เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 70 หายากนัก
ตอนที่ 70 หายากนัก
วันที่แปดเดือนห้า บนเขาคทาทางตะวันออกเฉียงเหนือของทางเข้าอำเภอจิ่วเต้าโข่ว มีคนผู้หนึ่งถือตำราก้าวเดินบนทางเขา สายตาและการฟังกลับจดจ่อสิ่งโดยรอบ
เขาสวมชุดคลุมยาวแขนกว้างสีเทา บนมวยผมขนาดไม่ใหญ่เหนือศีรษะปักปิ่นไม้ ด้านหลังผมปกคลุมด้านหน้ามีผมปรก แบกห่อผ้าสอดร่มคันหนึ่ง ดูเหมือนก้าวเดินเนิบช้าแต่ความจริงไม่เชื่องช้า
เพื่อป้องกันการหลงทาง สองสามวันนี้ความเร็วในการเดินของจี้หยวนไม่เร็วไม่ช้า มีโอกาสจะถามทาง ทั้งหยุดพักตามแต่ละอำเภอบ้าง รับรู้ธรรมเนียมประเพณีซึ่งยากพบเห็นเมื่อชาติก่อน
ครั้งนี้มาเดินเล่นบนเขาคทานี้เป็นพิเศษแน่นอนว่ามีเป้าหมาย
แม้ว่าเขาคทากว้างใหญ่ไม่เท่าเขาโคเทพ แต่ก็ไม่ถือว่าเล็ก มีรัศมียี่สิบสามสิบลี้ อย่าดูถูกตัวเลขนี้เชียว รัศมียี่สิบสามสิบลี้เท่ากับพื้นที่วงกลมซึ่งมีรัศมีมากกว่าสิบกิโลเมตรขึ้นไป กอปรกับทางภูเขาเดินลำบาก สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่นักเดินเขาการข้ามเขาคทาถือว่าลำบากไม่น้อย
ภายในเขาคทานี้มีสระลึกแห่งหนึ่ง ถึงขั้นถูกคัมภีร์นอกรีตกล่าวถึง หลายปีมานี้ทั่วรัฐจีมีเรื่องถูกเขียนในคัมภีร์นอกรีตไม่กี่เรื่อง จี้หยวนคิดใช้เวลาหนึ่งวันอยู่ริมสระโดยเฉพาะ
ทำอะไรหรือ ตกปลา!
ในคัมภีร์นอกรีตมีคำกล่าวว่า ‘อาณาจักรต้าเจินรัฐจีมีเขาคทา ในป่ามีสระลึก ด้านบนไม่เชื่อมสายน้ำ ด้านล่างไม่ประชิดบ่อบึง ในสระมีปลาอยู่ นั่นคือภูตวารี’
จี้หยวนแค่อยากเห็นว่าปลาชนิดนี้เป็นภูตวารีจริง หรือถูกลมพายุม้วนพัดมา หรือว่าใช่ทั้งสองอย่าง
ยามนี้เดินมาถึงมุมภูเขาลูกหนึ่ง ในที่สุดจี้หยวนก็เจอสิ่งที่ตามหา เขาเก็บตำราพลางยัดเข้าไปในอก จากนั้นค่อยกระโจนตัวพุ่งไปทางป่าเขียวขจีที่ห่างไกล
อาศัยแรงส่งจากต้นไม้สองสามต้นกลางป่าเขา สุดท้ายค่อยโรยตัวลงหน้าป่าไผ่แถบหนึ่ง
เมื่อเห็นไผ่ภายในป่าไผ่แห่งนี้ ส่วนใหญ่เล็กยาวโบกไหวตามลมภูเขา เป็นคันเบ็ดในอุดมคติของจี้หยวน
คว้าไผ่ขนาดพอเหมาะมาท่อนหนึ่ง ค้อมตัวโคจรปราณใช้สองนิ้วดีดตรงรากเบาๆ
เสียงไผ่หักดังกร๊อบ รอยตัดราบเรียบ
เขาเดินกลางป่าพลางใช้มือลิดกิ่งไผ่ดังกรอบแกรบ ไม่นานคันเบ็ดไม้ไผ่เรียวบางเขียวขจีก็ปรากฏอยู่ในมือของจี้หยวน
เขาจับมันเหวี่ยงอยู่ครู่หนึ่ง เกิดเสียงแหวกอากาศดังวู้มๆ ฟังแล้วไพเราะอย่างยิ่ง
“ดูท่าว่าไม่เลว!”
