เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 58 ผัดกะหล่ำแสนอร่อย
บทที่ 58 ผัดกะหล่ำแสนอร่อย
เมื่อถอดหมวก VR ออก
ซูเย่ก็รู้สึกสดชื่นจนต้องตรวจสอบพลังจิตของตนเอง
“พลังของเราเพิ่มขึ้นจริง ๆ ด้วย!”
การคาดเดาของเขาถูกต้อง การเล่นเกม Fantasy Dream ช่วยทำให้พลังจิตของผู้เล่นเพิ่มมากขึ้นจริง ๆ
ชายหนุ่มนึกถึงภาพเหตุการณ์จำลองการเปิดจุดลมปราณที่เขาเห็นก่อนออกมาจากเกม
ซูเย่ถึงกับตกตะลึงในสิ่งที่ค้นพบ
เกม Fantasy Dream สามารถทำให้พลังจิตของผู้เล่นจากเลเวล 0 ถึงเลเวล 20 มีความแข็งแกร่งขึ้นมาได้ แม้ว่าผู้เล่นเหล่านั้นจะไม่เคยฝึกการโคจรพลังลมปราณเลยก็ตาม!
“เกมนี้มัน…”
ซูเย่ได้แต่อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
ความยอดเยี่ยมไม่ได้หยุดอยู่แต่เพียงเท่านั้น แต่มันยังทำให้ผู้ที่ฝึกพลังปราณสามารถเปิดจุดลมปราณได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
“ไม่มั้ง ไม่น่าง่ายขนาดนั้น”
พลันซูเย่ปฏิเสธความคิดในหัวของตนเองทันที อย่างน้อยการฝึกตนก็ไม่ควรเป็นเรื่องง่ายดายเช่นนี้
หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ผู้ผลิตเกมก็คงนำเรื่องนี้มาเป็นจุดขายไปแล้ว เพราะไม่มีเหตุผลที่ต้องเก็บงำเป็นความลับ
นั่นเท่ากับว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเล่นเกมนี้แล้วจะพบเจอสิ่งที่ซูเย่ได้พบเจอ และนั่นก็หมายความว่ารัฐบาลกำลังคัดเลือกผู้เล่นที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเท่านั้น ถึงจะสามารถเห็นเคล็ดลับการเปิดจุดลมปราณได้
กว่าที่ผู้เล่นจะเลื่อนระดับขึ้นมาถึงเลเวลที่ 20 รัฐบาลก็คงคัดกรองคนได้เป็นจำนวนไม่น้อยแล้ว ว่าใครบ้างคือผู้ที่เหมาะสม
ต่อให้พยายามอย่างหนักสักเท่าไหร่ แต่ถ้าผู้เล่นมีคุณสมบัติไม่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด ก็คงไม่มีทางได้รู้เคล็ดลับการเปิดจุดลมปราณเด็ดขาด
เกมออนไลน์เกมนี้จะต้องปิดบังความลับใหญ่หลวงบางอย่างอยู่แน่นอน!
“หรือว่าปราณธรรมชาติจะเพิ่มขึ้นมาแล้ว?”
โดยไม่พูดคำใดอีก
ซูเย่กระโดดลงจากเตียง เปิดประตูออกจากห้องพักเดินขึ้นบันไดไปสู่ชั้นดาดฟ้าของหอพักนักศึกษา
ชายหนุ่มยืนอยู่บนดาดฟ้า กวาดสายตามองเมืองที่อยู่เบื้องหน้า
“ไม่ใช่!”
ซูเย่ส่ายศีรษะกับตนเอง
เขาแน่ใจว่าพลังปราณธรรมชาติยังคงมีเหลืออยู่น้อยนิดเช่นเดิม
กว่าที่พลังปราณเหล่านั้นจะสามารถฟื้นฟูกลับมาอุดมสมบูรณ์เหมือนในอดีต ก็คงต้องใช้เวลาอย่างต่ำเป็นร้อยปี หรืออาจจะถึงขั้นพันปีด้วยซ้ำ!
“ตกลงรัฐบาลต้องการอะไรกันแน่?”
ซูเย่ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
ไม่ใช่แต่เพียงรัฐบาลจีนประเทศเดียวเท่านั้น แต่เกมนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกือบทั้งโลก
หรือผู้ผลิตเกมมีเจตนาจะสร้างผู้ฝึกยุทธ์รุ่นใหม่ขึ้นมาเป็นจำนวนมหาศาล?
