เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 38 วัดความรู้การตรวจชีพจร (ตอนปลาย)
บทที่ 38 วัดความรู้การตรวจชีพจร (ตอนปลาย)
เมื่อเห็นสายตาของชายหนุ่ม หลี่เคอหมิงก็ยิ้มแย้มให้คำตอบว่า “แค่ดูอาการภายนอก ฉันก็บอก
ได้แล้วน่ะ”
ทันใดนั้น แววตาของซูเย่เป็นประกายด้วยความเคารพเลื่อมใสขึ้นมาทันที
หลังจากนั้น คนไข้คนที่สองก็เดินเข้ามา
“ชีพจรสือม่าย หมายถึงชีพจรแกร่งครับ”
ซูเย่ให้คำตอบหลังตรวจดูชีพจรเสร็จสิ้นอีกครั้ง
“ถูกต้อง”
หลี่เคอหมิงพยักหน้าด้วยความพอใจระคนประหลาดใจที่ชายหนุ่มสามารถตอบถูกได้ทั้งหมด
แล้วคนไข้คนที่สามก็เดินเข้ามา
“ชีพจรหงม่าย หมายถึงชีพจรใหญ่มีพลังครับ”
เมื่อเห็นว่าซูเย่ตอบถูกต้องอีกแล้ว หลี่ชินเอ้อที่ยืนรอจัดยาอยู่ด้านข้างก็อดเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจไม่ได้
ครั้งที่แล้วเธอนึกว่าชายหนุ่มคนนี้แค่ขี้โม้ไปอย่างนั้นเอง แต่ที่ไหนได้ เขากลับจำทุกอย่างได้จริง ๆ ด้วย!
“ถูกต้อง ไม่เลวเลยจริง ๆ” หลังตรวจคนไข้รายที่สามเสร็จสิ้น หลี่เคอหมิงก็มองหน้าซูเย่และยิ้มออกมาด้วยความชื่นใจ “แต่การตรวจสอบที่ครบถ้วนของแพทย์แผนจีนนั้น นอกจากการจับชีพจรแล้ว ก็จะต้องประกอบด้วยการดู การดมกลิ่น และการซักถามคำถามด้วยเช่นกัน”
“เมื่อเธอสามารถรู้สาเหตุของอาการคนไข้ได้คร่าว ๆ เธอก็จะสามารถถามคำถามได้อย่างตรงเป้ามากขึ้น”
“ส่วนการดมกลิ่นนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญน้อยที่สุด”
“จากนี้ไปฉันจะสอนให้เธอตรวจคนไข้ด้วยการใช้สายตา”
ว่าไงนะ
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นบิดา หลี่ชินเอ้อที่ยืนอยู่ด้านข้างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาชัดเจน
พ่อของเธอใจร้อนเกินไปหรือเปล่าเนี่ย?
การสอนแบบนี้มันไม่รวบรัดเกินไปหน่อยหรือไง
นายซูเย่อะไรนั่นเพิ่งจะมาเริ่มเรียนอย่างจริงจังเป็นวันแรกเองนะ?
ทว่า หลี่เคอหมิงกลับไม่คิดว่านี่คือสิ่งที่เร็วเกินไปแต่อย่างใด เพราะเพียงแค่ความสามารถในการตรวจชีพจรของซูเย่ ก็ทำให้เอาเขาตกตะลึงที่สุดแล้ว
แต่เมื่อดูเหมือนว่าซูเย่จะมีความชำนาญในการจับชีพจรคนไข้อยู่พอสมควร หลี่เคอหมิงก็คิดว่าตนเองน่าจะยกระดับการสอนให้ยากมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
เมื่อได้ค้นพบลูกศิษย์อัจฉริยะ อาจารย์ก็จะสอนแบบธรรมดาไม่ได้เด็ดขาด
ยิ่งไปกว่านั้น ซูเย่เป็นคนที่มีพื้นฐานจากตำราโบราณแน่นปึก ซ้ำความจำยังเป็นเลิศ แถมยังสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็ว ไม่มีลูกศิษย์คนไหนจะประเสริฐมากไปกว่านี้อีกแล้ว
