เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 338 เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ตอนที่ 338 เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
เพราะไอหมอกกระจายไปแล้ว ทัศวินัยดียิ่งขึ้น จี้หยวนเหยียบเมฆเหาะไปในอากาศที่ไม่นับว่าสูงเหนือกองเรือมาก กอปรกับวาฬยักษ์ออกจากทะเลรุนแรงมาก ภาพที่วาฬยักษ์พาเซียนจากไปไกลถูกคนบนดาดฟ้าเรือมากมายเห็นเข้าแล้ว
พอจี้หยวนไปแล้ว การตัดสินใจอันยากลำบากตกอยู่ที่เฉียวหย่งและทั้งกองเรือ แต่เฉียวหย่งยังไม่ทันเรียกสมาชิกบนเรือรวมตัว ก็มีกะลาสีใกล้ๆ เข้ามาถามด้วยท่าทางเรียบง่าย
เฉียวหย่งมองไปไกล จากนั้นมองซ้ายขวา
“พวกเจ้าอยากกลับบ้านหรือไม่”
ลูกน้องและกะลาสีข้างๆ ล้วนมองเขา ไม่มีใครตอบสักคน ทว่าในดวงตากลับมีความปรารถนาเต็มเปี่ยม
“ตกลง ประกาศรวมพลหารือเรื่องการกลับไป ถ้าต้องรับผิดชอบจริงๆ ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเอง! กลับบ้านกันให้หมดนี่แหละ!”
“รับบัญชา!”
ลูกน้องหลายคนตอบรับอย่างตื่นเต้น
เดิมทีหากกลับไปเช่นนี้ทั้งกองเรือต้องถูกลงโทษทั้งหมด แต่ตอนนี้มีคำของท่านเซียนผู้นั้นแล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะได้รับการละเว้นโทษ ต่อให้มีการลงโทษก็อยู่แค่ในขอบเขตเล็กๆ เท่านั้น
เฉียวหย่งมองไปทางตะวันตกเฉียงใต้ พวกเขาวนรอบนอกทะเลแล้วรอบหนึ่ง ทว่ามีเข็มทิศซือหนานอยู่ รวมถึงจดบันทึกและวาดแผนที่อยู่ตลอดเวลา อย่างน้อยรู้ทิศทางกลับไปโดยคร่าว และทางตะวันตกเฉียงใต้นี้น่าจะเป็นเกาะเมฆาตะวันออกในตำนาน แต่ไม่รู้ว่าไกลเท่าไหร่แล้ว
…
บนหลังวาฬยักษ์ อิงรั่วหลียังคงหันไปมองกองเรือที่อยู่ไกลๆ
“ท่านอาจี้ พวกเขาเชื่อเช่นนั้นหรือ ความปรารถนาของมนุษย์รุนแรงนัก แม้ไม่ใช่ความปรารถนาของพวกเขา แต่พวกเขาเกรงกลัวความปรารถนาของฮ่องเต้”
ไม่ใช่ว่าธิดามังกรไม่เชื่อว่าท่านอาจี้ของตนมีความน่าเชื่อถือ ทว่าพวกเขาเดินทางยากลำบากตามหามานานถึงแปดปี ถึงแม้เห็นเซียนมาแล้ว ไหนเลยจะเดินทางกลับเพียงเพราะคำพูดเดียวอย่างง่ายดาย
จี้หยวนไม่ได้หันไปมอง เพียงพูดเสียงเรียบเท่านั้น
“ตอนที่ข้าเพิ่งจากมาเชื่อห้าส่วน เมื่อพวกเขารวบรวมคนสำคัญหารือกันเรียบร้อยจะเชื่อเจ็ดส่วน คนสำคัญเหล่านั้นกลับถึงเรือตนเองบอกข่าวกับกะลาสีทุกคนแล้วจะเชื่อสิบส่วน”
“ส่วนเรื่องหลังจากนี้ความจริงคาดเดาได้ไม่ยาก หากฮ่องเต้องค์ก่อนยังไม่สวรรคต ด้วยความปรารถนานั้น เมื่อได้รู้ข่าวนี้ไม่มีทางทำอะไรพวกเขา แต่หากฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคตแล้ว เป็นไปได้ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่จะรักษาระยะห่างกับขุนนางพเนจรเหล่านี้ อย่างไรเสียก็ยังมีโหรอยู่”
อิงรั่วหลีเพียงนึกขันและไม่คิดมากอีก นางเหยียบวาฬยักษ์แล้วกล่าวกับมันว่า
“เจ้าว่ายน้ำมาเกือบสองเดือนแล้ว อีกนานหรือไม่กว่าจะถึง”
“เทพีรั่วหลีอย่าเพิ่งรีบร้อน ไม่นานก็จะออกจากทะเลบูรพาแล้ว ทว่าต้องอ้อมทะเลรกร้างช่วงนั้นก่อน แล้วมหาสมุทรจะเปลี่ยนบ้าคลั่งยิ่งขึ้น เผ่าวารีมีอยู่ทั่วทุกที่ มังกรแท้ก็มีให้เห็นเช่นกัน ยากจะทำให้เชื่องได้ ขอเทพีและท่านจี้ระวังตัวด้วย”
อิงรั่วหลีตอบรับเบาๆ เสียงหนึ่ง
“เจ้าคงเห็นว่าข้าไม่เคยไปทะเลรกร้างกระมัง ส่วนท่านจี้ยิ่งไม่จำเป็นให้เจ้าต้องเป็นห่วงเลย”
“ขอรับ!”
