เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 311 บัญชาเวทอสนี
ตอนที่ 311 บัญชาเวทอสนี
ขบวนของทะเลสาบวารีนภาหยุดโดยปริยาย พวกจี้หยวนเดินมาถึงด้านหน้าขบวนช้าๆ มองเงาผีและเทพหลักเมืองซึ่งยืนอยู่
แสงเทพของเทพหลักเมืองคนนี้เทียบเทพหลักเมืองบางแห่งของอาณาจักรต้าเจินไม่ได้อยู่มาก อย่างมากคงเทียบเท่าเทพผีประจำอำเภอระดับกลางค่อนสูง แต่ตอนนี้อาณาจักรจู่เยวี่ยสถานการณ์มรรคเทพเสื่อมโทรม ถือว่าพลังปราณค่อนข้างโดดเด่นแล้ว
ต่อให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเทพหลักเมือง แม้มาร่วมงานฉลองของเมืองผีไร้ขอบเขตแต่กล่าวยินดีกับซินอู๋หยาสองสามประโยคเท่านั้น ตอนนี้เขาไม่คารวะปีศาจอย่างเกาเทียนหมิงกับหนิวป้าเทียน คนธรรมดาแบบเยี่ยนเฟยอย่างมากแค่เหลือบมอง ถือว่าเคารพจี้หยวนเพียงคนเดียว
รอเมื่อคารวะจี้หยวนเสร็จ เทพหลักเมืองค่อยหยัดร่างขึ้น ประสานมือไปทางพวกเกาเทียนหมิงเล็กน้อย
“คารวะท่านเกากับฮูหยินเกา สวัสดีทุกท่าน!”
“คารวะใต้เท้าหลักเมือง!”
จี้หยวนประสานมือเป็นการคารวะตอบเล็กน้อย สองสามีภรรยาเกาเทียนหมิงกับหนิวป้าเทียนไม่กล้าละเลยเช่นกัน คารวะเทพผีทั้งเรียกว่าใต้เท้าหลักเมืองอย่างหาได้ยาก
จากนั้นสายตาทุกคนมองซินอู๋หยาเจ้าเมืองผีไร้ขอบเขตตามจี้หยวน
“โอ้ เหล่าอู๋หยา มาดักคนตรงนี้หรือ”
ปากเกาเทียนหมิงยิ้มกล่าวเช่นนี้ แต่ในใจพอเดาจุดประสงค์การมาของอีกฝ่ายออก
แต่เห็นชัดว่าซินอู๋หยาเป็นถึงเจ้าเมืองผีไร้ขอบเขต เมื่ออยู่ตรงนี้เขาวางฐานะไม่ลงอยู่บ้าง ต่างจากเทพหลักเมืองเมืองเชวี่ยหลิวซึ่งเคารพนอบน้อม เมื่อเห็นพวกจี้หยวนออกมา เขาแค่ประสานมือคารวะ ไม่ได้กล่าววาจาสุภาพอะไร
“ท่านจี้ ก่อนหน้านี้พี่เกาเคยสื่อจิตบอกว่าท่านไว้ชีวิตข้าซินอู๋หยา ทั้งบอกว่าเมืองไร้ขอบเขตของข้ามีโอกาสล่มสลาย ข้าคนแซ่ซินไม่เชื่อคำพูดพี่เกา คิดไปคิดมายังมีเรื่องไม่เข้าใจ หากท่านมีความสามารถเช่นนี้จริง ทำไมตอนอยู่ในงานถึงทนต่อการเหน็บแนมของปีศาจ เหตุใดถึงปล่อยเมืองไร้ขอบเขตของข้าไป”
คำพูดนี้แม้ว่าซินอู๋หยาไม่ได้กล่าวเหมือนซักถาม แต่ไม่ถือว่าเกรงใจเท่าไหร่นัก เมื่อลองคิดดูหลังจากเกิดเหตุการณ์ ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาซินอู๋หยา ภายใต้สถานการณ์ซึ่งทำลายอีกฝ่ายจนย่อยยับได้อย่างง่ายดายเขาย่อมไม่มีทางออมมือแน่ ดังนั้นจึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งยิ่งกว่าเดิม
