เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 92 ตำรากระดาษเหลือง
ตอนที่ 92 ตำรากระดาษเหลือง
จี้หยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานที่หน้าโถงย่อมได้รับอาหารเร็วที่สุด อาหารร้อนๆ ควันฉุยหลากรสชาติชามแล้วชามเล่าถูกยกมาด้วยผู้ช่วยในครัวซึ่งคล่องแคล่วแข็งแรง ตอนมีอาหารที่ไม่รู้จักก็มีชายชราตระกูลจ้าวข้างๆ คอยแนะนำให้จี้หยวน
“นี่คือปลาจวดย่าง…นี่คือหมูสามชั้น หอมอร่อยมาก…นี่คือน้ำแกงกระดูกแพะ…”
บนโต๊ะตัวนี้มีเจ้าบ่าวและญาติของทั้งสองฝ่าย และยังมีผู้อาวุโสที่สนิทสนมกันด้วย แต่ไม่มีใครคัดค้านการปฏิบัติต่อจี้หยวนอย่างแขกผู้มีเกียรติ ต่างคนต่างก็คิดว่าคู่แต่งงานใหม่จะได้ ‘ความฉลาดปราดเปรื่อง’ จากปัญญาชนบ้าง ลูกจะได้มีแนวโน้มที่ดีในอนาคน
ขณะที่แสดงความยินดีและสังสรรค์ จี้หยวนก้มหน้ามองตัวหมากในแขนเสื้อ สีของตัวหมากเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้ว นอกจากรอยยิ้มที่ฉายชัด งานเลี้ยงมงคลนี้ยิ่งมีความสุขกันทั้งแขกและเจ้าภาพ
ถ้วยสุราวางอยู่เต็มแน่น ทุกคนเริ่มขยับตะเกียบกินอาหารทันที
งานเลี้ยงมงคลของหมู่บ้านย่อมไม่มีพ่อครัวเก่งกาจเช่นในจังหวัด แต่กลับมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะกินพร้อมกับบรรยากาศดีๆ บวกกับเป็นช่วงเย็นย่ำของวันที่ร้อนที่สุดในฤดูร้อน ทุกคนจึงเหงื่อแตกเต็มหน้ากันหมดแล้ว
ในที่สุดตอนนี้จี้หยวนก็รู้ว่าผ้าขนหนูหมาดๆ ที่พาดอยู่บนคอของคนส่วนใหญ่มีไว้ทำอะไร โต๊ะที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยมีคนถอดเสื้อแล้ว
เจ้าบ่าวรับสุราอวยพรโต๊แล้วโต๊ะเล่า ส่วนเจ้าสาวรออยู่ในห้องหอเพียงลำพัง…
หลังจากรับสุราอวยพรครบแล้ว เขากลับไปรับสุราอวยพรจากพ่อตาแม่ยายและผู้อาวุโสตรงที่นั่งประธาน เจ้าบ่าวดื่มสุราจนหน้าแดงไปหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่ลืมมารับสุราอวยพรข้างๆ จี้หยวนด้วย
“ท่านจี้ งานมงคลวันนี้ขอบคุณท่านที่เขียนกลอนมงคลให้ นั่นเป็นกลอนมงคลระดับสุดยอดอย่างแท้จริง ข้าขอดื่มให้ท่านหนึ่งถ้วย!”
ดูจากคำพูดของเขาก็ชัดจนแล้วว่าน่าจะยังไม่เมาแอ๋ เมื่อดื่มสุราถ้วยนี้เสร็จก็ต้องเข้าห้องหอแล้ว
จี้หยวนลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้มกว้างเป็นพิเศษ ยกถ้วยสุราขึ้นอวยพรกลับ
“ขอให้มีบุตรชายโดยเร็ว!”
