เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 67 ทำนายมั่ว
ตอนที่ 67 ทำนายมั่ว
ความจริงจี้หยวนซึ่งอยู่ตรงมุมยังถูกคนบางส่วนสังเกตเห็น เมื่อครู่ยามลูกจ้างหอสุราพาจี้หยวนไปอยู่ตรงมุมมีคนไม่น้อยมองเห็น
เสียงพูดคุยของจี้หยวนกับลูกจ้างร้านค่อนข้างเบา คนอื่นฟังไม่ชัดเจน ดังนั้นเหตุการณ์ตามความเข้าใจของคนทั่วไปคือ ชายผู้การเงินขัดสนสกปรกซอมซ่อเข้าหอรวมแขกด้วยอยากกินข้าว คนของหอสุรากลัวส่งผลต่อกิจการ สุดท้ายคนของหอสุราจึงพาคนผู้นี้ไปอยู่ตรงมุม
มองแค่ภายนอกไม่ว่าใครก็นึกไม่ออกว่าจี้หยวนจะสั่งอาหารเต็มโต๊ะ คาดว่าคงเป็นหมั่นโถวกับน้ำเปล่า มีผักดองสักจานก็หรูแล้ว
แน่นอนว่ามีคนวิจารณ์จี้หยวนเสียงเบา ในคำพูดส่วนใหญ่คือคำว่า ‘คนน่าสงสาร’ กับ ‘ลำบากนัก’
สำหรับเรื่องนี้จี้หยวนไม่สนใจสักนิด พวกเจ้ากินของพวกเจ้า ข้าไม่หวังเศษอาหารเหลือบนโต๊ะพวกเจ้า ไม่แน่ว่ารอยกอาหารของตนมาคงทำให้คนไม่น้อยประหลาดใจ
แต่ระหว่างรอจี้หยวนจับตามองเรื่องน่าสนใจบางอย่างอยู่ตลอด สถานที่ซึ่งห่างจากเขาไปสามสี่โต๊ะ ตรงนั้นมีคนสวมชุดนักพรตถือแส้หางม้าด้ามไม้ไผ่คนหนึ่งนั่งอยู่ ด้านข้างยังมีเด็กอายุประมาณสิบสี่สิบห้า แต่งกายเหมือนนักพรตเด็ก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จี้หยวนเจอนักพรตบนโลกใบนี้ แน่นอน นักพรตคนนี้เป็นแค่นักพรตธรรมดาเท่านั้น ไม่ใช่ผู้สูงส่งฝึกเซียนอะไร
สองคนนั้นเหมือนเจอความลำบากเล็กน้อย
นักพรตเด็กนั่นกำลังกรอกน้ำชามหนึ่งลงท้องดังอึกๆ เมื่อดื่มเสร็จจึงเช็ดปากถามนักพรตที่อยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าอมทุกข์
“อาจารย์ ค่าเดินทางของพวกเราเกือบหมดแล้ว ช่วงนี้ได้แต่กินหมั่นโถวผักกาดขาว เมื่อไหร่จะได้กลับอารามเขาเมฆาเล่า”
“เรื่องค่าเดินทางไม่รีบร้อน กินมื้อนี้เสร็จไปหามุมถนนตั้งแผงดูดวงให้อาจารย์ ยังหาเงินมากินข้าวได้ ส่วนเรื่องกลับไปคงต้องค่อยเป็นค่อยไป”
นักพรตดื่มน้ำรองท้องเช่นกัน ตอบรับคำบ่นของศิษย์ แต่เมื่อฝ่ายหลังได้ยินว่าเขาจะตั้งแผงดูดวงกลับลนลานอยู่บ้างทันที
“อาจารย์ ท่านจะตั้งแผงดูดวงอีกหรือ… อย่าเลยเถอะ… ครั้งก่อนที่อำเภอชิงหลิ่วถูกคนคว่ำแผงซ้ำเล่นงานพวกเรายกหนึ่ง ท่านยังไม่หลาบจำหรือ!”
“เฮ้ยๆ อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีก ครั้งนี้อาจารย์หลาบจำแล้ว เรื่องควรพูดค่อยพูด เลือกหาแต่คำพูดดีๆ คำพูดไม่ดีถึงขาดใจตายก็ไม่พูด ย่อมเห็นแก่การหาเงินเป็นหลัก คนป่าเถื่อนพวกนั้นอย่างมากก็ไม่นับ”
นักพรตเหมือนอายเรื่องอดีตอยู่บ้าง ความมั่นใจเมื่อครู่ลดลงไปไม่น้อย
“ทุกครั้งท่านล้วนกล่าวเช่นนี้…”
ศิษย์คนนั้นพึมพำเสียงเบา คาดว่านักพรตคงไม่ได้ยิน แต่ทำให้จี้หยวนได้ยินชัดเจน มุมปากเผยรอยยิ้ม
น่าสนใจ ไม่ว่ามองอย่างไรก็เหมือนสองตัวตลก หรือกล่าวได้ว่าเป็นตัวตลกใหญ่กับศิษย์ละเหี่ยใจ
“ลูกค้าหมั่นโถวขาวกับผัดผักกาดขาวของท่าน อาหารครบแล้วเชิญทานขอรับ!”