ส่วนเทพหลักเมืองเมืองเชวี่ยหลิวแค่บังเอิญเจอซินอู๋หยานอกเมือง ฝ่ายแรกเองมารอจี้หยวนระหว่างทาง ทั้งสองจึงรออยู่ด้วยกันโดยไม่ลังเล แต่ตามมารยาทเทพหลักเมืองคนนี้กลับชิงตัดหน้า ตอนนี้เลยยินดีให้ซินอู๋หยาเอ่ยปากก่อน
เมื่อได้ยินคำพูดของซินอู๋หยา เกาเทียนหมิงเบ้ปากเผยรอยยิ้มเยาะชั่วพริบตา
แค่ผีไม่เคยเห็นโลกกว้างตนหนึ่ง คนอื่นเห็นแก่หน้าเจ้าแล้วคิดว่าตนคุมขุมนรกได้จริงหรือ สิ่งที่ผู้สูงส่งแท้จริงครุ่นคิดคนป่าเช่นนี้มีหรือจะเข้าใจ เจ้าแค่เห็นความเป็นตายบุญคุณความแค้นตรงหน้า แต่เขาเห็นสรรพสิ่งแล้ว
เอาเถอะ เกาเทียนหมิงยอมรับว่าแม้แต่ตัวเขา ก่อนหน้านี้ยังมาเยือนด้วยเห็นแก่หน้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาให้ความสำคัญกับซินอู๋หยาจริง แค่อยู่ร่วมอาณาจักรจู่เยวี่ย รักษาความสัมพันธ์ผิวเผินโดยพื้นฐานด้วยเจอกันบ่อยเท่านั้น
แม้ว่าการแสดงออกทางสีหน้าของเกาเทียนหมิงหายไปในชั่วพริบตา แต่พูดตามตรงว่าเขาไม่ค่อยปิดบังซ่อนเร้นนัก ซินอู๋หยากับเทพหลักเมืองจึงจับสัมผัสได้ ในใจฝ่ายแรกแอบโกรธเสี้ยวหนึ่ง สีหน้าฝ่ายหลังกลับเหมือนคิดอะไรได้
จี้หยวนเหลือบมองซินอู๋หยาตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่กล่าวตอบทันที เขาลืมตาทิพย์ในระยะประชิด มองกลิ่นอายทั้งตัวผีบำเพ็ญนานปีตนนี้จนปรุโปร่ง เมื่อซินอู๋หยาเผชิญหน้ากับดวงตาสีเทาคู่นี้ก็รู้สึกเหมือนว่าไม่อาจปกปิดสิ่งใด
“ซินอู๋หยา ข้าคนแซ่จี้รอเจ้ามาหาเช่นกัน”
เสียงพูดของจี้หยวนราบเรียบเจือความเคร่งขรึมเสี้ยวหนึ่ง ทั้งไม่เรียกอย่างให้เกียรติว่าเจ้าเมืองเหมือนก่อนหน้านี้ หากแต่เรียกชื่อเขาโดยตรง
“อาณาจักรจู่เยวี่ยมรรคเทพเสื่อมถอย หลายแห่งกลายเป็นแดนสุขาวดีของภูตผีปีศาจ เจ้าสร้างเมืองผีไร้ขอบเขตรับผีเร่ร่อนรวมถึงวิญญาณร้ายมากมาย แค่ยอมให้เข้าเมืองแต่ไม่อนุญาตให้ออกไป แม้ว่าคิดแค่ทำเพื่อการฝึกปราณของตน แต่กฎเกณฑ์นี้ถือว่าไม่เลว”
จี้หยวนพูดถึงตรงนี้แล้วหันกลับไปมองเมืองผีไร้ขอบเขตที่อยู่ห่างไกลซึ่งเห็นแค่แสงโคมแต่ไม่เห็นตัวเมืองก่อนกล่าวต่อ
“ก่อนหน้านี้ช่วยตามหาผู้ประสบเคราะห์สี่คนกลับมาถือว่ารักษาคำพูด ไม่สร้างความลำบากตอนอยู่กลางเมืองนับว่าควบคุมตัวเองได้เช่นกัน กอปรกับมรรควิถีซึ่งฝึกปราณจากร่างผีมาจนถึงตอนนี้ถือว่าหายาก”
“หืม? หึๆๆๆ… ถ้าเช่นนั้นแสดงว่าท่านเกิดมีใจเมตตาขึ้นมาหรือ หายากจริงๆ!”