ไม่น่าเป็นไปได้
“ตอนนี้เราคงต้องทนรอไปก่อน เอาไว้แผนที่ระดับ 20 เปิดให้เข้าเล่นเมื่อไหร่ อาจจะมีเบาะแสให้ตามสืบมากกว่านี้”
ซูเย่หันหลังกลับแล้วเดินลงบันได
เมื่อกลับมาถึงห้องพักของตนเอง
ซูชือกับจินฟานกำลังล้างหน้าล้างตาอยู่พอดี
ซูเย่เดินไปที่ระเบียงห้อง และมองหัวกะหล่ำที่ปลูกเอาไว้ในกระถาง กะหล่ำหัวนั้นมีขนาดใหญ่มากกว่าเดิมหลายเท่า และรากของมันก็ใหญ่โตจนกระถางแทบรองรับไม่ไหวแล้ว
“น่ากินใช้ได้เหมือนกันนี่นา”
ซูเย่เอื้อมมือออกไปสัมผัสกะหล่ำหัวนั้น แล้วเขาก็ยิ้มออกมา “ถ้าเอาไปผัดคงอร่อยใช้ได้ทีเดียว”
พูดจบเขาก็เหลียวหน้ามองไปยังซูชือกับจินฟานที่กำลังแปรงฟันอยู่
ในเมื่อพวกนายเป็นเพื่อนร่วมห้องของฉัน ฉันก็จะช่วยเหลือพวกนายเอง
ไม่ว่ารัฐบาลจะตั้งใจผลิตเกมนี้เพื่อสนับสนุนให้เกิดผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่ขึ้นมาจริง ๆ หรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือโลกใบนี้คงไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ซูเย่ตั้งใจว่าจะต้องช่วยเหลือเพื่อนทั้งสองคนนี้ให้ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกให้ได้
ซูชือกับจินฟานยังคงแปรงฟันกันไป พร้อมกับพูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมเมื่อคืนนี้พวกเขาไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรนี่เลยสักนิด
เมื่อทุกคนแปรงฟัน และล้างหน้าล้างตาเสร็จ
สามหนุ่มก็ออกมาจากหอพัก แวะร้านข้างทางรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ก่อนจะเดินไปเข้าเรียนตามตารางประจำวัน
ในห้องเรียน
ระหว่างที่นั่งฟังอาจารย์สอน ซูเย่ก็ทบทวนความรู้เกี่ยวกับแพทย์แผนจีนที่เขาบันทึกเอาไว้ในราชวังแห่งความทรงจำไปพร้อม ๆ กัน
บ่ายวันต่อมา
เมื่อทุกคนรับประทานอาหารกลางวันเสร็จสิ้น พ่อครัวในโรงอาหารก็เริ่มต้นทำความสะอาดโรงครัว
หลังตรวจดูข้อมูลในตำราแพทย์แผนจีนอยู่ถึง 2 วันเต็ม ๆ ซูเย่ก็ตัดสินใจเด็ดหัวกะหล่ำออกมาจากกระถางบนระเบียง เมื่อนำไปล้างน้ำเรียบร้อย เขาก็เดินถือหัวกะหล่ำตรงมาที่โรงอาหารทันที
ชายหนุ่มแวะเข้าไปที่โรงครัว
เขาหยุดยืนอยู่ข้างหน้าต่าง
พ่อครัวร่างอ้วนในวัย 20 กว่ากำลังทำความสะอาดเตาอบอยู่พอดี
“พี่ชาย ช่วยผัดกะหล่ำให้ผมกินสักหน่อยได้ไหม?”
ซูเย่ยื่นกะหล่ำเข้าไปผ่านทางช่องว่างของหน้าต่าง
“หา?”
พ่อครัวตัวอ้วนมองกะหล่ำที่ถูกยื่นเข้ามาด้วยความแปลกใจ
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขาก็คือ กะหล่ำหัวนี้ช่างสวยน่ารับประทานเหลือเกิน
แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่มีคนนำวัตถุดิบมาให้เขาปรุงอาหารด้วยตัวเองอย่างนี้!