เมื่อดื่มสุราถ้วยนี้แล้ว เจ้าบ่าวเดินไปยังในเรือนด้วยฝีเท้าที่นับว่ามั่นคงท่ามกลางเสียงโห่ร้อง จี้หยวนมองร่างกายที่ค่อนข้างแข็งแรงของเจ้าบ่าว เขาน่าจะควบคุมภรรยาที่ทำไร่ทำนาได้ดีกว่าบุรุษคนหนึ่งได้กระมัง
…
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง งานเลี้ยงมงคลดำเนินมาพอสมควรแล้วเหมือนกัน
แม้จะเป็นวันที่ร้อนที่สุดในหนึ่งปี และที่นี่ไม่มีตู้เย็น แต่ไม่ต้องกังวลว่าอาหารที่เหลือจะเน่าเสีย เพราะชาวบ้านกินดุมากจริงๆ จี้หยวนไม่เห็นจานไหนหลงเหลืออาหาร น้ำผลไม้บางโต๊ะก็หมดเกลี้ยงแล้วด้วย
นอกจากผู้ช่วยพ่อครัวช่วยเก็บกวาดแล้ว ญาติและเพื่อนๆ ต่างก็ลูบท้องพากันแยกย้ายไปพร้อมใบหน้าพึงพอใจ ส่วนจี้หยวนตามหนึ่งในชายหนุ่มที่แบกสุรากลับมานามจ้าวตงเลี่ยงไปยังห้องพักแขก
บ้านนี้อยู่ใกล้กับหน้าหมู่บ้าน จึงเตรียมเรือนพักแขกในลานบ้านขนาดเล็กให้จี้หยวน มีเตียง เก้าอี้ และผ้าห่ม
กินอิ่มดื่มพอ แต่เพราะอากาศค่อนข้างร้อน ถึงแม้ฟ้ามืดแล้ว ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ยังไม่นอนหลับ หลายคนตากลมอยู่นอกเรือน รอความร้อนภายในเรือนหมดไปก่อนค่อยนอนหลับ
จี้หยวนก็ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมานั่งข้างๆ กำแพงลานบ้านเหมือนกัน มองเห็นเรือนหลักเล็กหน้าแปลกตาอยู่ฝั่งซ้ายมือไกลๆ เหนือเรือนมีจุดไฟอยู่สามดวง
ตอนมาไม่ได้สังเกต ตอนนี้มองดูแล้วน่าจะเป็นศาลขนาดเล็ก สูงไม่ถึงครึ่งตัวคน อาจจะเป็นศาลเทพเจ้าที่ในหมู่บ้านก็เป็นได้
อากาศร้อนอยู่บ้างจริงๆ จี้หยวนไม่มีพัด จึงใช้มือขวาคว้าแขนเสื้อขึ้นมาพัดลมสองครั้ง จ้าวตงเลี่ยงทางนั้นเห็นจี้หยวนออกมา พลันยกเก้าอี้ตัวเล็กออกมานั่งบ้าง ใช้พัดผูซ่านพัดลมให้จี้หยวนอย่างขยันขันแข็ง
“ท่านจี้ ที่ท่านสะพายอยู่ข้างหลังคืออะไรหรือ เหตุใดไม่วางไว้ในเรือน พันผ้าเอาไว้เช่นนั้นร้อนมากแน่!”
จ้าวตงเลี่ยงสวมเสื้อไม่มีแขนยังเหงื่อออก แค่มองท่านจี้สวมเสื้อแขนกว้างกับชุดคลุมก็รู้สึกร้อนแล้ว แถมยังผูกของที่ไม่รู้ว่าเป็นกระบองหรืออะไรเอาไว้ด้วย แล้วจะยังระบายอากาศได้หรือ
“อ้อ นี่คือกระบี่เล่มหนึ่ง ลืมปลดมันออกเลย!”
ความจริงแล้วเป็นเพราะตอนที่เครือเขียวยังไม่แข็งแรงต้องอาศัยปราณวิญญาณหล่อเลี้ยงอยู่เรื่อยๆ จึงไม่สะดวกให้กระบี่เครือเขียวอยู่ห่างตัวในตอนนี้
“กระบี่!”
จ้าวตงเลี่ยงตาเป็นประกาย
“ท่านจี้เป็นวิชายุทธ์หรือไม่ ชนิดที่บินข้ามหลังคาหรือเดินบนกำแพง มิน่าเล่าถึงกล้าเดินทางไกลคนเดียวเช่นนี้!”
“ฮ่าๆ นับว่าเป็นวิชายุทธ์กระมัง ออกมาข้างนอกต้องมีวิชาป้องกันตัวบ้าง!”
จ้าวตงเลี่ยงฟังแล้วยิ่งตื่นเต้น
“ท่านจี้ให้ข้าดูกระบี่ของท่านหน่อยได้หรือไม่ ครั้งก่อนกลับอำเภอได้เห็นกระบี่ยาวห้อยดอกไม้ในร้านค้า มันงดงามทีเดียว!”
