เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 135 ตลาดแห่งนี้มีแต่พ่อค้าหัวใสทั้งนั้น
บทที่ 135 ตลาดแห่งนี้มีแต่พ่อค้าหัวใสทั้งนั้น
“ให้จ่ายเงินสดหรือโอนในมือถือดีครับ?”
ซููเย่ถามพร้อมกับแอดเพื่อนชายชราในแอปวีแชท
“โอนมาเลยดีกว่า”
ชายชราฉีกยิ้ม ก่อนจะยื่นส่งโทรศัพท์ในมือมาให้ซููเย่ ขณะนี้บนหน้าจอกำลังแสดงคิวอาร์โค้ดสำหรับให้ชายหนุ่มสแกนจ่ายเงิน
ซููเย่สแกนและโอนเงินโดยไม่ลังเล
“เรียบร้อยครับ”
ซื้อเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ?
ยังไม่ทันที่หลี่เคอหมิงจะได้ออกปากห้ามปราม ซููเย่ก็โอนเงินเสร็จเรียบร้อยเสียแล้ว
จ่ายเงิน 20,000 หยวนเพื่อซื้อต้นเบญจมาศกระถางเดียวเนี่ยนะ?
หลี่เคอหมิงไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
เถ้าแก่เจ้าของแผงดึงโทรศัพท์กลับไปดูด้วยความพอใจ แววตาของเขายามจ้องมองซููเย่เป็นประกายวูบวาบมากกว่าเดิม
“ดูเหมือนคุณจะมีความรู้มากกว่าคนทั่วไปจริง ๆ !” พูดจบ ชายชราก็ส่งโลเคชั่นมาให้ซููเย่
ซููเย่เปิดดูโลเคชั่นนั้น และพบว่ามันเป็นตำแหน่งที่อยู่บริเวณหุบเขาใกล้เคียงนี่เอง
“ไม่ไกลจากเมืองจี้หยางเท่าไหร่ วันไหนว่างคงต้องลองไปสำรวจดูสักที”
ซููเย่คิด หยิบกระถางดอกไม้ขึ้นมาถือ ถามต่อด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “ว่าแต่ทำไมเถ้าแก่ถึงไม่เก็บเบญจมาศกระถางนี้เอาไว้เองล่ะครับ?”
“คุณก็เห็นนะว่าฉันอายุปูนนี้แล้ว เก็บเอาไว้จะมีประโยชน์อะไร สู้เปลี่ยนเป็นเงินมาใช้จ่ายไม่ดีกว่าหรือ?” ชายชราตอบกลับพร้อมยิ้มแฉ่ง
“จริงด้วยสินะ”
ซููเย่พยักหน้าด้วยความเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เถ้าแก่อายุยืนหมื่นปีเลยนะครับ”
ชายชราขึงตามองหน้าซููเย่ ก่อนพูดด้วยความไม่สบอารมณ์ “ตอนนี้ไม่กี่ปีฉันก็จะถึงร้อยแล้ว มีอายุยืนแต่ต้องออกมาหาเงินง่ก ๆ ทุกวัน ยังจะอายุยืนเพื่ออะไรอีก ถ้าจะอวยพรฉันนะ คุณขอให้ฉันกลายเป็นมหาเศรษฐีดีกว่า”
ซููเย่เม้มริมฝีปาก ชูกำปั้นให้กำลังใจฝ่ายตรงข้าม จากนั้นจึงได้หมุนตัวเดินออกมาพร้อมกับหลี่เคอหมิง
เมื่อเดินออกมาแล้ว หลี่เคอหมิงก็จ้องมองกระถางเบญจมาศที่อยู่ในมือซููเย่ตลอดเวลา และสุดท้ายเขาก็ต้องถามออกมาเพราะทนสงสัยไม่ไหว “ทำไมเธอต้องจ่ายแพงขนาดนี้ เพื่อซื้อเบญจมาศกระถางนี้ด้วยล่ะ?”