แม่ทัพวาฬยักษ์ว่ายน้ำเต็มกำลัง ความเร็วเพิ่มมากขึ้นจากก่อนหน้านี้หลายส่วน
สิบกว่าวันให้หลังสีสันของน้ำทะเลเริ่มเปลี่ยนเป็นแปลกตา เหมือนกับขุ่นมัวมากขึ้นเล็กน้อย คลื่นทะเลรุนแรงขึ้นกว่าเก่าเช่นกัน แทบจะบ้าคลั่งขึ้นทุกชั่วขณะเลยทีเดียว ถึงขนาดมีลมแรงจากท้องฟ้าพัดลงมาต่ำถึงผิวทะเลเป็นครั้งคราว ทำให้เกิดคลื่นรุนแรงสูงขึ้นมา
นี่เป็นสถานการณ์บนผิวน้ำทะเล แม้สถานการณ์ใต้ทะเลเหมือนจะสงบนิ่งไม่น้อย กุ้งหอยปูปลาถือว่าอุดมสมบูรณ์ แต่ปราณวิญญาณหลายกลุ่มคล้ายกับเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน พัดไปในกระแสน้ำเชี่ยวดุจคลื่นลมใต้น้ำ หากไม่หาจุดที่สงบเงียบสักหน่อยก็ไม่อาจฝึกปราณได้โดยง่าย
แม่ทัพวาฬยักษ์ว่ายน้ำอยู่ที่นี่เปลืองแรงไม่น้อยอย่างชัดเจน ในพื้นที่ที่มีคลื่นขนาดใหญ่ก็มีลมพัดกระหน่ำอยู่เสมอ แม่ทัพวาฬยักษ์ต้องดำลงไปในน้ำลึกทุกครั้ง ใช้การดำน้ำผ่านพื้นที่เหล่านั้นไป
ตลอดทางมาที่เดิมทีสงบราบเรียบ ถึงตอนนี้กลับขรุขระอย่างน่าประหลาดใจ หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาอยู่บนหลังวาฬยักษ์น่าจะเวียนศีรษะอาเจียนไปแล้ว
แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีพื้นที่ที่คลื่นลมสงบเลย เพียงแม่ทัพวาฬยักษ์บอกว่าสถานที่แบบนี้อาจเป็นสถานที่ที่เผ่ามารทะเลรกร้างชอบอาศัยอยู่ อย่าหาเรื่องใส่ตัวและอ้อมไปดีที่สุด
เรื่องนี้จี้หยวนและอิงรั่วหลีก็เห็นชอบ ดังนั้นหลังจากอ้อมทะเลรกร้างส่วนหนึ่งไปหลายวันแล้ว ในที่สุดก็เข้าสู่ทะเลอุดรที่ค่อนข้างเงียบสงบ
ความจริงแล้วพื้นที่ของทะเลบูรพาและทะเลอุดรที่เชื่อมต่อกันมีเพียงส่วนเดียวเท่านั้น พื้นที่ส่วนหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่ข้างนอกสุดถูกกั้นไว้ด้วยทะเลรกร้าง แต่ระยะห่างไม่นับว่าไกลเกินไป ตอนนี้ถึงทะเลอุดรแล้ว แม่ทัพวาฬยักษ์จึงถอนใจโล่งอกครั้งหนึ่ง
เมื่อมองผิวน้ำทะเลไกลๆ แม่ทัพวาฬยักษ์ค่อยเอ่ยปากด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
“มุ่งหน้าทางตะวันออกเฉียงเหนืออีกอย่างมากสองสามวัน ก็จะเป็นเกาะหินมังกรของเจ้าแม่แล้ว”
เมื่อได้ฟังดังนั้น อิงรั่วหลีตื่นเต้นขึ้นมาอย่างชัดเจน จี้หยวนมองเห็นว่านางกำกระโปรงแน่นตามสัญชาตญาณ
“ตอนนี้ควรคิดเรื่องมังกรเจียวชั่วแล้ว เจ้าเพียงรู้ว่ามันมาจากทะเลรกร้าง กลับไม่รู้ว่ามันมีพลังมากแค่ไหน มีสหายบ้างหรือไม่ เรื่องนี้ต้องถามเจ้าแม่ของเจ้าถึงจะรู้กระมัง”
“ถูกต้อง ท่านจี้พูดถูกแล้ว!”
