจนมองไม่เห็นความจริง
เทียบกับการไม่เห็นใครอยู่ในสายตาของจอมพลังเกราะทอง สายตาของชายเสื้อเขียวผู้นี้มีเป้าหมายชัดเจน อาจพูดได้ว่ากำหนดตำแหน่งที่ศพยักษ์ซ่อนตัวไว้อย่างแน่นอนแล้ว
ศพยักษ์หนีอยู่ใต้ดิน เก็บลมปราณทั้งหมด แน่นอนว่ามองไม่เห็นสถานการณ์บนพื้นดิน แต่เขามีความรู้สึกหนึ่ง ความรู้สึกของการที่ตนเองถูกพบตัวแล้วนั้นรุนแรงมาก
ตอนนี้จี้หยวนยืนอยู่ที่หน้าบ่อน้ำนอกเรือน จอมพลังเพราะทองเดินตามการเคลื่อนไหวของเขาเช่นกัน ยืนอยู่ข้างหลังจี้หยวนไม่เกินสองก้าว
ฝ่ายแรกตัวเล็ก ฝ่ายหลังตัวใหญ่กำยำ แต่หลังจากผ่านวิกฤติมาได้รอบหนึ่ง ในใจของพวกหวงจือเซียนมีความรู้สึกว่าฝ่ายแรกจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าอย่างน่าประหลาด
ศพชั่วร้ายที่จี้หยวนฆ่าไปในวันนี้มีเยอะมากแล้ว บนเขาทักษิณน้อย ยอดเขาตรงที่ค่ายราชาทักษิณตั้งอยู่ถูกปราณของกระบี่เครือเขียวกวาดล้างจนพังทลายไปเกือบครั้ง ทั้งหมดกำจัดศพชั่วร้ายไปได้เก้าศพ หากรวมศพที่อยู่ในแขนเสื้อเขาก็นับเป็นสิบศพ
สิ่งเหล่านี้กระหายเลือดเป็นนิสัย เรี่ยวแรงมหาศาลและหนังเหนียว บ้างมีปัญญา อีกทั้งบังเอิญดำดินได้ ร้ายกาจกว่าผีดิบที่จี้หยวนจินตนาการไว้ไม่น้อย
นอกจากนี้สิ่งชั่วร้ายพรรค์นี้แทบจะนับได้ว่าเป็นศัตรูโดยธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต เกิดมาก็กระหายจิตวิญญาณและเลือดสดๆ ไม่มีตัวอย่างใดเคยบันทึกไว้ นับว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายที่จี้หยวนรังเกียจมากจากก้นบึ้งของหัวใจ
ตอนนี้ถึงแม้ศพยักษ์เก็บลมปราณอย่างไร กลิ่นเหม็นจากศพสายนั้นก็ยังคงเข้มข้นมากสำหรับจี้หยวน กลิ่นนี้เรียกได้ว่าทั้งมาจากศพและมาจากคนที่ถูกทำร้ายไม่รู้มากน้อยเท่าไหร่
“เห็นทีเจ้าคือที่มาของศพประหลาดเหล่านี้สินะ”
จี้หยวนเอ่ยปากพูด น้ำเสียงเรียบเรียบ ทว่าส่งต่อความจริงจังและดังกังวานไปไกล ทุกคนที่อยู่ภายในบ้านร้างข้างหลังได้ยินชัดเจนไม่หนวกหู ทว่าศพยักษ์ที่อยู่ใต้ดินนอกหมู่บ้านกลับแก้วหูสะเทือน
ในใจศพยักษ์ไม่มีความรู้สึกดีใดๆ หลงเหลือ ปราณศพบนร่างคุกรุ่น อยากดำดินหนีไปไกลทันทีเป็นอย่างยิ่ง แต่ความรู้สึกเข้าตาจนทำให้มันคิดว่าอย่าได้ทำเช่นนั้นเด็ดขาด
จี้หยวนมองไปยังทางที่ศพยักษ์อยู่ แปลกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายไม่หนีไปโดยตรง เขาครุ่นคิดเล็กน้อย เข้าใจว่าสถานการณ์มีความเป็นไปได้สองข้อ
หนึ่งคือศพยักษ์ยังมีพลังเหลือจึงไม่กลัวโดยสิ้นเชิง สองคือไม่กล้าหนี
ตอนนี้ข้อสองมีความเป็นไปได้มากกว่า ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจี้หยวนก็คร้านจะพูดจาไร้สาระกับอีกฝ่ายแล้ว พอเอ่ยปากอีกครั้งจึงพูดออกไปตรงๆ อย่างชัดเจน
“ภายในสามลมหายใจ ออกมาพบข้า”