“พอดีญาติผู้ใหญ่ของผมชอบดอกเบญจมาศน่ะครับ ต้นที่สมบูรณ์แบบนี้หายากมาก ผมถือว่าซื้อเอาไปเป็นของฝากญาติผู้ใหญ่ท่านนั้น ไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องราคาหรอกครับ”
ซููเย่ตอบ
“พ่อแม่ของเธอคงรวยมากเลยสินะ”
หลี่เคอหมิงตวัดสายตาขึ้นมามองหน้าซููเย่ด้วยความสงสัย “หรือเธอจะเป็นทายาทจากตระกูลใหญ่ เป็นพวกลูกคุณหนูปลอมตัวมาอะไรทำนองนั้น?”
ซููเย่ส่ายหน้าตอบกลับไปและยิ้มด้วยความขบขัน
“ไม่ใช่ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ใช้เงินให้มันระวัง ๆ หน่อยสิ”
“เข้าใจแล้วครับอาจารย์”
หลี่เคอหมิงพาซููเย่มาที่หนึ่งในแผงขายสมุนไพรแผงใหญ่ที่สุดในตลาด ร้านนี้มีสมุนไพรจำนวนมากมายหลากหลายคุณภาพ และหน้ากระบะไม้ที่ตั้งอยู่บนแผง ก็มีแผ่นกระดาษติดเอาไว้สำหรับแจ้งว่าด้านในกระบะนั้นมีสมุนไพรชนิดไหนอยู่บ้าง
“ชวนป๋วย”
“ลีลาวดี”
“ย่านพาโหม”
ซููเย่มองดูสมุนไพรเหล่านี้ไม่ต่างจากมองเมล็ดแตงโมสำหรับทานเล่น
เขาเริ่มตรวจสอบสมุนไพรด้วยห้าวิธีที่หลี่เคอหมิงสอนไว้ก่อนหน้านี้…
หลี่เคอหมิงหยิบสมุนไพรที่มีขนาดเท่าเม็ดถั่วขึ้นมาจากกองสมุนไพรเล็ก ๆ ซึ่งปักป้ายเขียนว่า ชวนป๋วย และหันมาพูดกับซููเย่
“ลูกชวนป๋วยที่ดี ต้องไม่มีจุดขาวขึ้นแซม ผลกลมเกลี้ยง ไม่มีเส้นดำตัดผ่าน ใบและดอกมีความสูงกับความกว้างเสมอกัน เมื่อถืออยู่ในมือ มันจะมีลักษณะเหมือนกับดวงจันทร์เต็มดวง”
หลังจากนั้น อาจารย์แพทย์แผนจีนก็ชูลูกชวนป๋วยที่ถืออยู่ในมือให้ชายหนุ่มดู “คราวนี้เธอลองดูนี่ แล้วบอกฉันได้ไหมว่าลูกชวนป๋วยลูกนี้ แตกต่างจากสิ่งที่ฉันอธิบายยังไงบ้าง? ”
ซููเย่รับผลสมุนไพรนั้นไปดูและพบว่ามันมีความแตกต่างจริง ๆ
“ลูกชวนป๋วยผลนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับความเป็นดวงจันทร์เต็มดวงเลยสักนิด กลีบดอกของมันมีขนาดเล็กเกินไป ความกว้างไม่สมดุลกับความสูง และบนตัวผล ก็ยังมีเส้นสีดำพาดผ่านด้วยครับ”
“ถูกต้อง!”
หลี่เคอหมิงพยักหน้า ถอนหายใจและกล่าวต่อ “ถึงป้ายจะเขียนเอาไว้ว่าเป็นผลชวนป๋วย แต่ความจริงแล้ว นี่คือผลผิงเป่ยต่างหาก”
ได้ยินดังนั้น
เจ้าของแผงขายสมุนไพรที่ตอนแรกยืนปั้นหน้ายิ้มแย้มมาบัดนี้สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?” เจ้าของร้านถาม น้ำเสียงเย็นชา
ซููเย่ควักเงินออกมาให้ 200 หยวนและบอกว่า “ผมเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง ส่วนคุณลุงคนนี้เป็นอาจารย์ของผมเอง ผมมาที่ตลาดเพื่ออยากจะทดสอบการระบุชนิดสมุนไพรของตัวเองน่ะครับ ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้คุณไม่พอใจ ต้องขออภัยด้วย…”
เจ้าของร้านรีบรับเงินไปอย่างรวดเร็ว
สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปอีกแล้วเช่นกัน
รอยยิ้มกลับมาปรากฏอยู่บนริมฝีปาก ก่อนพูดว่า “ถ้าไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดกับใคร อยากตรวจสอบสมุนไพรชนิดไหนก็ตามสบาย เดี๋ยวนี้หายากนะที่จะมีอาจารย์ใส่ใจลูกศิษย์ถึงขนาดนี้ นายเองก็ตั้งใจเรียนให้ดีล่ะ พอเรียนจบแล้ว อย่าไปทำตัวเป็นหมอสมุนไพรหลอกเงินชาวบ้านเด็ดขาดเชียวนะ”
ซููเย่พูดอะไรไม่ออก
เจ้าของแผงสมุนไพรแผงนี้ขายสินค้าไม่ตรงปก แล้วยังจะมีหน้ามาสั่งสอนเขาอีกหรือ?