มีเสี่ยวเอ้อร์ยกถาดไม้ใบใหญ่มาส่งอาหาร วางหมั่นโถวกับผักกาดขาวด้านบนของศิษย์อาจารย์บนโต๊ะ จากนั้นค่อยจากไปส่งอาหารให้โต๊ะอื่น
เห็นชัดว่าสายตานักพรตกับเด็กคนนั้นพากันมองไปยังเนื้อสองสามชามภายในถาดไม้ของเสี่ยวเอ้อร์ รออีกฝ่ายจากไปจึงเคลื่อนสายตากลับมายังโต๊ะของตนอย่างอาวรณ์อยู่บ้าง
“เฮ้อ… กินเถอะ…”
“อืม…”
ทั้งสองคนถอนหายใจเหมือนมะเขือเหี่ยว
นี่ทำให้จี้หยวนเบิกบานจริงๆ ใช่ว่าเขาไม่โอบอ้อม ความจริงคือบรรยากาศนี้คล้ายละครตลกอยู่บ้าง
“ลูกค้า อาหารท่านมาแล้ว… นี่คือขาหมูปรุงรส ขนมแป้งนึ่ง ต้มผักกาดขาว ผัดผักกาดหัว หัวไชเท้าดอง ไก่ตัวเมียตุ๋นกับผัดสามสมบัติค่อนข้างใช้เวลา ยังต้องรอสักครู่…”
เสี่ยวเอ้อร์ผู้ยกอาหารมาหน้าโต๊ะจี้หยวนตะโกนเสียงดัง วางอาหารลงบนโต๊ะทีละจาน
เสี่ยวเอ้อร์ของหอรวมแขกมีความเคยชินอย่างหนึ่ง โต๊ะที่สั่งอาหารจานเด็ด ยามส่งอาหารจะกล่าวชื่ออาหารเสียงดังเป็นพิเศษ นอกจากทั่วโถงใหญ่แล้วแม้แต่คนบนถนนด้านนอกยังได้ยิน ถ้าเป็นอย่างนักพรตศิษย์อาจารย์นั่น ยามส่งอาหารจะเสียงเบาลงมาก
แต่เชื่อมโยงกับภาพจำก่อนหน้าของจี้หยวน อาหารที่เขาสั่งทำให้เกิดความรู้สึกแตกต่าง ภายนอกคนมากมายเหมือนไม่เป็นไร แต่ภายในก้นบึ้งจิตใจล้วนตกตะลึงอยู่บ้าง
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์วางหัวไชเท้าดองจานสุดท้ายเสร็จ กำลังคิดจะจากไปก่อน แต่จี้หยวนกลับเรียกรั้งเขาไว้ มองไปทางศิษย์อาจารย์คู่นั้นพลางกล่าว
“เสี่ยวเอ้อร์ รบกวนเจ้าไปบอกสองนักพรตตรงนั้นหน่อย บอกว่าข้าน้อยเชิญพวกเขามาทานร่วมกัน”
จี้หยวนพูดถึงตรงนี้แล้วมองสภาพตัวเอง กล่าวเสริมอีกประโยคหนึ่ง
“อืม ถ้าหากพวกเขาไม่รังเกียจ”
จากความเบิกบานเมื่อครู่ จี้หยวนยินดียื่นมือเข้าช่วย เชิญพวกเขากินข้าวสักมื้อ ทั้งดูจากเนื้อหาในคำพูดเมื่อครู่ นักพรตนั่นดูดวงคงไม่ได้อ้างเทพอย่างเดียว
“เอ่อ… ได้ ข้าไปบอกพวกเขาให้!”
เสี่ยวเอ้อร์ถือถาดไม้วิ่งเหยาะมาถึงหน้าโต๊ะนักพรตศิษย์อาจารย์ที่กำลังกินหมั่นโถวคีบผักกาดขาวอยู่
“คือว่าลูกค้าทั้งสอง ลูกค้าตรงมุมประตูคนนั้นบอกว่าหากท่านทั้งสองไม่รังเกียจ เชิญมานั่งกินด้วยกัน ใช่ เป็นคนที่กำลังยิ้มมาทางนี้”
สองนักพรตหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กมองตามทิศทางนิ้วมือของเสี่ยวเอ้อร์ไป
“เขา? ตัวเขาเองจ่ายไว้หรือ… ไม่สนว่าเขาจ่ายไว้หรือไม่ เสี่ยวเหวินพวกเราไปกัน!”