พ่อครัวหนุ่มอยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อครุ่นคิดสักพักเขาก็ตอบตกลง เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เวลาอาหารกลางวันก็ผ่านไปแล้ว เขายังมีเวลาว่างอีกเหลือเฟือ
“ค่าแรง 5 หยวนนะน้อง”
“ไม่มีปัญหาเลยพี่ชาย ผมขอแวะไปซื้อของอย่างอื่นก่อน เสร็จแล้วเดี๋ยวกลับมาเอานะครับ”
พูดจบ ชายหนุ่มก็จัดการจ่ายเงินค่าแรงให้กับพ่อครัวร่างอ้วน ก่อนที่เขาจะเดินออกมาเพื่อซื้อข้าวเปล่า และกับข้าวเพิ่มเติมอีกสองสามอย่าง
ในโรงครัว
“ให้ตายสิ ฉันไม่เคยเห็นกะหล่ำที่มีความสวยงามสมบูรณ์ขนาดนี้มานานแล้ว อยากลองกินบ้างจังเลยน้า” พ่อครัวหนุ่มยกหัวกะหล่ำที่รับมาจากช่องหน้าต่างขึ้นดูด้วยความสนใจ แต่สุดท้ายก็ต้องสะกดกลั้นความอยากกินเอาไว้ และเริ่มต้นลงมือทำอาหารตามคำสั่ง
ในไม่ช้า ผัดกะหล่ำจานเด็ดก็พร้อมสำหรับรับประทานอยู่ในกล่องอาหาร
ซูเย่ยังไม่กลับมา
พ่อครัวหนุ่มทนกลิ่นหอมเย้ายวนใจไม่ไหว สุดท้ายเขาก็ต้องหยิบช้อนเหล็กคันหนึ่งมาตักผัดกะหล่ำขึ้นจากกล่องอาหาร ส่งเข้าใส่ปากตนเองหนึ่งคำใหญ่
“กร๊วบ”
สัมผัสของเนื้อกะหล่ำให้ความรู้สึกที่กรุบกรอบอยู่ในปาก
ความอร่อยล้ำแทรกเข้าทุกอณูลิ้น แผ่ซ่านไปยังต่อมรับรส เหมือนรสชาติอาหารที่สวรรค์ประทาน
“ทำไมถึงได้อร่อยแบบนี้เนี่ย?”
พ่อครัวหนุ่มเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ แล้วเขาก็ต้องรีบพูดกับตัวเองด้วยความดีใจ “หรือว่าฝีมือในการทำอาหารของเราจะพัฒนาขึ้นแล้ว?”
เขาอยากจะลองชิมอีกสักคำ
แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ซูเย่เดินกลับมาถึงพอดี
“เสร็จแล้วใช่ไหมครับ?” ซูเย่ถาม เมื่อเห็นกล่องกะหล่ำวางอยู่ตรงหน้า
“เสร็จแล้ว” พ่อครัวหนุ่มร่างอ้วนแอบถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัวขณะที่ส่งกล่องอาหารผ่านช่องว่างทางหน้าต่าง ในตอนนี้เขาคงไม่รู้ว่าสีหน้าของเขาเลื่อนลอยดูไร้สติมาก
“ขอบคุณครับ”
ซูเย่รับกล่องอาหารมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หลังจากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินกลับออกจากโรงอาหาร มุ่งหน้ากลับหอพักของตัวเอง
หลังจากที่ทำได้เพียงจ้องมองกล่องอาหารหายลับไปกับตา ก็ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าที่พ่อครัวหนุ่มร่างอ้วนจะกลับมาได้สติอีกครั้ง
“สรุปว่าฝีมือทำอาหารของเราพัฒนาขึ้นจริง ๆ ใช่ไหม?” พ่อครัวหนุ่มคิดหาสาเหตุ นี่เป็นจานแรกที่เขาทำออกมาได้อร่อยเหาะขนาดนี้
“มิน่าล่ะ คุณปู่ถึงได้สอนนักสอนหนาว่าถ้าคนเราตั้งใจทำอะไรสักอย่าง ก็จะประสบความสำเร็จได้ในท้ายที่สุด”
เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงมีความสุข
เพื่อทดสอบฝีมือการทำอาหารของตนเองอีกครั้ง พ่อครัวหนุ่มร่างอ้วนก็ไม่เสียเวลาวุ่นวายอยู่ในโรงครัว เขารีบหากะหล่ำหัวใหม่ และวัตถุดิบสำหรับนำมาผัดอีกหนึ่งจาน
ใช้เวลาไม่นาน ขั้นตอนทุกอย่างก็เสร็จสิ้น
เมนูผัดกะหล่ำจานนี้ ทุกขั้นตอนเหมือนที่ทำให้ลูกค้าคนเมื่อครู่ทุกอย่าง
แต่เมื่อลองชิมแล้ว
“เฮ้ย”
สีหน้าของพ่อครัวหนุ่มก็เปลี่ยนไป เขาแทบจะคายอาหารในปากทิ้งออกมาทันที แต่นึกขึ้นได้ว่ามันจะเป็นการทำให้ของกินเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นพ่อครัวหนุ่มจึงต้องกล้ำกลืนฝืนทนกลืนมันลงคอไปในที่สุด
“ทำไมรสชาติมันไม่เหมือนกับจานที่แล้วล่ะ? ในเมื่อวัตถุดิบและเครื่องปรุงทุกอย่างก็เหมือนกันหมดนี่นา?”