หลี่เคอหมิงถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนเริ่มตรวจสอบสมุนไพรบนแผงทุกชนิดอย่างเชื่องช้า
ซููเย่สามารถตรวจสอบสมุนไพรได้อย่างดีเยี่ยม
จังหวะที่ลูกศิษย์และอาจารย์กำลังจะเดินออกมาจากแผงขายสมุนไพรเจ้าปัญหานั้น ผู้เป็นเจ้าของร้านก็ได้ควักนามบัตรออกมาสองใบ ยื่นส่งให้ซููเย่กับหลี่เคอหมิงด้วยความเคารพ
“ความจริงวันนี้ผมเองก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย”
“ถ้ามีโอกาสดีในอนาคต ผมอยากจะติดต่อกับพวกคุณอีก ผมมีเส้นสายสำหรับซื้อสมุนไพรดี ๆ ที่คนอื่นไม่มีทางรู้เด็ดขาด ส่วนแผงขายสมุนไพรแผงนี้ ผมแค่เปิดขายเล่น ๆ ฆ่าเวลาเท่านั้น”
ซููเย่กับหลี่เคอหมิงรับนามบัตรมาเก็บไว้เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
ต่อจากนั้น พวกเขาก็เดินไปหยุดยืนอยู่ที่แผงขายสมุนไพรอีกแผงหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร
“ดูสิ นี่แหละลูกชวนป๋วยของจริง”
หลี่เคอหมิงหยิบผลสมุนไพรทรงกลมที่มีลักษณะเหมือนกับลูกผิงเป่ยขึ้นมาจากแผง
ซููเย่สังเกตดูอย่างละเอียด ทบทวนตำหนิและจุดสังเกตที่หลี่เคอหมิงสอนไว้ก่อนหน้านี้ แล้วเขาก็ต้องพยักหน้าด้วยความเข้าใจทันที
“ดูเหมือนร้านนี้จะขายของแท้หมดเลย ดูนี่…”
หลี่เคอหมิงเริ่มต้นอธิบายสมุนไพรแต่ละชนิดด้วยความตื่นเต้น
เจ้าของร้านยืนกอดอกรับฟัง สีหน้าถมึงทึง
ตอนแรกเขานึกว่าลูกค้าคู่นี้มาเพื่อหาเรื่อง แต่พอรับฟังไปได้หลายประโยค จึงได้ยินชายหนุ่มและชายวัยกลางคนทั้งสองพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สมุนไพรที่เขาขายนั้นคือของแท้และมีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก
แสดงว่าลูกค้าทั้งสองท่านนี้ต้องเป็นบุคลากรในวงการแพทย์แผนจีนแน่ ๆ
ดังนั้น ชายหนุ่มเจ้าของร้านจึงยิ้มออกมาด้วยความกระตือรือร้น
“ลูกค้าทั้งสองท่าน ไม่ทราบว่ามาจากไหนกันหรือครับ?” เจ้าของร้านเอ่ยถามด้วยความเป็นมิตร
“ผมเป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง วันนี้พาลูกศิษย์มาสำรวจดูตลาดสมุนไพร ต้องขอโทษเถ้าแก่ด้วยที่ทำให้การค้าขายล่าช้า”
หลี่เคอหมิงพูดอย่างสำรวม
“เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางหรือครับ?” เจ้าของร้านตาลุกวาว
หลี่เคอหมิงพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยครับ” ชายหนุ่มเจ้าของร้านพูดออกมาทันที “ต้องการสมุนไพรชนิดไหนบอกมาได้เลย ผมยินดีลดราคาให้เป็นพิเศษ”
“เดี๋ยวผมขอดูก่อนนะ”
หลี่เคอหมิงยิ้มตอบกลับไปและเริ่มต้นอธิบายสมุนไพรแต่ละชนิดต่อจากเดิม