“คนไข้ทุกคนที่มาหาหมอ ต่างก็ตั้งความหวังว่าผู้เป็นหมอจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ ทำให้พวกเขาสามารถกลับบ้านได้อย่างเป็นปกติดีอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ ทักษะการสังเกตอาการคนไข้จากผู้เป็นแพทย์จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด”
“สำหรับแพทย์แผนจีนนั้น เราสามารถสังเกตอาการคนไข้ได้จากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง อุณหภูมิร่างกาย ดวงตา ลิ้น ประสาทการรับรู้ทั้งห้า ทวารทั้งเก้า และอื่น ๆ อีกมากมาย”
“ในวงการแพทย์ยุคปัจจุบันนั้นจะแบ่งการตรวจออกเป็นสองประเภท คือการตรวจภายในและการตรวจภายนอก การตรวจภายนอกก็ตัวอย่างเช่นการตรวจลิ้น การตรวจดวงตา หรือการตรวจเล็บมือในเด็กเล็ก”
“แม้ว่าการตรวจลิ้นจะถูกรวมอยู่ในหมวดหมู่ของการตรวจศีรษะและใบหน้า แต่ในความเป็นจริง
การตรวจลิ้นคือสิ่งที่สามารถทำให้แพทย์แผนจีนวินิจฉัยอาการได้อย่างแม่นยำมากที่สุด และมีโอกาสที่คนไข้จะหายจากอาการป่วยได้เร็วมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ หลักสูตรการวินิจฉัยลิ้นคนไข้จึงถือกำเนิดขึ้น และฉันก็ได้เรียนรู้วิธีการตรวจลิ้นฉบับโบราณมาถึงสองรูปแบบ”
หลี่เคอหมิงพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “วันนี้ฉันจะสอนการตรวจลิ้นให้เธอก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากันด้วยการตรวจใบหน้า”
พูดจบแล้ว ผู้เป็นอาจารย์ก็ถามว่า “เธอเคยอ่านตำรา “การวินิจฉัยและโรคแทรกซ้อน” ฉบับแพทย์แผนจีนบ้างไหม?”
“เคยอ่านครับ แล้วก็จำเนื้อหาได้ทั้งหมดด้วย”
ซูเย่พยักหน้า
“แล้ว “การวินิจฉัยลิ้นเบื้องต้น” ล่ะ?”
“อ่านจบและจำได้ขึ้นใจครับ”
“ดีมาก งั้นหมายความว่าเธอก็มีความรู้พื้นฐานติดตัวอยู่แล้ว”
หลี่เคอหมิงยิ้มกว้างมากกว่าเดิม
จังหวะนั้น ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อยเป็นอย่างยิ่ง
“ตรวจต่อได้เลย”
เมื่อเห็นคนไข้เดินตรงมาที่แผนกของตนเอง หลี่เคอหมิงก็พยักหน้า บอกให้ซูเย่จัดการตรวจชีพจรดูอีกครั้ง
ชายหนุ่มพยักหน้ารับทราบ รอให้คนไข้นั่งลงเรียบร้อยก่อน จึงได้ยื่นมือออกไปแตะชีพจรบนแขน
“ชีพจรซวีม่าย หมายถึงชีพจรพร่องไม่มีแรง”
ซูเย่ปล่อยมือออกหลังจับชีพจรเสร็จสิ้น
“ทำได้ดีมาก”
หลี่เคอหมิงพยักหน้า จากนั้นจึงลงมือจับชีพจรคนไข้ด้วยตนเอง
“คนไข้มีอาการเป็นยังไงบ้าง?”
“เวียนหัวครับหมอ ปวดหัวด้วย น้ำมูกไหล แล้วก็ไอ รู้สึกปวดแขนปวดขา กินอาหารไม่ค่อยลง บางครั้งก็หายใจไม่ค่อยออกด้วยครับ”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นตอบ “ครึ่งเดือนที่แล้วผมต้มยาจีนกินเอง แต่มันก็ไม่ดีขึ้นเลย”
“เวลาไอมีเสมหะออกมาบ้างไหม?”