เสียงนี้ยังคงราบเรียบสุดขีด แต่กลับมีอานุภาพรุนแรงอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ได้อธิบายว่าสามลมหายใจนี้เป็นการหายใจสั้นหรือยาว ยิ่งไม่ได้อธิบายว่าไม่ออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร
ทว่าเพียงพูดเท่านี้ ไม่ใช่แค่ศพยักษ์ซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้ดินนอกหมู่บ้าน แม้แต่พวกหวงจือเซียนและหานหมิงในบ้านร้างก็จินตนาการได้ว่าหากไม่ทำตามที่ท่านจี้พูด เช่นนั้นวินาทีต่อไปไม่มีทางเจออะไรที่เรียบง่ายแน่นอน
เมื่อมองจอมพลังเกราะทองที่ยืนอยู่ข้างหลังจี้หยวนอีกครั้ง ก็ยิ่งแสดงแรงโน้มน้าวรุนแรงมากกว่าเดิม
สามลมหายใจเป็นแค่ลมปาก จี้หยวนขี้เกียจจะนับคำนวณโดยสิ้นเชิง เพียงพูดออกมาไม่นานเท่าไหร่ มือซ้ายก็ยกขึ้นแล้ว
กระบี่เครือเขียวนำกระแสแสงเรืองรองปรากฏที่มือจี้หยวน
วินาทีที่กระบี่เซียนปรากฏ ศพยักษ์ใต้ดินนอกหมู่บ้านคล้ายกับจมอยู่ในความเหน็บหนาว หัวใจยิ่งเจ็บเหมือนกับมีเข็มทิ่ม
ไม่ทันได้คิดอะไรโดยสิ้นเชิง มันผลักดินรอบข้างออกแล้วมุ่งหน้าไปยังพื้นดิน
เสียงตึงดังขึ้น ศพยักษ์แหวกดินออกมาพร้อมเศษดินและน้ำโคลนแล้ว
“ข้าออกมาแล้ว! ข้าออกมาแล้ว!”
ศพยักษ์เห็นจี้หยวนจริงๆ จังๆ เป็นครั้งแรก เขาสวมเสื้อสีขาวยืนท่ามกลางสายฝน มือซ้ายถือกระบี่ไพล่หลัง
ฝ่ายจี้หยวนเห็นศีรษะของศพชั่วร้ายศพนี้แล้วแปลกใจเล็กน้อย จึงหันกลับไปมองจอมพลังเกราะทองข้างหลังตามสัญชาตญาณ เขาเตรียมใจเจอกับศพชั่วร้ายไว้แล้ว แม้พวกก่อนหน้านี้จะทำเป็นแค่ร้องคำราม แต่เห็นได้ชัดว่าศพนี้ไม่เหมือนกัน
ในเมื่อให้ความร่วมมือก็ดีแล้ว
“มานี่”
ได้ยินจี้หยวนพูดแล้ว ศพชั่วร้ายลังเลเล็กน้อย ทว่ายังคงเดินจากนอกหมู่บ้านเข้าไปในหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็ยืนอยู่บนถนนเส้นเล็กกลางหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากจี้หยวนสิบกว่าจั้ง
ศพยักษ์ร่างผอมบาง ผิวหนังคล้ายกับมีเกล็ดทั้งตัว ดวงตาทั้งสองข้างออกสีดำขุ่น ฝนตกหนักใส่ร่างของมันแล้วส่งเสียงดังเล็กน้อย ชัดเจนมากว่าร่างกายมันแข็งแกร่งมาก
ถึงตอนมองจี้หยวนจะมีความรู้สึกกลัว แต่แค่มองรูปลักษณ์ภายนอกก็กดดันเป็นอย่างยิ่งแล้ว
“ข้าจะถามคำถามเจ้าเล็กน้อย เมื่อตอบแล้วเจ้าเลือกได้ว่าจะรับกระบี่นี้ หรือรับไฟเผาร่างจากปากข้าแล้วจากไป หากไม่ตอบข้าจะเผาร่างและวิญญาณของเจ้าให้เป็นเถ้าทันที เข้าใจหรือไม่”
คำพูดของจี้หยวนยังคงราบเรียบ ราวกับพูดถึงสิ่งที่สมเหตุสมผลอย่างไรอย่างนั้น
ศพยักษ์มองไปยังชายชุดขาวที่อยู่ไม่ไกล ดวงตาคู่นั้นของอีกฝ่ายเป็นสีเทาขาวชัดเจน ภายในนั้นไม่มีประกายใดๆ ไม่มีระลอกคลื่น ไร้ความรู้สึกกำลังมองตนเองอย่างเย็นชา เหมือนกับมองวัชพืชข้างทางก็ไม่ปาน
น้ำฝนไม่ได้ถูกชักนำไปที่อื่น เมื่อตกลงบนเสื้อสีขาวของเขาแล้วก็ไหลลง ทำให้เสื้อผ้าเขาไม่เปียก จอนผมก็ไม่ถูกน้ำเช่นกัน
“เข้าใจแล้ว ข้าน้อยจะตอบ!”