ซินอู๋หยาเพิ่งกล่าวเหน็บแนมประโยคหนึ่ง จากนั้นพลันเห็นว่าเกาเทียนหมิงที่อยู่ด้านข้างเก็บสีหน้าตกใจไปพอดี เห็นชัดว่าประหลาดใจกับคำพูดของจี้หยวน
“ไม่ผิด ข้าคนแซ่จี้มีใจเมตตาเสี้ยวหนึ่งจริงๆ ราชวงศ์มนุษย์รุ่งเรืองเสื่อมถอย นี่คืออิทธิพลยิ่งใหญ่ ข้าไม่มีทางไปขวาง หายนะซึ่งสรรพสิ่งประสบลดน้อยลงหน่อยแน่นอนว่าย่อมดีกว่า ดังคำกล่าวว่ากลียุคพึ่งทัณฑ์กวดขัน โรคเรื้อรังใช้ยาแรง การมีอยู่ของเมืองผีไร้ขอบเขตถือว่าเกินคาด ภายใต้สถานการณ์ซึ่งศาลมืดมีกำลังควบคุมไม่พอ ย่อมจัดการผีร้ายตรงเขตทางใต้ของอาณาจักรจู่เยวี่ยได้”
คำพูดพวกนี้ของจี้หยวนถือว่ากล่าวอย่างตรงไปตรงมา แค่ไม่ได้บอกซินอู๋หยาว่าข้าคนแซ่จี้เพียงฝืนมองเจ้าซินอู๋หยา เจ้ากับเมืองผีไร้ขอบเขตของเจ้ายังมีประโยชน์ ดังนั้นเลยไม่ลงมือ
“หึๆ…”
จี้หยวนหัวเราะเล็กน้อย
“ไม่พอใจก็ดี รู้สึกสงสัยก็ช่าง มาเจอข้าที่นี่ถือเป็นวาสนา”
จี้หยวนพูดถึงตรงนี้แล้วเลิกแขนเสื้อขวาก่อนหงายฝ่ามือ ยื่นมือไปทางเมืองผีไร้ขอบเขตซึ่งอยู่ห่างไกล
ด้วยการกระทำของเขา ตั้งแต่ซินอู๋หยาจนถึงภูตน้อยเผ่าวารีในขบวนต่างมองไปทางเมืองผีไร้ขอบเขตตามจิตใต้สำนึก แค่เห็นว่าผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ ตรงชั้นเมฆเหนือเมืองผีเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอัศจรรย์
ครึ่งล่างเมฆดำยังหนาแน่นเหมือนคลุมลงมา ครึ่งบนกลับปรากฏแสงอสนีสีทองหลายสาย
ปะ… เปรี้ยง… ครืน… ครืน…
เสียงอสนีบาตดังกระหึ่มเหมือนชั้นเมฆแตกเป็นเสี่ยง ต่อให้อยู่ตรงนี้ยังมีภูตไม่น้อยตกใจจนปิดหู
แสงอสนีที่อยู่ห่างไกลเจิดจ้าเกินไปจริงๆ คล้ายอยู่บนเมฆดำตรงท้องฟ้าเหนือเมืองผี หยาดย้อมเป็นเมฆทองห้อมล้อมด้วยประกายสุวรรณ ราวฉัตรทองปกคลุมอาณาเขตกว้างใหญ่ทั่วเมืองผี
ครืน…
ท่ามกลางเสียงอสนีฉัตรทองนั้นยิ่งแผ่แสงเจิดจ้า แต่รัศมีกลับเล็กลงเรื่อยๆ กระทั่งเหลือเพียงแสงสีทองเหนือชั้นเมฆ ต่อมาแสงนั้นค่อยลอยมาทางนี้ด้วยความเร็วซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
หลังจากผ่านไปไม่ถึงหกเจ็ดลมหายใจ เวทอักษรทองส่องแสงอสนีอัศจรรย์สายหนึ่งลอยมาจนถึงกลางฝ่ามือจี้หยวน เวทอักษรทองไม่พึ่งกระดาษหรือแผ่นหยก กลายเป็นอักษรกลางอากาศส่องประกายเจิดจ้าเขียนว่า ‘ขับไล่สิ่งชั่วร้าย’