จี้หยวนพอใจกับคันเบ็ดไม้ไผ่มาก
ในห่อผ้ามีเส้นเอ็นกับเบ็ดตกปลาที่ซื้อมา ส่วนเขาไม่จำเป็นต้องใช้ทุ่น
สิ่งที่ทำให้จี้หยวนสงสัยอยู่บ้างคือเส้นเอ็นที่ซื้อมาเป็นเส้นไหมโปร่งแสง ทั้งยังค่อนข้างแข็งแรงด้วย หลังจากถามคนขายจึงรู้ว่าทำจากการสาวไหมเป็นเส้นยาว ทุกเส้นเอ็นล้วนสื่อถึงหนอนไหมน่าสงสารซึ่งสร้างรังไม่สำเร็จหนึ่งตัวหรือสองสามตัว…
รอจี้หยวนมาถึงสระลึก คันเบ็ดเขียวขจีใหม่เอี่ยมก็เสร็จพอดี เขาไม่ต้องการอุปกรณ์เสริมพิเศษ ด้วยทันทีที่มีปลาติดเบ็ด ขอแค่ไม่ตัวใหญ่เกินไป ถึงตอนนั้นค่อยส่งปราณวิญญาณเข้าคันเบ็ดเหวี่ยงขึ้นมา
สระลึกตรงหน้าเป็นทรงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางมากสุดแค่สิบกว่ายี่สิบจั้ง เล็กกว่าที่จี้หยวนคิดไว้มาก เห็นสระเขียวมรกต ตรงส่วนลึกมืดมิดทั้งแถบ มองอะไรไม่เห็น ทั้งไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
“มีปลาหรือไม่เนี่ย”
หลังจากกล่าวพึมพำคราหนึ่ง จี้หยวนหาจุดร่มครึ้มเหมาะสมเหวี่ยงคันเบ็ด เหยื่อตกปลาไม่ใช่ไส้เดือน แต่เป็นข้าวสวยหนึ่งเม็ด แค่ภายในห่อหุ้มปราณวิญญาณเสี้ยวหนึ่ง
เมื่อติดเหยื่อตรงตะขอเล็กเสร็จค่อยเหวี่ยงคันเบ็ด
ไผ่เขียวยืดหยุ่นทว่าเหนียวแน่นสะบัดไปตามแรง
เบ็ดตกปลาทิ้งตัวลงกลางสระดังตุ้บ ก่อเกิดระลอกคลื่นแถบเล็กผืนหนึ่ง
สิ่งที่ใช้ในการตกปลาก็คือความอดทน ด้วยความรู้สึกฉับไวของจี้หยวนตอนนี้ ถ้าเบ็ดตกปลายาวใต้น้ำมีการเคลื่อนไหวประหลาดเสี้ยวหนึ่ง เขาย่อมสัมผัสได้ทันที ไม่ต้องคิดว่าการแบ่งสมาธิจะทำให้ตกพลาด
จี้หยวนจึงหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาอ่าน ครั้งนี้สิ่งที่เขาอ่านคือ ‘กลยุทธ์เจิดจรัส’
แม้เป็นตำราบันทึกสวรรค์เช่นกัน แต่เนื้อหากลับต่างกันโดยสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้จี้หยวนเปิดอ่านโดยคร่าว ทำให้รู้ว่ากลยุทธ์เจิดจรัสเทียบกับคัมภีร์นอกรีตแล้ว ‘จริงจัง’ มากกว่านัก
แม้ว่าไม่ใช่วิชาฝึกเซียนอย่างแท้จริง แต่กลับชี้ให้เห็นถึงความยากและอันตรายของแต่ละด่านฝึกปราณ ผู้แต่งน่าจะรวบรวมความคิดเห็นของผู้ฝึกเซียน บวกกับประสบการณ์พร้อมเนื้อหาการสรุปของตนไม่น้อย ในตำราถึงขั้นครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับมรรคเทพและภูตปีศาจส่วนหนึ่ง
ถ้าใช้คำพูดของจี้หยวนเมื่อชาติก่อนมาอธิบาย คงเป็นตำราสร้างสุขแก่ผู้ฝึกเซียนอย่างแท้จริง
แต่เหตุใดกลยุทธ์เจิดจรัสยังเป็นแค่ ‘ตำรารวม’ ความเห็นของจี้หยวนคือเรื่องสมมติและการคาดเดาของผู้แต่งมากเกินไป สัดส่วนความเป็นจริงต่อเนื้อหาตำราค่อนข้างน้อย เนื้อหาแค่นั้นผู้อ่านตำราลายสวรรค์ได้ใครไม่รู้บ้าง ดังนั้นจึงกลายเป็น ‘ตำรารวม’
ทว่าจี้หยวนต่างออกไป แม้ว่าเนื้อหาน่าเบื่อกว่าคัมภีร์นอกรีตไม่น้อย แต่ร้ายดีอย่างไรก็เป็นความรู้มีประโยชน์ แค่ตามทฤษฎีจี้หยวนยังใช้ความรู้พวกนี้ไม่ได้ชั่วคราว เพราะเขาไม่มีแม้แต่วิชาฝึกปราณ
“ฝึกปราณเพื่อแปรจิต จิตปรากฏวิชาเกิด ล้วนเพื่อวิชากับพลังวิญญาณ… สิ่งที่เรียกว่าด่านเร้นกักจิต… บ้างมีบ้างไร้บ้างสำคัญ…”
‘เฮ้อ… หนทางยังอีกยาวไกล!’