“ฉลาดไม่น้อย…”
จี้หยวนพูดคำหนึ่งก่อนถาม
“เจ้าเป็นศพชั่วร้ายประเภทใด หากเป็นประเภทผีดิบ แล้วทาสเหล่านั้นยังเหลืออีกเท่าไหร่”
ศพชั่วร้ายคำนี้นับว่าเป็นวิธีการเรียกที่เสียมารยาทมากแล้ว แต่ก็ต้องดูด้วยว่าใครเป็นคนพูด คนธรรมดากล้าเรียกเช่นนี้ย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อออกจากปากจี้หยวนแล้ว ศพยักษ์ไม่กล้ามองข้ามเลยแม้แต่น้อย ทำได้เพียงตอบตามความจริง
“หากใช้คำเรียกที่ถูกต้อง ข้าเรียกตนเองว่าปีศาจศพ และเป็นเช่นที่ท่านว่า ข้านับได้ว่าเป็นประเภทผีดิบ ส่วนทาสเหล่านั้น…”
ศพยักษ์มองศพไร้ศีรษะที่อยู่แถวนั้น
“ทาสต้องการเลือดจากตัวข้า ทั้งหมดสร้างไว้สิบกว่าศพ น่าจะยังมีเหลืออยู่อีกศพหนึ่ง ตอนนี้ไม่รู้ว่าไปที่ไหนแล้ว…”
จี้หยวนชำเลืองมองแขนเสื้อข้างขวาของตนเอง ก่อนจะมองศพยักษ์แล้วถามอีกครั้ง
“ในเมื่อเป็นทาสของเจ้า เหตุใดไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน เจ้าควบคุมพวกมันไม่ได้หรือ”
ศพยักษ์คิดก่อนค่อยตอบอย่างระมัดระวัง
“เรื่องนี้…ข้าเองก็ไม่รู้ ไม่กล้าปิดบังท่าน วันหน้าควรรู้ว่ามันอยู่ที่ไหนจริงๆ แต่ตอนนี้ข้ารู้เพียงว่ามันยังมีชีวิตอยู่…”
“อืม”
จี้หยวนพยักหน้า หลังจากรู้สถานการณ์ของทาสแล้ว ในใจเขามีความคิดอื่นเกิดขึ้น สายตาเย็นชาจ้องมองศพยักษ์ ปากไม่ถามคำถามธรรมดาอีก กลับส่งเสียงบัญชาที่ปลดปล่อยสิ่งชั่วร้ายซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เจ้านายของเจ้าอยู่ที่ใด เหตุใดส่งเจ้ามาที่นี่”
เสียงนี้เหมือนเสียงฟ้าร้อง สั่นสะเทือนไปถึงในสมองของศพยักษ์ราวกับตีฆ้อง
“ข้า…ไม่มีเจ้านาย!”
คำพูดทั้งหน้าและหลังของศพยักษ์ติดขัดอย่างชัดเจน นี่ทำให้จี้หยวนหรี่ตาลง ใช้ตาทิพย์พิจารณาอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าถึงค่อยถาม
“คำถามสุดท้าย เจ้าชื่อว่าอะไร เหตุใดมีทั้งจิตและวิญญาณ แต่ชีวิตกลับไม่สมบูรณ์”
ศพยักษ์รีบตอบอีกครั้ง
“ข้าชื่อว่าอูชู เป็นปีศาจศพ รังเกียจฟ้าดิน เหตุส่วนใหญ่เกิดจากดูดกลืนปราณศพหลังตายแล้วปี ร่างวิญญาณไม่สมบูรณ์จึงเป็นเรื่องธรรมดา”
จี้หยวนร้องอ๋อเสียงยาว พยักหน้าพร้อมยิ้มกล่าว
“โลกของการฝึกปราณมีคนและสิ่งประหลาดมากมาย สำหรับการมีอยู่ของบางสิ่งบางอย่าง บางคนชอบเข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นพิเศษ ข้าคนแซ่จี้แม้ทำอะไรตามใจชอบก็ยังมีหลักการของตนเอง แต่ในสายตาคนนอกก็เหมือนกับคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านคนหนึ่ง”
ตอนที่จี้หยวนพูดถึงตรงนี้ ในใจศพยักษ์เริ่มเครียดเกร็งยิ่งขึ้น โชคดีที่ประโยคหลังทำให้มันผ่อนคลายได้บ้าง
