เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 86 เจอหมากดำอีกแล้ว
ตอนที่ 86 เจอหมากดำอีกแล้ว
เห็นของสิ่งนั้นบินหนีไป จี้หยวนกลับไม่รีบร้อนตาม เขาแน่ใจแล้วว่านั่นคืออะไร และมีวิธีการจัดการที่เรียบง่ายและเห็นผลยิ่งกว่าเดิมแล้ว ไม่จำเป็นต้องไล่ตามไปถึงภูเขาในตอนกลางคืน ดูก่อนว่ามีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นกับฟางฉิวหรือไม่
เรือนหลักตระกูลฟางอีกด้านหนึ่ง สองแม่ลูกต่างตกใจตื่นแล้ว
ติงซื่อ มารดาของฟางฉิวเลิกผ้าห่มออก สวมเสื้อนอกรีบร้อนไปยังห้องของบุตรชาย เห็นฟางฉิวนั่งหน้าซีดตัวสั่น หอบหายใจอย่างหนักอยู่บนเตียง
“ฉิวเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นไรกระมัง เจ้าเป็นอะไรไป เสียงเมื่อครู่นี้คืออะไรหรือ”
ติงซื่อมองไปทางซ้ายและขวาด้วยความกังวล ก่อนจะนั่งลงบนเตียงและประคองใบหน้าบุตรชาย พบว่าเขาเหงื่อแตกเต็มหน้า
“ท่าน…แม่…ข้าฝันร้ายอีกแล้ว…ฮู่…”
ฟางฉิวพูดจาไม่รู้เรื่อง เมื่อครู่นี้เดิมทีก็เป็นฝันร้ายแบบเดิม เพียงแต่อยู่ดีๆ ก็เกิดแสงสว่างจ้าในความฝัน มีไฟบรรลัยกัลป์ถาโถมเข้ามา ระหว่างนั้นอสูรกายร่างเน่าเฟะน่ากลัวปรากฏกายขึ้นในความฝัน มันไม่ถูกไฟเผาด้วยซ้ำ
เสียงร้องน่าเวทนาของอสูรกายต่างก็ดังขึ้นทั้งในความฝันและในห้อง ทำให้ฟางฉิวตกใจตื่น
เวลานี้เสียงตื่นตระหนกของจี้หยวนดังขึ้นนอกห้องพร้อมกับเสียงเคาะประตู
ปังๆๆ…ปังๆๆ…
“น้องฟาง พี่สะใภ้ติง เกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าคนแซ่จี้ได้ยินเสียงกรีดร้อง พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
ปังๆๆ…
ได้ยินสัยงมั่นคงและแจ่มใสของจี้หยวนจากนอกห้อง ทั้งสองคนในห้องสบายใจขึ้นบ้าง คนมากเสียงดังมักคลายความหวาดกลัวได้ไม่น้อย
“ท่านแม่ ท่านรีบไปเปิดประตูให้ท่านจี้เถอะ”
ฟางฉิวตั้งสติพูด คราวนี้ติงซื่อถึงลุกขึ้นไปที่โถงหน้า
เมื่อเลื่อนสลักไม้เปิดประตูออก จี้หยวนที่มีสีหน้าตกอกตกใจเช่นเดียวกันยืนอยู่ข้างนอก
“พี่สะใภ้ติง พวกท่านไม่เป็นไรกระมัง”
“ไม่เป็นไรๆ ดูเหมือนฉิวเอ๋อร์จะฝันร้าย”
“อย่างนั้นหรือ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ข้าขอไปดูน้องฟางหน่อย”
พูดจบจี้หยวนก็เข้าไปที่ห้องของฟางฉิวพร้อมกับติงซื่อ
“น้องฟาง เมื่อครู่ฝันร้ายอีกแล้วหรือ”
จี้หยวนพูดพลางดปิดตะบันไฟในห้อง เป่าจนเกิดแสงแล้วจุดตะเกียงน้ำมันทันที
เห็นแสงสว่างแล้ว สีหน้าของฟางฉิวดูดีขึ้นมาก
“ไม่เป็นไร รบกวนท่านจี้พักผ่อนแล้ว เมื่อครู่ข้าตกใจกลัวเพราะฝันร้าย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ตอนนี้ติงซื่อยกน้ำถ้วยหนึ่งส่งให้ฟางฉิว กลับเห็นบุตรชายไม่ได้พกสร้อยประคำ
“ฉิวเอ๋อร์ สร้อยประคำที่แม่ให้เจ้า เหตุใดเจ้าไม่พกไว้”
“อ๊ะ? สร้อยประคำ ข้า…”
จี้หยวนรีบออกหน้าไกล่เกลี่ย
“ต้องหล่นอยู่ที่บ้านน้องติงซิงเป็นแน่”
“ใช่ๆๆ…ต้องอยู่ที่บ้านพี่ใหญ่ติงแน่ๆ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าไม่ได้ทำหาย!”