แม่ทัพวาฬยักษ์ปากพูดจากใจจริง ทว่าในใจกลับตื้นตันเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรเสียมังกรเจียวชั่วตัวนั้นก็ต้องตายเป็นแน่แท้!
ถึงจะเหนื่อยจนเกินทนไหว แต่แม่ทัพวาฬยักษ์ไม่ได้สนใจอะไรมากแล้ว เร่งความเร็วว่ายน้ำไปทางเกาะหินมังกรอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากนั้นสองวัน แม่ทัพวาฬยักษ์ที่เหนื่อยถึงขีดจำกัดแล้วอ้าปากหายใจอย่างแรง ดูดสัตว์น้ำกลุ่มใหญ่โดยรอบเข้าปากไปเพื่อเติมกำลังกาย
เมื่อวาฬยักษ์หายเหนื่อยแล้วบ้าง มันพาจี้หยวนและอิงรั่วหลีว่ายน้ำไปข้างหน้าอีกครึ่งวัน ก่อนที่ในสายตาจะปรากฏเกาะที่ปกคลุมไปด้วยเมฆดำ มีสายฟ้าฟาดลงบนเกาะอยู่เรื่อยๆ
“เกาะหินมังกร? เหตุใดมีเมฆฝนเช่นนั้น”
อิงรั่วหลีตื่นเต้นกึ่งหนึ่ง สงสัยกึ่งหนึ่ง
“ไม่เป็นไรๆ เทพีรั่วหลีโปรดวางใจ เห็นแมฆดำเช่นนี้แต่ไม่เป็นไรแน่นอน หลายปีนี้เจ้าแม่ถูกรบกวนจนรำคาญใจมาก มักหงุดหงิดอยู่เสมอ เมื่อนางโกรธ ท้องฟ้าเหนือเกาะหินมังกรจะเกิดเมฆฝน มีเพียงฟ้าผ่าแต่ไม่มีฝนตกลงมา!”
จี้หยวนมองแม่ทัพวาฬยักษ์ใต้เท้า เมื่อโกรธจะเกิดเมฆฝน ในหมู่มังกรเจียวไม่นับว่าอ่อนแอกระมัง
“เจ้าแม่ของเจ้าคล้ายกับร้ายกาจทีเดียว เหตุใดไม่จัดการมังกรเจียวชั่วน่ารำคาญนั่นด้วยตัวเองเสียเลยเล่า”
อิงรั่วหลีรู้ว่าจี้หยวนไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ จึงกล่าวด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ
“กฎระเบียบมังกรเจียวสืบทอดกันมาแต่โบราณ ในสถานการณ์ที่วุ่นวายเช่นนี้ หากท่านแม่ลงมือต่อสู้กับมังกรเจียวชั่วตัวนั้นด้วยตนเอง ชนะก็แล้วไปเถอะ แต่หากแพ้ขึ้นมา…ก็…”
จี้หยวนรีบยกมือขึ้นห้ามไม่ให้ธิดามังกรพูดต่อ
“ข้าเข้าใจแล้วๆ ไม่ถูกต้อง…เช่นนั้นเจ้ามาต่อสู้กับมังกรเจียวชั่วหรือ”
อิงรั่วหลีรีบโบกมือและส่ายหน้าระรัวราวกับกลองป๋องแป๋ง
“ข้าไม่เหมือนกันๆ! ข้าเท่ากับมาชำระแค้น ไม่ข้องเกี่ยวกับกฎโบราณโดยสิ้นเชิง หากแพ้อย่างมากก็แค่ตาย และข้าไม่มีทางแพ้ อีกทั้งมีกระบี่เครือเขียวของท่านอาจี้อยู่ด้วย วัดกันที่มรรควิถีก็เพียงพอแล้ว!”