ชายหนุ่มรับฟังด้วยความตั้งอกตั้งใจ
ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามาในตลาดแห่งนี้ ชายหนุ่มก็พอจะรับทราบได้โดยทันที
สมุนไพรที่วางขายอยู่ในตลาดนี้ ไม่มีชนิดใดเป็นสมุนไพรคุณภาพสูงอย่างที่เขาต้องการเลย
สมุนไพรที่เขาต้องการจำเป็นต้องมีพลังปราณธรรมชาติบรรจุอยู่ด้านใน มันอาจจะมีลักษณะไม่ตรงกับความสมบูรณ์แบบที่ถ่ายทอดกันมาในตำราแพทย์แผนจีน แต่มีความเหมาะสมสำหรับการนำไปหลอมโอสถเป็นอย่างยิ่ง
ระหว่างที่ผู้เป็นอาจารย์กำลังบอกเล่ารายละเอียดให้ลูกศิษย์ฟังนั้น เจ้าของร้านสมุนไพรก็เบิกตาโตเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบหยิบแผ่นป้ายขนาดใหญ่ออกมาและใช้ปากกาเมจิกเขียนข้อความลงไปว่า : การันตีโดยอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง สมุนไพรร้านนี้เป็นของแท้!
เขียนจบแล้ว
เจ้าของร้านก็รู้สึกว่ายังขาดอะไรไปบางอย่าง จึงแก้ไขถ้อยคำท้ายประโยคเล็กน้อย
ข้อความบนแผ่นป้ายจึงกลายเป็นว่า : การันตีโดยอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง สมุนไพรร้านนี้เป็นของแท้และดีเยี่ยม!
หลังจากนั้น เจ้าของร้านจึงได้วาดรูปมือคนกำลังชูนิ้วโป้งชื่นชมเป็นการปิดท้าย
หลี่เคอหมิงเห็นดังนั้นก็พูดอะไรไม่ออก
เช่นเดียวกับซููเย่
ตลาดแห่งนี้มีแต่พ่อค้าหัวใสทั้งนั้น!
“พวกเราไปดูร้านอื่นกันบ้างดีกว่า”
หลี่เคอหมิงดึงตัวชายหนุ่มไปยังแผงสมุนไพรร้านต่อไป
เขาไม่อยากให้เจ้าของร้านนำชื่อเสียงของตนเองไปใช้ประโยชน์อีกแล้ว
เพราะมันอาจจะก่อให้เกิดผลเสียกับมหาวิทยาลัยในภายหลัง
หลี่เคอหมิงหยุดสำรวจแผงขายสมุนไพรเป็นบางร้าน และมีอีกหลายร้านที่เขาเดินผ่านไปโดยไม่เหลียวมองด้วยซ้ำ
ระหว่างทาง
ลูกศิษย์และอาจารย์เดินผ่านร้านแบกะดินเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง
เจ้าของร้านเป็นชายชราที่ปูเสื่อนั่งอยู่บนพื้น สินค้าที่ชายชราวางขายเป็นถุงใส่สมุนไพรที่หน้าตาเก่าแก่ไม่แพ้ผู้เป็นเจ้าของ
สมุนไพรที่เขาขายมีอยู่เพียงชนิดเดียวเท่านั้น บนป้ายเขียนบอกเอาไว้ว่าเป็น ‘เก๋ากี้สวรรค์’
“หืม?”
ซููเย่หยุดชะงักและหันหน้ากลับไปมอง
ยึดตามคำอธิบายของหลี่เคอหมิง เก๋ากี่ที่ชายชราวางขายเป็นเพียงสมุนไพรเกรดธรรมดา แต่ชายหนุ่มกลับรับรู้ได้ถึงความพิเศษของมัน
เพราะเขารู้สึกได้ถึงพลังปราณธรรมชาติ
“อาจารย์หลี่ครับ รอสักครู่นะครับ”
เมื่อแจ้งผู้เป็นอาจารย์เรียบร้อย ซููเย่ก็เดินมานั่งยอง ๆ อยู่หน้าร้านชายชรา
“เปิดผนึกดวงตาที่สาม!”