…
ณ หอพักนักศึกษาชาย
“กลับมาแล้วคร้าบ” ซูเย่เดินกลับเข้าไปในห้องพักพร้อมด้วยกล่องอาหารกลางวัน และกับข้าวอีกหลายอย่าง
“ซูเย่ นายบอกว่าเดี๋ยวจะออกไปซื้อผัดผักมาให้กิน คงไม่ได้หมายถึงกะหล่ำหัวนั้นที่ปลูกอยู่บนระเบียงห้องเราหรอกใช่ไหม?”
ซูชือถามด้วยความสงสัยพร้อมกับชี้นิ้วไปที่กระถางต้นไม้บนระเบียงห้อง
“ถูกจับได้ซะแล้วเหรอเนี่ย?”
ซูเย่ยิ้มกว้าง และนำอาหารทั้งหมดไปวางไว้บนโต๊ะกลางห้องพัก หลังจากนั้นจึงเริ่มเปิดกล่องอาหารเมนูพิเศษ
“ฉันเอากะหล่ำหัวนั้นไปล้างเองกับมือเชียวนะ แถมยังไปขอร้องให้พ่อครัวที่โรงอาหารช่วยผัดให้ด้วย รับรองว่าอร่อยแน่นอน”
พูดจบแล้วชายหนุ่มก็แกะข้าวเปล่าให้เพื่อนคนละจาน
จากนั้นเขาก็ลองตักผัดกะหล่ำขึ้นมาชิมดูบ้าง
อื้อหือ…อร่อยกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย!
สีหน้าซูเย่ในตอนนี้เหมือนเขาพึ่งได้ลิ้มรสสิ่งที่อร่อยที่สุดในชีวิต
“ซูเย่ ทำหน้าแบบนั้นเว่อร์เกินไปหน่อยไหม”
ซูชือพูดในขณะที่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ และมองผัดกะหล่ำในกล่องอาหารด้วยแววตารังเกียจ
“ลองชิมดูก่อนเถอะ กินไม่ได้ก็กินอย่างอื่นไปสิ”
จินฟานก็นั่งลงแล้วเช่นกัน เขาหยิบตะเกียบ เตรียมพร้อมสำหรับการทานอาหารกลางวัน
ซูชือถอนหายใจและหยิบตะเกียบขึ้นมา
ซูเย่ก้มหน้าก้มตารับประทานผัดกะหล่ำไม่พูดคุยกับใคร ในขณะที่เพื่อนร่วมห้องทั้งสองคนรับประทานกับข้าวอย่างอื่นที่เขาซื้อมาจนหมด จากนั้นจึงได้ลองชิมผัดกะหล่ำเป็นการปิดท้าย
และไม่ต้องสงสัยเลย
ทันทีที่ได้กินเข้าไปเพียงคำเดียว จินฟานก็ถึงกับเบิกตาโต
“หืม?”
“เฮ้ย.. ทำไมอร่อยแบบนี้วะเนี่ย!”
“ไอ้นี่ก็ทำหน้าเว่อร์อีกคนแล้ว”
ซูชือเหลือบตามองจินฟานด้วยความเหยียดหยาม ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบกะหล่ำชิ้นหนึ่งส่งเข้าปาก
“เหยดดด!”
ดวงตาของชายหนุ่มลูกคุณหนูเบิกโตโดยทันที
“ผัดกะหล่ำมันอร่อยได้ถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”
ซูชือจ้องผัดกะหล่ำที่อยู่ในกล่องอาหารตรงหน้าด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ซ้วบ”
จินฟานไม่เสียเวลาพูดคุยอีกแล้ว เขารีบใช้ตะเกียบคีบเนื้อกะหล่ำส่งเข้าปากของตนเองชิ้นแล้วชิ้นเล่า
เห็นดังนั้น ซูชือก็ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
เขารีบดึงกล่องอาหารมาไว้ข้างหน้าตัวเอง
“นายแม่งกินเยอะแล้ว ที่เหลือเป็นของฉัน!”