อักษรเวทนี้คือพลังปฐมอสนีทั้งชีวิตของภูตวารีซึ่งเจียวดำวิวัฒน์ก่อนตาย ทั้งแฝงความอัศจรรย์จากวิชาบัญชาโลกาสวรรค์ของจี้หยวนด้วย ทำให้ยกระดับอีกขั้นหนึ่ง อานุภาพอสนีแกนสวรรค์ไร้สิ้นสุดบรรจุอยู่ภายใน
มีเสียงฟ้าคำรามดังกระหึ่มรางๆ ถึงขั้นทำให้โดยรอบเกิดภาพลวงตาราวอสนีบาตฟาดผ่า คล้ายจี้หยวนถืออสนีบาตหมื่นสายอยู่กลางฝ่ามือ
แสงอสนีของเวทอสนีส่องเส้นทางโดยรอบจนสว่าง ทั้งส่องใบหน้าผู้สังเกตการณ์โดยรอบจนซีดเผือด ภูตวารีมากมายยิ่งหลบอยู่หลังรถม้าไม่กล้ามองโดยละเอียดตามจิตใต้สำนึก
เวทอักษรทองอยู่กลางฝ่ามือจี้หยวนสองลมหายใจ จากนั้นค่อยลอยเข้าแขนเสื้ออย่างเป็นธรรมชาติ ประกายแสงสีเสียงทุกอย่างถูกเก็บเข้าแขนเสื้อด้วย
“ซินอู๋หยา เจ้าถามข้าว่าทำไมถึงปล่อยเจ้ากับเมืองผีไร้ขอบเขตไป ความจริงคำถามนี้ยังไม่เกิดขึ้น แน่นอนว่าตอนนี้ข้าคนแซ่จี้ถือว่าปล่อยพวกเจ้าไปแล้ว”
ภูตผีไม่มีเหงื่อ แต่ตอนนี้ซินอู๋หยากลับรู้สึกเหงื่อแตกพลั่กจริงๆ ในใจเกิดความคิดสับสนอยู่บ้าง
‘กล่าวอีกนัยคือหากข้าไม่มา…’
ความหมายของอักษรทองเมื่อครู่เขาเข้าใจได้ แต่อานุภาพแฝงภายในนั้นกลับไม่ชัดเจน ประกายแสงเพียงชั่วพริบตา ไม่ยากต่อการรับรู้ความแข็งแกร่งของมัน คำพูดของท่านจี้คนนี้ดูเหมือนราบเรียบ แต่กลับมีน้ำหนักอย่างยิ่ง!
เจ้าวัวเช็ดเหงื่อบนหน้า ขยับเข้าใกล้เกาเทียนหมิงเงียบๆ กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาเหมือนยุง
“พี่เกา… ดูท่าว่าท่านจี้คงไม่คุยง่ายเหมือนภายนอก…”
“ชะ ใช่…”
บรรดาทุกคนในที่นั้นกล่าวได้ว่าเกาเทียนหมิงเป็นผู้รับรู้ความน่ากลัวของเวทอักษรทองดีที่สุดนอกจากจี้หยวน ท่านจี้ คิดกำจัดเมืองผีไร้ขอบเขตจริงๆ
เมื่อจี้หยวนเห็นว่าบรรลุเป้าหมาย เขาแย้มยิ้มอีกครั้ง
“เจ้าไม่ต้องกังวล เวทอสนีนี้หลอมไม่ง่าย ทำให้ข้าคนแซ่จี้ปวดใจอยู่พักหนึ่งจริงๆ ภายในเมืองผียังมีผีบริสุทธิ์ไม่น้อย เวทอสนีของข้าต่อให้ควบคุมดีแค่ไหนก็ยากหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจ ไม่ต้องทำถึงขั้นนั้น ข้าคนแซ่จี้ค่อยวางใจ”
บาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจ? น่าจะฆ่าโดยไม่ตั้งใจมากกว่ากระมัง!