จี้หยวนยิ้ม
“ดูหน่อยไม่เป็นไรหรอก แต่เจ้าอาจจะผิดหวังก็ได้”
พูดจบแล้วเขาก็ปลดปมผ้าออก นำกระบี่เครือเขียวที่พันผ้าไว้วางลงบนหัวเข่า แล้วเปิดผ้าออกเผยให้เห็นตัวกระบี่ที่อยู่ข้างใน
กระบี่เครือเขียวยาวสามฉื่อหกชุ่น กว้างหนึ่งชุ่นแปดส่วน จากปลายกระบี่ถึงหางกระบี่ชัดเจนว่าเป็นเส้นตรง ไม่มีรอยบุ๋มตรงหน้าด้ามกระบี่ ตรงหางไม่ได้ห้อยเครื่องประดับ ตั้งแต่หัวจนถึงหางของด้ามพันไว้ด้วยเครือเขียวสีเดียวกับมรกต เรียบง่ายทว่าสง่างาม แน่นอนว่ารอยบนตัวกระบี่ยังคงอยู่
“อา…กระบี่นี้ของท่านจี้ไม่ได้งดงามเหมือนกระบี่เล่มที่ข้าเห็นในอำเภอ แม้แต่ฝักกระบี่ก็ไม่มี อีกทั้งขึ้นสนิมจนมีสภาพเช่นนี้แล้ว…”
จ้าวตงเลี่ยงผิดหวังอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด
“ฮ่าๆๆๆ…บอกแล้วว่าเจ้าจะผิดหวัง แต่คำพูดนี้พูดออกมาแล้วไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ข้าไม่เป็นไรหรอก แต่มันจะไม่พอใจเอาน่ะสิ!”
จี้หยวนพูดพร้อมรอยยิ้มพลางชี้กระบี่ มือซ้ายกดลงบนตัวกระบี่ไม่ให้มันกรีดร้อง
จ้าวตงเลี่ยงคิดว่าจี้หยวนไม่พอใจคำพูดเมื่อครู่นี้ จึงเกาศีรษะหัวเราะเบาๆ “ท่านจี้อย่าเก็บมาใส่ใจเลย ความจริงแล้วกระบี่เล่มนี้ของท่านน่ามองทีเดียว”
จี้หยวนยิ้มทว่าไม่พูดจา เงยหน้ามองดวงดาวเต็มท้องฟ้า
“ท่านจี้เล่าเรื่องข้างนอกให้ข้าฟังที รวมถึงเรื่องในยุทธภพด้วย มันสุดยอดมากเลยใช่หรือไม่”
“อืม…อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็อาจจะไม่ได้ดีปานนั้น!”
คุยกันไปเรื่อยเปื่อย ส่วนใหญ่จ้าวตงเลี่ยงเป็นฝ่ายถาม จี้หยวนเลือกตอบ เล่าเรื่องปลาชิงฮื้อในแม่น้ำวสันต์ช่วยคนบ้าง พูดถึงเต่าเฒ่านอกจังหวัดชุนฮุ่ยขอสุราบ้าง และพูดถึงมังกรเจียวเฒ่าโปรยฝนเพื่อคุ้มครองให้ฝั่งหนึ่งมีอากาศดีด้วย ส่วนจ้าวตงเลี่ยงฟังอย่างจริงจังเหมือนกับเด็กคนหนึ่ง
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ชาวบ้านที่ตากลมพอแล้วส่วนใหญ่ทยอยยกเก้าอี้กลับเข้าเรือน แม้จ้าวตงเลี่ยงยังอยากพูดคุยกับจี้หยวนอีก แต่คิดได้ว่าพรุ่งนี้ยังต้องทำไร่ทำนาก็รีบไปนอนเหมือนกัน นอกเรือนทางนี้จึงเหลือเพียงจี้หยวนคนเดียว
ในศาลเทพเจ้าที่ซึ่งห่างออกไปเล็กน้อย หมอกควันสายหนึ่งปรากฏออกมา ชายชราหลังค่อมผู้หนึ่งเดินมาทางนี้ เมื่อหยุดยืนห่างไปเพียงสองจั้งแล้วถึงประสานมือให้จี้หยวน
“ยากนักจะมีเซียนมาเยี่ยมเยี่ยนที่นี่ ข้าน้อยเทพเจ้าที่จึงตั้งใจมาทักทาย!”