แต่จินฟานก็แย่งกล่องอาหารกลับไปโดยไม่สนใจรับฟังคำทัดทานใด ๆ ทั้งสิ้น
ซูเย่รับประทานอิ่มแล้วตอนที่เพื่อนทั้งสองคนกำลังแย่งกันกินด้วยความวุ่นวาย
ซูชือเมื่อได้รับประทานแล้ว ก็หยุดไม่ได้อีกต่อไป
เดิมทีผัดกะหล่ำกล่องนี้เป็นอาหารที่ได้รับความสนใจน้อยที่สุด แต่บัดนี้ เพื่อนทั้งสองคนของซูเย่แทบจะฆ่ากันตายเพื่อแย่งชิงกะหล่ำชิ้นสุดท้าย
เพียงไม่นาน ผัดกะหล่ำในกล่องอาหารก็หมดเกลี้ยง
สามสหายได้แต่นั่งตบพุงอยู่บนเก้าอี้ด้วยความอิ่มหนำ
“เอื๊อก”
ซูชือเรอออกมาเล็กน้อย ดวงตายังเป็นประกายเพราะซาบซึ้งในความอร่อยของผัดกะหล่ำ “นี่เป็นความรู้ใหม่ของฉันเลยนะเนี่ย ใครจะไปคิดวะว่าผัดกะหล่ำหน้าตากาก ๆ อย่างนั้นจะอร่อยได้ถึงขนาดนี้ แบบนี้ให้ฉันกินทุกวันเลยก็ยังได้!”
จินฟานหันไปมองที่กระถางต้นไม้ริมระเบียงด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
ซูเย่ยิ้ม แต่ไม่พูดอะไรออกมา
เมื่อช่วยกันล้างจานเสร็จเรียบร้อย ทั้งสามหนุ่มก็เดินกลับไปเข้าเรียนอีกครั้ง
ซูเย่ยังคงทบทวนตำราแพทย์แผนจีนในหัวของตนเองต่อไป
…
ขณะนี้เป็นเวลา 22:00 น.
ซูชือกับจินฟานสวมใส่หมวก VR และเข้าเล่นเกมพร้อมกัน
พวกเขายังอยู่เลเวล 10 เท่าเดิม
แม้ว่าทั้งสองหนุ่มจะสามารถฆ่าสัตว์ประหลาดระดับ 11 ได้อยู่บ้าง แต่ความเร็วของพวกเขาก็ยังไม่เท่ากับพวกคนที่ได้อัพเลเวลขึ้นไปล่วงหน้าเพราะมีค่าประสบการณ์เยอะกว่า
แต่คืนนี้ เมื่อได้เริ่มต้นสังหารสัตว์ประหลาดเพียงไม่กี่ตัว ทั้งซูชือและจินฟานต่างก็รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไปจากเดิม
เหมือนกับว่าพวกเขามีฝีมือเก่งขึ้นอย่างไรไม่ทราบ?
การฆ่าสัตว์ประหลาดจึงดำเนินไปด้วยความรวดเร็วมากกว่าเดิม
แต่พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลยนี่นา?
อยู่ดี ๆ ทำไมถึงมีพลังเพิ่มขึ้นมาได้ล่ะ?
สองหนุ่มปรึกษากันอยู่เล็กน้อย ก็ตัดสินใจถอนตัวออกจากกลุ่มเดิม และมาตั้งทีมล่าสัตว์ประหลาดกันเองเพียงสองคน
ผลก็คือค่าประสบการณ์ของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
“นี่พวกเราเก่งขึ้นหรือสัตว์ประหลาดพวกนี้มันกากลงกันแน่?”
“ทำไมสัตว์ประหลาดพวกนี้เหมือนจะเคลื่อนที่ได้ช้าลงเลยล่ะ?”
“เมื่อก่อนพวกมันไม่กระจอกแบบนี้นี่นา?”