สถานการณ์ไม่อำนวย ซินอู๋หยาไม่กล้าอาจหาญอีก เขาค้อมตัวคารวะ เปรียบเทียบกับความนอบน้อมของเทพหลักเมืองเมื่อครู่แล้วมีแต่จะเหนือกว่า
“ขอบคุณท่านที่ละเว้น!”
ตอนนี้เกาเทียนหมิงที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
“ท่านจี้! ข้าคนแซ่เกาบังอาจถามสักประโยค เมื่อครู่คือวิชาคุมอสนีอัศจรรย์อะไร ข้าคนแซ่เกาเป็นถึงพวกมังกรเจียว แต่กลับรู้สึกหวาดกลัวตัวชาเหมือนเข็มแทง!”
จี้หยวนไม่ปิดบัง
“นี่คือบัญชาเวทอสนี แฝงบัญชาอสนีแกร่ง ภายในอักษรเวทบรรจุปราณอสนีแกร่งดั้งเดิม…”
จี้หยวนพูดถึงตรงนี้แล้วยิ้มมองเกาเทียนหมิง
“คล้ายวิวัฒน์ปราณมังกรเจียวทั้งหมดของท่านเป็นแก่นพลังแล้วใส่เข้าไปกระมัง! จากนั้นค่อยใช้วิชาคุมอสนีโจมตีลงมา อานุภาพคงถือว่าไม่เลว!”
“เฮือก…”
เกาเทียนหมิงได้ยินแล้วตัวสั่นตามจิตใต้สำนึก ภูตผีอย่างซินอู๋หยาสั่นสะท้านเช่นกัน
อักษรเวทเทียบเท่าแก่นพลังมังกรเจียวหลายร้อยปี จากนั้นค่อยปล่อยอานุภาพออกมาด้วยการโจมตีเดียว!
“เจ้าเมืองซิน!”
“ขอรับ!”
จี้หยวนเอ่ยปากกะทันหัน ทำให้ซินอู๋หยาตกใจจนรีบตอบรับ
“ข้าคนแซ่จี้บอกว่าเจ้าทำได้ไม่เลว รู้นัยลึกซึ้งของมันหรือไม่”
“ขะ ข้าคนแซ่ซินรับรู้!”
“ดี พอแค่นี้แล้วกัน พวกเราขอตัว”
จี้หยวนกล่าวประโยคนี้จบ มองเทพหลักเมืองที่อยู่อีกด้านเล็กน้อย เขาก้าวเดินจากไปก่อน หนิวป้าเทียนรีบลากเยี่ยนเฟยตามไปพร้อมกัน
เกาเทียนหมิงดึงสติกลับมาแล้วประสานมือให้ซินอู๋หยาเล็กน้อย จากนั้นจึงพาภรรยาตามไป เหล่าภูตเผ่าวารีอิดออดตัวสั่นงันงกอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนตั้งขบวนตามไป ส่วนพวกหวาดกลัวสุดขีดจิตวิญญาณเสียหายสี่คนนั้นหลับอยู่บนรถนานแล้ว แม้แต่เสียงฟ้าผ่ายังปลุกพวกเขาไม่ได้
ซินอู๋หยายืนอึ้งอยู่จุดเดิม ถึงขั้นมีความรู้สึกเหมือนรอดพ้นเคราะห์ร้าย
จี้หยวนซึ่งเดินห่างมาช่วงหนึ่งมองตัวหมากใหม่ในมือ หันมองไปด้านหลัง เอ่ยปากไร้เสียงใช้เสียงมรรคสื่อกลับไป
‘เจ้าเมืองซิน ผีร้ายซึ่งป่าวประกาศว่าจะจัดงานเลี้ยงคนเป็นกลางเมืองผี หากไม่มีประโยชน์อะไรก็กำจัดทิ้งเถอะ’
ซินอู๋หยารีบค้อมตัวไปยังทางที่พาหนะจากไปก่อนตอบว่า ‘ขอรับ’
ตอนนี้พวกผีดุวิญญาณร้ายสิบกว่าตนซึ่งเอะอะโวยวายมากที่สุดปรากฏขึ้นในใจของซินอู๋หยาโดยปริยาย ลงรายชื่อเตรียมรับโทษตาย หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาตัดสินใจฆ่าทูตบริวารนั่นด้วย