นักพรตนั่นกล่าวพึมพำพลางยิ้มตามเสี่ยวเอ้อร์มา รีบพาศิษย์ไปยังโต๊ะจี้หยวน ยังไม่ลืมนำหมั่นโถวขาวกับผัดผักกาดขาวของตนไปด้วย
นักพรตคนนี้ดึงเก้าอี้ยาวลงนั่งพลางแนะนำตัวเอง
“อะแฮ่ม… ไม่ทราบว่าควรเรียกท่านว่าอย่างไร ข้าน้อยฉีเซวียน ฉายานักพรตชิงซง นี่คือลูกศิษย์ฉีเหวิน ไม่ทราบว่าเหตุใดท่านถึงเชิญพวกเราศิษย์อาจารย์มากินข้าว”
เวลานี้นักพรตเด็กนั่นไม่กล่าวสักประโยค นั่งจ้องมองอาหารสองสามจานอยู่ตลอด
“ข้าน้อยจี้หยวน แค่พบเจอนักพรตน้อยนัก อยากเชิญมากินข้าวด้วยกัน ถือว่าได้เห็นสิ่งแปลกใหม่”
ทั้งสองฝ่ายต่างไม่คารวะกัน แค่พูดคุยกันเท่านั้น
“อ้อ ถือว่าได้…”
นักพรตคนนี้กล่าวถึงครึ่งทางแล้วพลันอึ้งงัน เพราะเขาค้นพบว่าถึงแม้ดวงตาของจี้หยวนจะโปร่งแสง แต่สีกลับซีดเผือด ฝืนกลืนประโยคว่า ‘ท่านใช่คนตาบอดหรือไม่’ ลงลำคอ อันตรายนัก เกือบพลั้งปากแล้ว
“เอาล่ะๆ อย่าเพิ่งคุยเลย พวกเรากินข้าวเถอะ อาหารเย็นแล้วไม่อร่อย”
จี้หยวนรู้ว่าหากตนไม่พูด สองศิษย์อาจารย์คงสำรวมตน ไม่มีทางขยับตะเกียบโดยพลการ
“พวกท่านมีหมั่นโถวขาวพอดี ส่วนข้าลืมสั่งข้าวมา อืม เสริมกันพอดี!”
ขณะกล่าวจี้หยวนชิงหยิบหมั่นโถวลูกหนึ่งมากัดสักคำก่อน จากนั้นค่อยยื่นตะเกียบคีบอาหารมากิน สองศิษย์อาจารย์ด้านข้างมีหรือจะทนไหว พากันขยับตะเกียบกินเช่นเดียวกัน
แม้ว่าสถานการณ์แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ทั้งสามคนล้วนเป็นบุคคลซึ่งไม่ได้ชิมอาหารเลิศรสมานาน คราวนี้เมื่อได้กินจึงหยุดปากไม่ได้ กินอย่างเอร็ดอร่อย
ท่าทางการกินของจี้หยวนยังดีหน่อย ความเคยชินสองสามเดือนซึ่งเคยบ่มเพาะหวนกลับมานานแล้ว ดึงแขนเสื้อคีบอาหารเคี้ยวกลืนล้วนมีมารยาท แต่ความเร็วในการกินกลับไม่เชื่องช้า
สองศิษย์อาจารย์ตั้งท่ากินอย่างตะกละตะกลามโดยสมบูรณ์ ไม่สำลักถือว่าแปลกแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วลูกค้าสองสามโต๊ะที่จับตามองอยู่ด้านข้างกลับรู้สึกเหมือนว่าแปลกประหลาด คล้ายว่าจี้หยวนซึ่งเนื้อตัวสกปรกมอมแมมเหม็นหึ่งท่าทางโดดเด่น กลับกลายเป็นว่าสองนักพรตหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กดูเหมือนคนตกอับกว่า
เมื่ออาหารที่เหลืออยู่มาส่งพร้อมกัน จี้หยวนสั่งเครื่องเคียงเพิ่มอีกสองจานพร้อมข้าวอีกสามถ้วยใหญ่ ทั้งสามคนพากันเปิดท้อง จัดการอาหารบนโต๊ะไปกว่าครึ่ง
ถึงตอนท้ายศิษย์อาจารย์ต่างดื่มน้ำแกงไก่แก่ตัวเมียครึ่งถ้วยเสร็จก็กินไม่ลงแล้วจริงๆ
เห็นสองศิษย์อาจารย์ลูบท้องทำหน้าพอใจอยู่ตรงนั้น จี้หยวนยิ้มเล็กน้อย
“นักพรตทั้งสองไม่กินแล้วหรือ”
“เอิ้ก… อะ อิ่มแล้ว…”
“กินไม่ลงแล้ว! ท้องป่องแล้ว…”
“ฮ่าๆ เช่นนั้นก็ดี ส่วนที่เหลือข้าคนแซ่จี้เหมาเอง”
จากนั้นจี้หยวนคนเดียวกวาดอาหารเหลือทั้งหมดบนโต๊ะราวพายุหอบเศษเมฆา แม้แต่น้ำแกงไก่ยังไม่เหลือ ศิษย์อาจารย์สองคนเห็นแล้วอึ้งงันอยู่บ้าง
รอจี้หยวนกินผักกาดขาวคำสุดท้ายเสร็จ วางตะเกียบส่งเสียงเรียกไปยังทิศทางหนึ่งภายในร้าน
“เสี่ยวเอ้อร์ คิดเงินทางนี้ด้วย!”