“มีครับ เสมหะสีขาว”
“ไหนอ้าปากให้หมอดูลิ้นหน่อยซิ”
หลี่เคอหมิงยกมือส่งสัญญาณ แล้วคนไข้ก็อ้าปากกว้างอย่างว่าง่าย
“มีอาการหายใจตื้น คัดจมูก น้ำมูกไหล ลิ้นเป็นฝ้าขาว”
หลี่เคอหมิงสำรวจดูที่ลิ้นของคนไข้และหันมากล่าวกับซูเย่ “ดูและจดจำเอาไว้ นี่คือลักษณะของลิ้นที่มีฝ้าขาว”
ซูเย่มองดูลิ้นของคนไข้และจดจำไว้ในหัวสมอง…
ณ ราชวังแห่งความทรงจำ
ภาพถ่ายของลิ้นที่มีฝ้าขาวเกาะอยู่เต็มปรากฏขึ้นในอากาศ
และเวลาเดียวกันนั้นเอง หนังสือโบราณหลายเล่มก็ลอยมาเปิดออกให้ซูเย่ได้มองเห็นเนื้อหาที่อยู่ด้านใน
“ช่วยบอกฉันหน่อยสิว่าลิ้นที่เป็นฝ้าขาวหมายถึงอะไร?”
พลันหลี่เคอหมิงถามซูเย่ด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม
“ลิ้นเป็นฝ้าขาว หมายความว่าร่างกายเป็นโรคที่เกิดจากความเย็นครับ ร่างกายของคนไข้ได้รับความชื้นเป็นเวลานาน จึงทำให้โรคสะสมตัวกลายเป็นอาการเรื้อรัง”
เมื่อได้ยินคำตอบ หลี่เคอหมิงก็พยักหน้าด้วยความพอใจ นับว่าซูเย่ไม่ได้อ่านหนังสือมาเปล่าประโยชน์ แต่ยังสามารถจดจำนำมาใช้เป็นฐานข้อมูลได้จริง ๆ
หลังจากนั้น หลี่เคอหมิงก็สอบถามอาการคนไข้และสั่งจ่ายยาอย่างรวดเร็ว
คนไข้คนใหม่เดินเข้ามา
“คนไข้มีลิ้นสีขาวซีด ซึ่งเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นเพราะร่างกายได้รับความเย็นมากเกินไป ทำให้มีเลือดหล่อเลี้ยงน้อยเกินไป จนลิ้นที่เคยมีสีแดงกลายเป็นสีขาวซีดอย่างที่เห็นครับ”
ซูเย่วินิจฉัย
ยังคงถูกต้องเช่นเคย…
ทุกครั้งที่มีคนไข้คนใหม่เดินเข้ามา หลี่เคอหมิงจะขอให้ซูเย่เป็นคนลงมือตรวจจับชีพจร จากนั้นถึงค่อยสอนให้ชายหนุ่มแยกแยะประเภทของลิ้นชนิดต่าง ๆ โดยละเอียด
หลี่เคอหมิงอยู่รักษาคนไข้จนเลยเวลาออกเวรของเขาไปถึง 2 ชั่วโมง
ซูเย่สามารถจดจำความแตกต่างของลิ้นได้ราว 7 ถึง 8 ประเภทแล้ว และภายใต้การสอนอย่างใกล้ชิดของหลี่เคอหมิง เขาก็ได้รู้แม้แต่ลักษณะที่แตกต่างกันของตัวลิ้นอีกด้วย
เมื่อตรวจอาการคนไข้คนสุดท้ายเสร็จสิ้น หลี่เคอหมิงก็กล่าวกับซูเย่ว่า “ส่วนการระบุประเภทลิ้นที่นอกเหนือไปจากนี้ เธอต้องสะสมประสบการณ์ให้มากกว่านี้ก่อน”
ในขณะที่พวกเขาทั้งสามคนกำลังลงมือเก็บของและเตรียมตัวปิดประตูแผนกของตนเอง
ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินกระเผลกเข้ามาสอบถามด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “สวัสดีครับหมอ ออกเวรกันแล้วหรือครับ?”
“ขาหักมาใช่ไหมล่ะเนี่ย?”
หลี่เคอหมิงขมวดคิ้ว
อีกฝ่ายพยักหน้าและถามว่า “หมอช่วยรักษาให้หน่อยได้ไหมครับ?”
หลี่เคอหมิงหรี่ตามองดูขาของชายหนุ่ม ก่อนจะให้คำตอบออกมาทันที “หมอรักษาไม่ได้หรอก แถมศูนย์การแพทย์ที่นี่ก็ปิดแล้วด้วย เธอไปโรงพยาบาลอื่นดีกว่า ให้เราเรียกรถพยาบาลให้ดีไหม?”
ชายหนุ่มผู้บาดเจ็บส่ายหน้าดิก พูดขอบคุณในลำคอ หมุนตัวกำลังจะเดินลากขาจากไป
“เดี๋ยวก่อนครับ”
พลันซูเย่ร้องเรียก