“จำไว้ว่าพรุ่งนี้ต้องไปนำกลับมา นี่เป็นเครื่องรางคุ้มกันตัวเจ้าเชียว! รู้หรือไม่…”
ติงซื่อบ่นอุบ จี้หยวนที่อยู่ข้างๆ แน่ใจแล้วว่าฟางฉิวไม่ได้เป็นอะไรมาก แม้ไฟชีวิตและลักษณะปราณจะอ่อนกำลัง แต่ก็เป็นเพียงเพราะความตกใจเท่านั้น
…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น จี้หยวนหาข้ออ้างออกไปเดินเล่นตามลำพังหลังอาหารเช้า ครั้นออกจากตระกูลฟางแล้วก็ลอบไปหาติงซิง
ในห้องครัวตระกูลติง ติงซิงที่กำลังกินอาหารเต็มปากฟังคำพูดของจี้หยวนแล้วตกใจอยู่บ้าง
“หลุมศพตระกูลฟาง? ท่านถามถึงเรื่องนี้ทำไม”
จี้หยวนในตอนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเตี้ยของตระกูลติง สีหน้าเรียบนิ่งเผยรอยยิ้มจาง
“หากข้าคนแซ่จี้แค่อยากไปดู น้องติงจะเชื่อหรือไม่”
ติงซิงส่ายหน้า
“ท่านอย่าล้อเล่นเลย ท่านกับตระกูลฟางเพิ่งรู้จักกัน ไม่ถึงกับต้องไปไหว้บรรพบุรุษตระกูลฟางเสียหน่อย”
เนื่องจากความคุ้นเคยเมื่อวานและความเกรงใจต่อผู้มีความรู้ ทุกคนในตอนนี้ล้วนเปลี่ยนวิธีเรียกจี้หยวนกันหมดแล้ว
“น้องติงได้ยินเสียงกรีดร้องทางตระกูลฟางเมื่อคืนกระมัง”
“ใช่ๆๆ กำลังจะถามท่านอยู่พอดี เมื่อคืนทางนั้นเป็นเสียงอะไร ข้ายังคิดว่าเป็นสัตว์ป่า แต่ตอนนี้ดูแล้วจะเป็นเสียงจากตระกูลฟางจริงๆ สินะ”
“ฮ่าๆ ไปเถอะ ถึงเวลาแล้วเจ้าจะรู้เอง”
ถึงจี้หยวนจะไม่พูดมาก ทว่ามีความรู้สึกโน้มน้าวใจคนบางอย่าง ติงซิงทั้งสงสัยและใคร่รู้ รีบกินข้าวให้เสร็จ จากนั้นนำทางจี้หยวนเดินตามทางเล็กๆ ในหมู่บ้านไปยังภูเขาหลังหมู่บ้าน
หนทางไม่นับว่าไกล ทั้งสองคนปีนเขาอยู่ได้ประมาณหนึ่งเค่อก็มองเห็นสุสานปรากฏอยู่รางๆ ส่วนมุมที่ราบลุ่มเล็กๆ มีหลุมศพหลายหลุมของตระกูลฟาง
“ท่านจี้ ถึงแล้ว ซี๊ด…ทำไมเย็นขนาดนี้…”
ติงซิงคว้ามีดตัดฟืนชี้ไปยังกองดินหลายกอง ขณะพูดก็ถูมือไปด้วย
เขาไม่กลัวว่าจี้หยวนจะทำอะไรเสียหาย หนึ่งเพราะเชื่อใจจี้หยวน สองเพราะขาของท่านจี้ผู้มีท่าทางเป็นบัณฑิตแบบนี้น่าจะไม่ได้ใหญ่และหนาเหมือนติงซิง อยากทำลายอะไรก็ต้องผ่านด่านเขาติงซิงไปก่อนอยู่แล้ว
“อืม!”