“ข้าไม่ใช่เซียนหรอก! ต้องขอบคุณคนในหมู่บ้านนี้ที่เชิญข้าเป็นแขก แถมยังให้ดื่มสุรามงคลถ้วยหนึ่งด้วย”
จี้หยวนรีบลุกขึ้นยืนประสานมือกลับ เห็นศาลเทพเจ้าที่มืดสนิด คิดว่าเป็นศาลว่างๆ ที่ไม่มีอะไรอยู่ด้วยซ้ำ ไม่คิดเลยว่าจะมีเทพตัวจริงอยู่ด้วย ทว่าวิญญาณเทพภูผาวารีชอบเร้นกายเป็นที่สุด ไม่พบเห็นจึงเป็นเรื่องปกติ กระนั้นนี่ไม่เหมือนคนฝึกปราณจริงๆ จนกลายเป็นเทพ แต่เหมือนผีฝึกปราณจนกลายเป็นเทพมากกว่า
ชายชรามองกระบี่ครามเขียวบนหัวเข่าจี้หยวน ก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง
“ไม่ทราบว่าแดนเซียนของท่านอยู่ที่ใด”
“ไม่มีแดนเซียนอะไร ข้าเดินไปเรื่อยเปื่อย แต่ท่านเทพเจ้าที่คงจะเป็นคนท้องถิ่นกระมัง”
ชายชรานั่งลงบนหินโม่ข้างๆ พยักหน้าเป็นคำตอบ
“ใช่ ชาติก่อนข้าเป็นผู้นำตระกูลจ้าว ไม่รู้เหมือนกันว่าเริ่มมีคนกราบไว้เป็นเทพเจ้าที่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็ผ่านมาเกือบสามร้อยปีแล้วกระมัง พื้นที่ที่ดูแลอยู่ใกล้ๆ กับบ้านตระกูลจ้าว เมื่อในหมู่บ้านมีคนตาย หากมีบุญคุ้มครองให้วิญญาณไม่แตกซ่าน บางครั้งจะไปศาลมืดข้างหน้ากับทูตดึงวิญญาณ”
สามร้อยปี? นานถึงเพียงนั้นเชียว!
ทว่าน่าจะเป็นเพราะพื้นที่ดูแลจำกัด หลายปีผ่านไปเช่นนี้แม้จะสำเร็จเป็นเทพตัวจริง แต่ก็ไม่มีกำยานและพลังมากเท่าไหร่
“ไม่ทราบว่าท่านเทพเจ้าที่ปรากฏกายมีธุระอันใด”
เทพเจ้าที่ชราผู้นี้น่าสนใจทีเดียว ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาด้วย
“ผู้ฝึกเซียนมีให้เห็นน้อยนัก จึงอยากออกมาดูสักหน่อย!”
จี้หยวนพลันหลุดหัวเราะ ที่แท้ก็เป็นถ้ำมองนี่เอง
“เช่นนั้นต้องทำให้ท่านเทพเจ้าที่ผิดหวังเป็นแน่ ข้าเป็นเพียงผู้ฝึกปราณทั่วไป ไม่ใช่ท่านเซียนเช่นที่ท่านว่า”
“ท่านถ่อมตัวเกินไปแล้ว ดีกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ไม่น้อย!”
มีส่วนของคำชม แต่ท่านเทพเจ้าที่นับว่าพูดออกมาจากใจจริง เมื่อพูดจบแล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบกระดาษสีเหลืองแปลกๆ ที่พับเอาไว้ออกมาจากในอกเสื้อ
“ไม่ทราบว่าท่านช่วยข้าอ่านตัวหนังสือบนนั้นได้หรือไม่ บนนั้นน่าจะมีตัวหนังสืออยู่ เพียงแต่พลังของข้าน้อยนัก อ่านไม่เห็น!”
ดูท่าไม่ใช่แค่อยากรู้อยากเห็นแล้ว แต่ยังมีธุระจริงๆ ด้วย จี้หยวนไม่ได้ปฏิเสธ ลองดูสักหน่อยได้
“ได้ ข้าขออ่านหน่อย!”
เมื่อกางกระดาษสีเหลืองที่รับมาจากเทพเจ้าที่ เขาตั้งใจมองดูอย่างดี บนนั้นมีรอยน้ำหมึกปรากฏอยู่
‘บันทึกรัชสมัยเจิ้งเต๋อ’
“ตำราบันทึกสวรรค์หรือนี่!”