ธิดามังกรค่อยๆ สงบใจลง คำพูดนี้มั่นใจในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ทว่าก็มีต้นทุนให้มั่นใจได้จริงๆ
“ไปพบท่านแม่ข้าก่อนเถอะ!”
“ขอรับ!”
แม่ทัพวาฬยักษ์ดำลงไปใต้น้ำ ว่ายน้ำไปยังด้านล่างของเกาะหินมังกร ยังไม่ทันเข้าใกล้เกาะหินมังกรก็พบว่ามีภูตเผ่าวารีหน้าตาแปลกประหลาดขวางทางอยู่ ผู้นำมีเกล็ดปลาปกคลุมทั้งตัว ทว่าท่าทางคล้ายมนุษย์อยู่สามส่วน ข้างหลังมีหางปลายาว หลอมกระดูกเป็นที่เรียบร้อย
“หยุด ข้างหน้าคือเกาะหินมังกร เป็นสถานที่ที่ฮูหยินของเจ้านายพวกข้าอาศัยอยู่ ไม่อนุญาตให้เข้าใกล้!”
แม่ทัพวาฬยักษ์ยังไม่ได้พูดอะไร ฝ่ายอิงรั่วหลีหรี่ตาลง มือหนึ่งยื่นออกไปข้างหน้า คว้าผู้ที่เอ่ยปากพูดมาถึงตรงหน้าในพริบตาเดียว มือนั้นบีบบนคออีกฝ่ายพลางพูดอย่างเยือกเย็น
“เจ้านายของเจ้า? มีนามว่าอะไร อยู่ที่ใด”
“เอ่อ…เจ้า เอ่อ ช่างกล้านัก…นายข้าก็คือฮวาหลง…”
จี้หยวนเห็นอิงรั่วหลีกำลังจะบันดาลโทสะบีบคออีกฝ่ายตาย จึงรีบชักนำปราณกระบี่กลุ่มหนึ่งแล้วใช้นิ้วดีดออกไป ถูกท้ายทอยภูตตนนั้นเข้าพอดิบพอดี ฝ่ายหลังเจ็บจนตาลายหมดสติไปแล้ว
“เก็บมันไว้นำทาง ส่วนที่เหลือจัดการให้หมดเถอะ”
จี้หยวนเพิ่งพูดจบ แม่ทัพวาฬยักษ์หัวเราะหึๆๆ ระลอกหนึ่ง ก่อนที่จะอ้าปากใหญ่เบ้อเร่อดูดอย่างแรงอีกครั้ง
ภูตที่ยังคงงุนงงเหล่านั้นพลันแตกตื่นคิดหนีจากที่นี่ ทว่าสุดท้ายตกลงสู่ปากวาฬยักษ์อย่างถ้วนทั่ว เสียงกระดูกหักสายหนึ่งดังมา บ่งบอกว่าพวกมันกลายเป็นสารอาหารของแม่ทัพวาฬยักษ์แล้ว
ใต้เกาะหินมีจวนบาดาลเช่นกัน มากกว่าครึ่งซ่อนอยู่ภายในถ้ำกลางอากาศที่อยู่ข้างใต้เกาะ การมาถึงของแม่ทัพวาฬยักษ์ทำให้เผ่าวารีของเกาะหินมังกรคาดไม่ถึง เงือกสาวสองตนยิ่งมุ่งหน้าไปยังเรือนเจ้าแม่ด้วยความตื่นเต้น
“เรียนเจ้าแม่ แม่ทัพวาฬยักษ์กลับมาแล้ว!”
สตรีในชุดสีฟ้าภายในเรือนลุกขึ้นยืนจากข้างเตียงแล้ว
“มันเรียกโม่หรงมาจริงหรือ”
“ข้าไม่เคยพบโม่หรง เจ้าแม่ออกไปดูก็รู้แล้ว”
เงือกสาวพูดด้วยความยินดี ทำให้สตรีนางนั้นจิตใจไม่สงบอยู่บ้าง หรือว่าจะเป็นคนผู้นั้นมา
เมื่อออกไปข้างนอกตำหนัก ร่างขนาดมหึมาของแม่ทัพวาฬยักษ์คลานอยู่ที่พื้นสมุทร ตรงหน้ามันยืนไว้ด้วยหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี บุรุษผู้นั้นนางไม่รู้จัก แต่สตรีนั้นไม่ว่าจะเป็นร่างเทพหรือหน้าตาล้วนคล้ายกับตนเองมาก
สองมารดาบุตรีต่างนิ่งงันอยู่ครู่ใหญ่
“เจ้าคือ…รั่วหลี?”