จี้หยวนเดินเข้าไปใกล้อีกเล็กน้อย สายตากวาดมองหลุมศพสี่หลุมทางนี้ จากนั้นเดินไปยังหน้าหลุมศพหนึ่งที่อยู่ต่ำที่สุดทางตะวันตก แล้วยื่นมือไปลูบฝุ่นดำที่จับตัวกันบางๆ อยู่บนป้ายหลุมศพ
จากนั้นเงยหน้าอ่านป้ายหลุมศพ บนนั้นเขียนว่า ‘หลุมศพของฟางเซิงฮั่นผู้เป็นบิดา บุตรชายฟางฉิวของตั้งป้าย’
“น้องติงยืนไกลหน่อย อย่าให้เปื้อนเปียกเสื้อผ้า”
จี้หยวนเตือน ก่อนจะยื่นมือขวาชี้ไปที่หน้าหลุมศพ หมากลวงตัวหนึ่งปรากฏที่หน้านิ้ว แล้วลากไปข้างหลังครั้งหนึ่ง
ซ่า…
เปื้อนเปียก?
เสียงน้ำระลอกหนึ่งดังขึ้น ติงซิงที่แต่เดิมกังวลอยู่บ้างพลันเห็นน้ำสกปรกไหลออกมาจากในหลุมศพบิดาของฟางฉิว คล้ายกับมังกรน้ำขุ่นๆ ถูกดึงออกมา มันโผล่ขึ้นมาจากพื้นหนึ่งฉื่อแล้วตกลงมาตามทางลาดด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งของภูเขา
รอบข้างเย็นกว่าเดิมอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันกลิ่นเหม็นที่ทำให้ติงซิงยากจะทนได้ก็กระจายออกมา ทำให้เขาแทบจะอาเจียน
โฮก…
เสียงแหบพร่าดังออกมาจากในหลุมศพ ทำเอาติงซิงที่กลัวจนจะรับไม่ไหวอยู่แล้วตัวแข็งทื่อ ร่างกายถอยกรูด เกือบจะสะดุดก้อนหินบนพื้นล้มลง
“ทะ ท่านจี้…!”
“ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ด้วยไม่เป็นไร!”
มือขวาจี้หยวนวาดวาดภาพลวง ดึงน้ำสกปรกออกมาทั้งหมด จากนั้นมือซ้ายหนีบไส้ตะเกียงที่กำลังติดไฟคล้ายกับเด็ดดอกไม้ บนนั้นทาน้ำมันตะเกียงไว้ชั้นหนึ่ง เขายกมันไว้ตรงหน้า โคจรวิชาแล้วอ้าปากเป่าเบาๆ ครั้งหนึ่ง
ไส้ตะเกียงมีเปลวไฟมั่นคงไม่ยอมดับ มันบินตามลมเข้าไปในหลุมศพจากรูที่น้ำทะลักออกมา
ซู่…
ไฟข้างในลุกพรึ่บ เปลวไฟลอดออกจากปากรูหลุมศพรางๆ
โฮก…อ๊าก…
เสียงคำรามน่ากลัวในหลุมศพเปลี่ยนจากแหบพร่าเป็นแหลมสูง ติงซิงที่หน้าซีดมือเท้าแข็งทื่ออดไม่ได้ที่จะปิดหู
หลังจากนั้นประมาณสิบกว่าลมหายใจ ความเคลื่อนไหวทุกอย่างก็สงบลง
จี้หยวนถอนใจเสียงหนึ่ง เป็นเงาศพจริงด้วย มีคัมภีร์นอกรีตกล่าวไว้ว่า ‘เงาศพมีทั้งจริงและปลอม มีทั้งเป็นภูตผีปีศาจจากในป่า คอยทำร้ายลูกหลาน…’
“ฝุ่นเป็นเพียงฝุ่น ดินเป็นเพียงดิน เอาล่ะน้องติง พวกเราไปกันเถอะ หลังจากนี้เจ้าเตือนให้น้องฟางฉิวมาเคารพหลุมศพบิดา เปลี่ยนตำแหน่งหลุมศพให้หันหน้าไปทางตะวันออกและอยู่สูงกว่านี้ แน่นอนว่าไม่เปลี่ยนก็ไม่เป็นไร จริงสิ เจ้าอย่าลืมบอกเขาเรื่องนี้ด้วยนะ”
“ไอ้หยา…จำไว้แล้วๆ ท่านรอข้าด้วย รอข้าก่อน…!”