เขาตกปลาพลางอ่านตำรา เฝ้ารอจนผ่านไปหนึ่งชั่วยาม คันเบ็ดของจี้หยวนไม่มีการเคลื่อนไหวสักนิด ทำให้เขาอดยกคันเบ็ดขึ้นมาดูไม่ได้ พบว่าเมล็ดข้าวยังอยู่
‘คัมภีร์นอกรีตหลอกลวง? หรือผ่านมานานปีจนปลาชนิดนี้สูญพันธุ์แล้ว?’
เงยหน้ามองบนฟ้าตะวันยังอยู่สูง
‘หรือต้องรอถึงกลางคืน?’
จี้หยวนไม่ได้ร้อนรน บางทีอาจเริ่มจากตอนอยู่อารามเทพภูเขาที่ทำให้เขามีความอดทนสูงมาก
เขาหยิบขนมเปี๊ยะชิ้นหนึ่งออกมาจากห่อผ้าแล้วกินช้าๆ ขนมเปี๊ยะนี้ซื้อมาจากทางเข้าอำเภอจิ่วเต้าโข่ว ใหญ่ราวสองฝ่ามือต่อกัน ภายในห่อมีทั้งหมดห้าชิ้น ตอนนี้ยังอ่อนนุ่มอยู่ ขนมเปี๊ยะอมหวานด้านในยังมีผักแห้งเป็นไส้บางส่วน รสชาติถูกปากจี้หยวนมาก
เมื่อท้องฟ้ามืดลงทีละน้อย แสงอัสดงตรงขอบฟ้าเผยดวงดาวเหนือศีรษะ ในหูจี้หยวนกลับได้ยินเสียงไม่ธรรมดาเล็กน้อย ไม่ได้มาจากสระลึก หากแต่เป็นกลางป่าเขา
“คิกๆๆ… ข้างหน้าก็คือสระมรกต ในที่สุดก็ถึงแล้ว! เดินเร็วหน่อยๆ!”
“โอ๊ย เจ้ากระปรี้กระเปร่านัก ข้าเหนื่อยจะแย่แล้ว!”
เสียงกังวานทยอยดังมาแต่ไกล เมื่อเสียงเข้ามาใกล้ เสียงฝีเท้าแผ่วเบาระลอกหนึ่งดังเข้าหูจี้หยวน
ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ทั้งสองคนสวมชุดผ้าแพรสีฟ้าอ่อนหมดจด เป็นเด็กท่าทางประมาณสิบสามสิบสี่ปี เดินผ่านเขาหินกระโดดข้ามธารสายเล็กอย่างแคล่วคล่อง เดินผ่านป่าจนมาถึงสถานที่เงียบสงบในเขาคทา
“อ๊ะ ตรงนั้นมีคนด้วย!”
เด็กสาวคนนั้นกล่าวอย่างประหลาดใจ ส่วนเพื่อนร่วมทางเหมือนเพิ่งเห็นจี้หยวนที่อยู่ห่างไป
“จริงด้วย ฟ้าใกล้มืดแล้ว เขากำลังทำอะไร ตกปลา?”
“ดูเหมือนจะใช่! ฮ่าๆๆ… เขาคิดว่าตกได้หรือ!”
“ไปๆๆ หายากนัก พวกเราไปแกล้งเขาหน่อย!”
“คิกๆ!”
ทั้งสองคนผ่อนฝีเท้าแต่ไกล เข้ามาใกล้สระอย่างเงียบเชียบ คล้ายว่าอยากทำให้จี้หยวนตกใจ เมื่อเข้ามาใกล้ประมาณสิบหมี่ ทั้งสองคนสบตากันเผยรอยยิ้ม จากนั้นค่อยใช้มือป้องปากตะโกนอย่างรู้ใจ
“เฮ้ย…”
ภาพคนตกปลาตกใจจนเหวี่ยงคันเบ็ดที่คิดไว้ไม่ปรากฏ จี้หยวนเหมือนคนหูหนวก ถือคันเบ็ดอ่านตำราที่วางอยู่บนเข่า ยังกินขนมเปี๊ยะเป็นระยะๆ
“ไม่ตกใจหรือ”
“หรือเป็นคนหูหนวก?”
“หมดสนุกเลย!”
“เฮ้อ!”
เด็กสองคนเดินเลียบสระไปอย่างเบื่อหน่าย เวลานี้เองเสียงราบเรียบของจี้หยวนพลันดังขึ้นมา
“สนุกหรือไม่?”
ทั้งสองคนซึ่งกำลังก้าวเดินถูกทำให้ตกใจจนตัวสั่นโดยพลัน
“เจ้าไม่ใช่คนหูหนวกหรือ”
“มีอย่างที่ไหน เจ้าถึงกับเขย่าขวัญพวกเราหรือ”
เด็กชายเด็กสาวเหมือนขุ่นเคืองอยู่บ้าง จี้หยวนหันกลับมายิ้มเล็กน้อย
“หายากนักไม่ใช่หรือ!”
เด็กสองคนชะงักเล็กน้อย มองหน้ากันอย่างอึ้งงันอยู่บ้าง