“ท่านแม่! รั่วหลีมาแล้ว…”
อิงรั่วหลีพูดจบประโยคนี้ด้วยเสียงเบาหวิว เท้าขยับเข้าใกล้เจ้าแม่อย่างกระวนกระวายใจชัดเจน
“ท่านแม่…สองร้อยปีที่ผ่านมานี้ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“เจ้ากลับเติบใหญ่แล้ว…พี่ชายเจ้าเล่า พวกเจ้าเป็นอย่างไรกันบ้าง”
อิงรั่วหลีเกิดความปีติ มารดาเป็นห่วงตนเองและพี่ชาย ชัดแจ้งว่าไม่ได้ตัดเยื่อใยอย่างแท้จริง นางรีบเดินเข้าไปใกล้หลายก้าวคิดยื่นมือจับมือมารดา ฝ่ายหลังหลบเลี่ยงตามจิตใต้สำนึก ทว่าธิดามังกรไม่สนใจกอดมารดาตนเองไว้โดยตรง
“พวกข้าสบายดีมาก แต่คิดถึงท่านแม่มาก!”
ตอนนี้สองมือของมารดามังกรยกค้างอยู่ข้างลำตัว ทว่าสุดท้ายก็กอดอิงรั่วหลีเช่นกัน
จี้หยวนที่อยู่ข้างๆ เห็นว่าแม้ธิดามังกรก้มหน้า แต่ยิ้มเบิกบานใจอย่างชัดเจน เพียงกอดครั้งนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าที่ธิดามังกรเดินทางมาแล้ว
“ท่านแม่โปรดวางใจ ขอเพียงมังกรเจียวชั่วกล้าปรากฏตัว ข้าจะสังหารมันเอง หากมันไม่ปรากฏตัว ข้าจะไปจัดการกับมันถึงที่เลยทีเดียวเชียว!”
มารดามังกรกำลังจะกล่าวบ้าง ทว่าธิดามังกรกล่าวต่อก่อนแล้ว
“ลูกไม่ใช่ผู้ไม่รู้จักประมาณตน นอกจากมั่นใจในมรรควิถีของตนเองแล้ว ข้าเชิญผู้ช่วยมาด้วย ท่านนี้คือท่านอาจี้ สหายของท่านพ่อ เขาเป็นเซียนอัศจรรย์ที่มีพลังวิเศษ ข้าขอยืมใช้กระบี่เซียนของท่านจี้ไว้ มังกรเจียวใดก็ขวางไว้ไม่ได้!”
“สหายของอิงหง?”
คราวนี้มารดามังกรมองไปทางจี้หยวนแล้ว
จี้หยวนไม่เรียกอีกฝ่ายว่าอิงฮูหยิน ไม่ระวังตัวพูดโพล่งออกไปคล้ายจะไม่ค่อยดี จึงทำได้เพียงประสานมือคารวะกล่าวว่า
“ถูกต้อง ข้าจี้หยวน!”
บนกายจี้หยวนไม่มีทั้งปราณมรรคเซียน รวมถึงปราณปีศาจและปราณมาร เหมือนกับเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง ทว่าเขายืนอยู่ใต้ทะเลได้ถือว่าไม่ธรรมดา มรรควิถีเขาคงลึกล้ำยิ่ง
“อิงหงให้ท่านมาหรือ”
จี้หยวนยิ้ม
“ย่อมเป็นผู้อาวุโสอิงขอร้องข้า ความจริงตัวเขาก็อยากมาเช่นกัน แต่กลัวว่าท่านจะไม่ต้อนรับเขาจึงอดกลั้นไว้ กระนั้นก็กลัวว่ารั่วหลีจะทำไม่สำเร็จ ดังนั้นกำชับข้าให้มาช่วยเหลือเป็นการพิเศษ!”
อิงรั่วหลีหันไปมองจี้หยวนด้วยความประหลาดใจอย่างชัดเจน กลับพบว่าท่านอาจี้ของตนเองยักคิ้วให้นางเล็กน้อย
“ใช่ๆๆๆ! เป็นเช่นนั้น ท่านอาจี้เก่งกาจชอบท่องเที่ยวทั่วใต้หล้า เกียรติของข้าอาจมีไม่มาก เป็นเพราะท่านพ่อออกหน้าถึงให้ท่านจี้ออกมือได้!”
“เฮอะ!”
มารดามังกรแค่นเสียง ไม่ได้พูดอะไรมากอีก