“อย่างไรข้าคนแซ่จี้ก็นับว่าเป็นผู้ฝึกเซียน พูดคำไหนคำนั้น รับหนึ่งกระบี่หรือถูกไฟร้อนแรงเผาร่างสักครั้งหนึ่ง นั่นให้เจ้าเลือกเอง เวลาพิจารณายังคงเป็นสามลมหายใจ”
จี้หยวนพูดจบแล้วยืนคอยอยู่ที่เดิมเงียบๆ แม้มองดูเป็นเช่นนั้น แต่ความจริงแล้วเขาตั้งอกตั้งใจโคจรวิชาระหว่างร่างกายและจิตใจ บ่มเพาะเพลิงสมาธิสายหนึ่ง
กระบี่เครือเขียวอยู่บนมือ ต่อให้ตอนนี้ไม่ได้เผยลมปราณคมกริบอะไร แต่ตัวอักษรบนฝักกระบี่อยู่ตรงนั้น โดยเฉพาะเมื่อครู่ตอนที่จี้หยวนจับกระบี่คิดชักออกมาฟันศพแล้วจริงๆ ตอนนั้นถูกกระตุ้นด้วยความรู้สึกว่าเจอกับวิกฤติ ดังนั้นศพยักษ์ถึงได้ปรากฏตัว
มันถึงขนาดเดาได้ว่านี่เป็นกระบี่เซียนเล่มหนึ่ง
ขอเพียงไม่โง่ ศพยักษ์ต้องเลือกถูกเผาสักครั้งอยู่แล้ว ความจริงปีศาจศพก็คิดเช่นนั้น ถึงอย่างไรเสียบนโลกแม้มีเพลิงเทพอยู่ไม่น้อย แต่ปราณศพบนตัวเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง นับเป็นสิ่งที่มีพลังหยินอย่างมาก ตราบใดที่การเผาไม่ได้เกิดจากการใช้วิชาอย่างต่อเนื่อง ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะทนไหว และตอนนี้ก็ยังคงมีฝนตกลงมาห่าใหญ่ด้วย
จี้หยวนคาดเดาความคิดของปีศาจศพ เตรียมมอบความประหลาดในให้กับมัน
“ข้าเลือกถูกไฟเผาร่าง และหวังให้ท่านรักษาคำพูด ข้ารับไฟแผดเผาแล้วจะปล่อยให้ข้าจากไป!”
เพื่อป้องกันไม่ให้จี้หยวนไม่พอใจ ตอนนี้ศพยักษ์ทนต่อปราณศพรุนแรงกดอัดไว้ในกาย ยิ่งเลียนโค้งกายคารวะเลียนแบบคน ตั้งอกตั้งใจเต็มที่
“ฮ่าๆ วางใจเถอะ ข้าคนแซ่จี้พูดคำไหนคำนั้น ยืนตรงได้แล้ว แค่ไฟจากปากข้าเท่านั้น!”
พูดจบแล้วจี้หยวนกลั้นหายใจอยู่พริบตาหนึ่ง จากนั้นอ้าปากอีกครั้ง
ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ลมปราณไฟแท้ แต่เป็นเปลวเพลิงสีเทาแดงกลุ่มหนึ่งถูกพ่นออกมาจากปากจี้หยวน อุณหภูมิโดยรอบเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็เหมือนค่ำคืนอันมืดมิดผ่านพ้นไปด้วยเปลวเพลิงที่บิดเบี้ยว
ศพยักษ์ที่เพิ่งคารวะเสร็จเงยหน้าขึ้น เห็นเพลิงกลุ่มนี้มาถึงตรงหน้าแล้ว กลั้นความต้องการหลบเลี่ยงไว้และยืนอยู่ที่เดิม
ซ่า
แค่สัมผัสตรงหน้าอกศพยักษ์แท้ๆ ทว่าเพลิงสีเทาแดงกลับผลาญทั้งตัวทันในพริบตา
“อ๊าก…”
แทบจะในวินาทีนั้น สีหน้าเดิมของปีศาจศพหายไป ทั่วร่างกลายเป็นสีแดงเพลิง ตั้งแต่ปาก ดวงตา จมูก หู และทวารอื่นๆ ยิ่งปรากฏสีขาวเทา
ตึง…ตึง…ตึง…
ร่างกายสูญเสียการควบคุมไปแล้ว แต่ยังเดินโซเซออกไปสามก้าว ทุกอย่างดำเนินไปสามลมหายใจ เสียงร้องน่าเวทนาและการเคลื่อนไหวร่างกายหยุดลงแล้ว
โครม
ร่างศพล้มลง แหลกสลายเป็นผุยผงเต็มพื้น