ซููเย่ส่งเสียงตะโกนอยู่ในใจ
พลังลมปราณในร่างกายของเขาพลันวิ่งขึ้นมารวมกันอยู่ที่เหนือคิ้ว
บนหน้าผากของซููเย่เกิดแสงสว่างวูบวาบ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามองเห็น ก็เป็นไปอย่างชัดเจนมากขึ้น
ซููเย่อดประหลาดใจไม่ได้เมื่อพบว่าถุงบรรจุสมุนไพรของชายชรานั้น มีมวลพลังลอยขึ้นมาจากผลเก๋ากี่สามลูก แม้เพียงเลือนลาง แต่มันก็มีอยู่จริง
พลังปราณธรรมชาติ!
มุมปากของซููเย่บิดตัวเป็นรอยยิ้ม เขายื่นมือออกไป และหยิบผลเก๋ากี้สามลูกออกมาจากถุงกระสอบ
เมื่อสำรวจดูอย่างละเอียดแล้ว เขาก็ไม่พบว่าจะมีผลเก๋ากี้ลูกไหนที่มีพลังปราณธรรมชาติอีก
“คุณตาครับ เก๋ากี้สามลูกนี้ขายเท่าไหร่ครับ?”
ซููเย่ถาม
“หืม?”
ชายชราผู้ขายเก๋ากี้ขมวดคิ้วด้วยความฉงน
คนเราจะมีใครซื้อเก๋ากี้แค่ครั้งละสามลูกด้วยหรือ?
ชายชรามองหน้าซููเย่ด้วยความพินิจพิจารณา แต่เมื่อเห็นกระถางของต้นเบญจมาศที่อยู่ในอ้อมแขนชายหนุ่ม ดวงตาของชายชราก็ต้องเป็นประกายระยิบระยับ
นั่นต้นเบญจมาศของตาแก่ฮันที่ขายไม่ออกมาหลายเดือนแล้วไม่ใช่หรือ?
สุดท้าย ก็มีคนยอมซื้อในราคา 20,000 หยวนจริง ๆ รึ?
ชายชราดึงสายตากลับมามองหน้าซููเย่อีกครั้ง “ลูกละ 50 หยวน”
“แล้วถ้าซื้อเป็นโลละครับ?”
ซููเย่ถามอีกครั้ง
“โลละ 50 หยวนเหมือนกัน” ชายชราตอบกลับมาตามสัญชาตญาณพ่อค้า “คุณต้องไม่ลืมนะว่านี่คือผลเก๋ากี้สวรรค์ ราคานี้ถือว่ายุติธรรมดีแล้ว คุณคงไปหาซื้อที่ไหนไม่ได้อีก…”
ยังไม่ทันฟังชายชราพูดจบ ซููเย่ก็หยิบถุงพลาสติกที่แขวนอยู่ข้างร้านชายชรามาใบหนึ่ง
เขาควักผลเก๋ากี้ที่อยู่ในกระสอบออกมายัดใส่ถุงพลาสติกใบนี้
จากนั้นค่อยนำผลเก๋ากี้ที่มีพลังปราณธรรมชาติทั้งสามลูกใส่เพิ่มลงไปด้วย
“ผมขอซื้อสองโลครับ”
ซููเย่ยื่นถุงพลาสติกให้ชายชรา
ชายชราพูดอะไรไม่ออก
หลี่เคอหมิงก็พูดอะไรไม่ออกแล้วเช่นกัน
ทั้งพ่อค้าและลูกค้าเรียกได้ว่าเจ้าเล่ห์พอ ๆ กัน!
ชายชรามองหน้าซููเย่ด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากสำนึกเสียใจในความปากไวของตัวเอง
เขาไม่น่าบอกราคาไปตามความเคยชินเลย
รู้อย่างนี้ เมื่อสักครู่น่าจะบอกว่าห้ามชายหนุ่มนำผลเก๋ากี้ทั้งสามลูกนั้นใส่รวมลงไปในถุงด้วยก็ดีหรอก
หลังมองหน้าอยู่นาน สุดท้าย ชายชราก็ต้องจำใจรับถุงจากซููเย่ไป
ช่างมัน ขายแล้วก็ถือว่าขายได้ ขายได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว!