ตอนนี้ติงซิงเท้าปวกเปียกอยู่บ้าง รีบตามจี้หยวนที่เร่งฝีเท้าจากไปแล้ว ด้วยกลัวว่าจะถูกทิ้งให้อยู่ที่นี่
จี้หยวนเดินอยู่ข้างหน้า ติงซิงตามหลังไม่ขาดช่วง ฝ่ายหลังยังคงขวัญหนีดีฝ่อ ส่วนฝ่ายแรกยังคงสงสัย หมากลวงไร้สีที่แต่เดิมอยู่ในแขนเสื้อกลายเป็นหมากลวงสีดำแล้ว
‘เปลี่ยนเป็นสีดำแล้วหรือนี่’
…
สำหรับจี้หยวนเรื่องนี้จบลงแล้ว ย่อมบอกลาทั้งสี่ครอบครัวที่คุ้นเคยกัน ทั้งสี่ครอบครัวไม่ได้รู้สึกว่ากะทันหันแต่อย่างใด ถึงอย่างไรจี้หยวนก็จะเดินทางไปยังอำเภอชิงสุ่ยอยู่แล้ว
ทุกคนมีน้ำใจงาม พาจี้หยวนไปส่งตรงทางแยกก่อนหน้านี้โดยเฉพาะ ติงซิงยิ่งยืนกรานมอบขากระต่ายหมักซีอิ๊วห่อด้วยใบไผ่ให้จี้หยวนด้วย
“เอาล่ะ ทุกท่านส่งข้าถึงตรงนี้เถอะ ส่วนน้องฟาง เจ้าไปสักการะวัดภูผาหมอบด้วยนะ แล้วค่อยไปจุดธูปที่ศาลเจ้าที่ เชื่อว่าอาการฝันร้ายจะดีขึ้นมาก”
“ตกลง ล้วนเชื่อฟังท่าน!”
ฟางฉิวยิ้มตอบ คิดว่าจี้หยวนจะเตือนให้เขารีบไปซื้อสร้อยประคำเส้นใหม่
“เช่นนั้นไว้วันหน้าค่อยพบกันใหม่!”
จี้หยวนประสานมือให้สี่ครอบครัวอย่างตั้งใจ ทำเอาพวกเขารีบประสานมือให้ด้วยมาตรฐานเดียวกัน พร้อมทั้งพูดให้จี้หยวน ‘รักษาตัว’ และ ‘เดินทางราบรื่น’ อะไรทำนองนี้
ขณะมองเงาหลังจี้หยวนจากไปไกล ติงซิงมองฟางฉิว พลันพูดขึ้นว่า
“ฟางฉิว เจ้าเขกศีรษะท่านจี้ไปสองครั้งกระมัง!”
“เอ๋?”
ฟางฉิวงุนงง
“เขกศีรษะ? ทำไมกัน”
ท่านจี้เป็นคนดี ความรู้สูงส่ง ต้องไม่ยอมให้เขาเขกศีรษะเป็นแน่ อีกทั้งท่านจี้ก็ไม่ได้ทำอะไรเสียมารยาทด้วย
“ไม่มีอะไรๆ…”
ติงซิงพูดอย่างขอไปที ลอบตัดสินใจว่าอีกสักพักรอทุกคนไปแล้วค่อยตามท่านจี้ไป คิดได้แบบนี้แล้วก็รู้สึกตื่นเต้นมากจริงๆ
เพียงแต่ตอนติงซิงแอบตามออกจากหมู่บ้านไป ทั้งเดินทั้งวิ่งอยู่หนึ่งชั่วยามเต็มๆ ก็ยังคงตามเงาร่างของจี้หยวนไม่ทัน ยามมาตื่นเต้นยิ่งนัก ยามกลับมีแต่ความเสียดาย