“ขอรับลูกค้า…”
เมื่อได้ยินคำว่าเก็บเงิน ทางร้านย่อมมาอย่างคล่องแคล่วที่สุด ข้าวมื้อหนึ่งกินไปหนึ่งร้อยกว่าอีแปะ หากนับเหรียญทองแดงคงยุ่งยากเกินไป จี้หยวนให้เศษเงินชิ้นหนึ่งไปทั้งอย่างนั้น บอกเสี่ยวเอ้อร์ว่านำไปชั่งน้ำหนักชำระเงินตรงโต๊ะคิดเงิน
เมื่อเห็นว่าจี้หยวนมีเงินจ่ายจริง สองศิษย์อาจารย์ต่างเป่าปากโล่งอก
“คุณชายท่านนี้ ข้าผู้เป็นนักพรตมีแค่หนึ่งสมองสองมือสองขา แต่พอมองเห็นอนาคตซึ่งห่างออกไปได้ ท่านเชิญพวกเรากินข้าวมื้อหนึ่งถือว่าเป็นคนดี ข้าดูดวงให้ท่านดีหรือไม่”
“ดูดวง? น่าสนใจ ท่านนักพรตทำนายแปดอักษร[1]หรือดูโหงวเฮ้งลายมือ”
“มีแปดอักษรย่อมดีที่สุด โหงวเฮ้งลายมือก็ได้”
“ได้ เช่นนั้นลองทำนายแปดอักษรของข้าคนแซ่จี้ก่อน”
จี้หยวนยิ้มบอกวันเกิดแปดอักษรของตนเมื่อชาติก่อน ด้วยเกี่ยวข้องกับอาเขย จี้หยวนจึงรู้แปดอักษรของตนตั้งแต่เด็ก ปีนั้นยามทำนายโชคชะตาบอกแปดอักษรดีที่สุด
หลังจากนักพรตคนนั้นได้ยินแปดอักษรแล้วหรี่ตาคิดคำนวณโดยละเอียด ท่าทางเป็นแบบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานหัวคิ้วของนักพรตชิงซงกลับขมวดขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนท้ายจึงเงยหน้ามองจี้หยวน
“ท่านหลอกข้ากระมัง นี่ใช่แปดอักษรของท่านหรือ”
“แน่นอนว่าใช่!”
จี้หยวนตอบอย่างเป็นธรรมชาติ แปดอักษรชาตินี้เขาไม่รู้ แต่แปดอักษรชาติก่อนยังเป็นของตนกระมัง
“ท่านโกหก! ถ้านี่คือแปดอักษรของท่าน ท่านคงตายมานานแล้ว!”
“อาจารย์!!!”
ศิษย์ด้านข้างร้อนรนมาก แค่ชั่วขณะเหงื่อจากการกินข้าวเมื่อครู่เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย คำพูดล่วงเกินคนอื่นเช่นนี้กลับกล่าวออกมาง่ายๆ
“เอ่อ… อะ อ้อ คือเมื่อครู่ พะ พูดผิด พูดผิดไป… แล้ว…”
คำว่า ‘แล้ว’ ยังกล่าวแค่ครึ่งหนึ่ง นักพรตรู้สึกเวียนหัวตาลาย แน่นหน้าอกหาใดเปรียบ ถึงตอนท้ายจึงทนไม่ไหวจริงๆ
ยามฟ้าดินหมุนเคลื่อน…
พรูด…
เขากระอักเลือดสดคำโตออกมาครึ่งโต๊ะ นักพรตชิงซงหมดสติฟุบลงบนโต๊ะทั้งอย่างนั้น
[1] แปดอักษร หมายถึง การทำนายดวงชะตาโดยใช้ตัวอักษรแทนวัน เดือน ปี เวลาเกิด รวมแปดตัวอักษร