ชายชรานำถุงพลาสติกบรรจุผลเก๋ากี้ไปวางไว้บนตาชั่ง
มันมีน้ำหนักสองกิโลกรัมไม่ขาดไม่เกินแม้แต่ขีดเดียว
ชายชราและหลี่เคอหมิงที่เดินตามมายืนดูอยู่ด้านข้าง ต่างก็หันมาจ้องมองซููเย่ด้วยความเหลือเชื่อ
ทำไมเขาถึงชั่งน้ำหนักด้วยมือได้อย่างแม่นยำขนาดนี้?
ซููเย่หยิบเงินออกมาหนึ่งร้อยหยวน
ชายชราลังเลเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็ยอมรับเงินไว้โดยดี
เขาไม่ลืมกำชับกับตนเองว่าครั้งหน้าจะปากไวเช่นนี้ไม่ได้อีก หลังจากนี้ ชายชราก็ตั้งใจว่าจะไปคุยกับตาแก่ฮันเพื่อสอบถามดูสักหน่อยว่าสามารถขายเบญจมาศกระถางนั้นออกไปได้อย่างไร
ซููเย่นำถุงเก๋ากี้เก็บใส่ในกระเป๋าเป้สะพายหลัง
และออกเดินสำรวจตลาดพร้อมกับหลี่เคอหมิงต่อไป
หลี่เคอหมิงยังคงใช้สายตามองหาร้านขายสมุนไพรที่น่าสนใจ แต่ในเวลาเดียวกันนั้น ซููเย่ก็ไม่พบเม็ดบัวหรือเมล็ดลูกหม่อนที่เขาต้องการสักร้านเดียว
“เป็นไงบ้าง เธอพอจากแยกแยะคุณภาพของสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ได้แล้วหรือยัง?”
หลี่เคอหมิงถามออกมาด้วยความเมตตาและเอ็นดู
“ผมว่าน่าจะพอได้แล้วล่ะครับ”
ซููเย่ผงกศีรษะ
“ดีมาก”
“หลังจากนี้ ฉันจะพาเธอไปดูร้านสมุนไพรคุณภาพสูงของจริงเสียที”
หลี่เคอหมิงกล่าว “เธอจะได้มีโอกาสเห็นสมุนไพรที่เป็นของหายาก รวมไปถึงสมุนไพรที่เป็นพืชท้องถิ่นด้วยเช่นกัน”
“เยี่ยมเลยครับ”
ซููเย่พยักหน้าด้วยความกระตือรือร้น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เมื่อเดินมาจนถึงตอนนี้ แต่ยังไม่สามารถหาซื้อวัตถุดิบที่ยังขาดหายไปอีกสองชนิดได้ ซููเย่ก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย ทว่า หากหลี่เคอหมิงจะพาเขาไปยังร้านขายยาจีนคุณภาพสูง ไม่แน่ว่าที่นั่นอาจจะมีสิ่งที่เขาต้องการอยู่ก็ได้
ซููเย่เดินตามหลังหลี่เคอหมิงตรงไปยังร้านขายยาจีนที่ใหญ่ที่สุดในตลาด
ที่นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ร้านที่มีอาคารตั้งอยู่เป็นหลักแหล่ง หน้าร้านตกแต่งอย่างสวยเก๋ ได้กลิ่นหอมของยาจีนลอยมาในอากาศตั้งแต่ยังเดินเข้าไปไม่ถึง
เมื่อมองผ่านกระจกหน้าร้านเข้าไปด้านใน ก็จะเห็นชั้นจัดแสดงสินค้าวางขวดยาเจ็ดแถว ตั้งเรียงรายเพื่อดึงดูดลูกค้าอย่างสวยงาม ไม่ต่างจากการจัดนิทรรศการแสดงงานศิลปะ
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป
สายตาของซููเย่ก็สะดุดเข้ากับขวดแก้วสองขวดที่มีป้ายเขียนติดเอาไว้บนชั้นวางว่าเป็นเมล็ดลูกหม่อนกับเม็ดบัว