ความสงสัยหลายอย่างผุดขึ้นมาในหัวใจ แต่ดาบในมือของพวกเขาก็ยังคงสังหารสัตว์ประหลาดต่อไปไม่หยุดยั้ง
…
ดวงจันทร์ลอยตัวบนท้องฟ้า ลมราตรีโชยพัดแผ่วเบา
ในป่าข้างจัตุรัสส่วนกลางของมหาวิทยาลัย
พลันปรากฏเงาร่างทั้งห้าขึ้น พวกเขามาจากทุกทิศทาง
บรรยากาศเงียบสงบ มีแต่เพียงเสียงลมเท่านั้นที่ทำลายความเงียบ
เมื่อสมาชิกทีมมารวมตัวกันเรียบร้อย จูอวี่เป็นเพียงผู้หญิงหนึ่งเดียวภายในทีมสืบสวน เธอกวาดสายตามองรอบตัวแล้วถามออกมา
“สรุปว่าเป็นที่นี่จริง ๆ ใช่ไหมคะ?”
“ที่นี่แหละ” เจ้าหน้าที่หมายเลข 197 หวังเหามองหน้าลูกน้องของตนเองทั้งสี่คนเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง “จากข้อมูลของทีมวิจัยที่ได้มาล่าสุด หมวกที่ถูกขโมยไปถูกเปิดใช้งานในเขตมหาวิทยาลัยแห่งนี้ โชคร้ายที่เราไม่สามารถระบุตำแหน่งได้แน่ชัดว่ามันถูกเปิดใช้งานที่ไหน”
ทุกคนพยักหน้ารับรู้
“ก่อนมาที่นี่ ผมได้ตรวจสอบรายชื่อผู้ลงทะเบียนซื้อหมวก VR กับทางสถานีตำรวจท้องถิ่นดูแล้ว ปรากฏว่าผู้ที่มาลงทะเบียนซื้อหมวกมีตั้งแต่นิสิตนักศึกษา ไปจนถึงอาจารย์ และพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของอยู่ในมหาวิทยาลัย ซึ่งหมายความว่าเรายังไม่สามารถบีบวงให้เหลือแค่ผู้ต้องสงสัยได้อย่างที่คิด”
“เพราะฉะนั้น วันนี้พวกเราจะมาปฏิบัติการล่อเสือออกจากถ้ำกัน!”
พูดจบหวังเหาก็นำหยกเขียวที่มีขนาดเท่าเล็บมือคนชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
เมื่อหยกชิ้นนั้นได้สัมผัสกับสายลมในอากาศ มันก็เรืองแสงเป็นประกายแวววาว พร้อมกับส่งมวลพลังปราณธรรมชาติออกไปรอบบริเวณ
เมื่อมองเห็นชิ้นหยกในมือหัวหน้าทีม ดวงตาของทุกคนก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
นี่คือหยกเขียวปราณบริสุทธิ์ นับเป็นของหายากที่สุดชนิดหนึ่ง มีเพียงปฏิบัติภารกิจลับระดับชาติสำเร็จเท่านั้น ถึงจะได้ของสิ่งนี้เป็นรางวัลตอบแทน
“ผู้กองจะใช้หยกชิ้นนี้เป็นเหยื่อล่อเหรอครับ?”
ลูกน้องคนหนึ่งในทีมถามขึ้นด้วยความตกตะลึง
“ถูกต้อง นี่คงเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะล่อคนร้ายออกมาได้”
หวังเหาตอบและยิ้มมุมปาก
“ถึงแม้หยกชิ้นนี้จะเป็นของล้ำค่า แต่เมื่อมันอยู่ในมือฉันแล้ว มั่นใจเถอะว่าจะไม่มีใครสามารถแย่งมันไปได้เด็ดขาด!”
“พวกเราเริ่มภารกิจได้!”
…
มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง หอพักชาย
ซูเย่ที่กำลังนอนฝึกวิชาอยู่บนเตียงพลันลืมตาขึ้นมา
“หืม?”
ดวงตาเป็นประกาย เมื่อเขาสามารถสัมผัสพลังอะไรบางอย่างได้
“พลังปราณพวกนี้มาจากไหนกันเนี่ย”
“เหมือนจะมาจากในป่าข้างจัตุรัสกลางใช่ไหม?”
หัวใจของเขากระตุกวูบ ลางสังหรณ์ของเขาเริ่มทำงาน
ซูเย่ลุกขึ้น ลงจากเตียงนอนในความเงียบ เขาเดินออกมาจากหอพักมุ่งหน้าเข้าไปในป่าและหายเข้าในความมืด ซูเย่รีบตรงไปยังตำแหน่งต้นกำเนิดของพลังปราณปริศนาโดยไม่มีผู้ใดพบเห็น