เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 12 ซูเย่คือความอัปยศ
บทที่ 12 ซูเย่คือความอัปยศ?
ซูเย่จึงทำการตรวจอาการทันที หลังจากนั้นไม่นานก็ปล่อยมือ แล้วเอ่ยถาม
“คุณปู่ครับ คุณปู่มีอาการโรคกระดูกพรุนใช่ไหม”
“ไอ้หนุ่ม… เก่งมาก! ใช่แล้ว”
คุณตาดวงตาเป็นประกาย ยิ้มแย้มมองทางซูเย่ “เป็นโรคกระดูกพรุนจริงๆ ทำให้พวกลูกหลานวันวันเอาแต่เป็นกังวลเรื่องของฉันกันไปหมด เฮ้ออ”
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ ระวังไม่ให้หกล้มก็พอ คนเฒ่าคนแก่ถ้าหกล้มละก็เป็นเรื่องเลย กระดูกหักขึ้นมากจะฟื้นฟูลำบาก” ซูเย่กล่าว
“โรคกระดูกพรุนรักษาได้ไหม?” ไป๋จือหรานเอ่ยถาม
“ระวังให้มาก แล้วก็บำรุงแคลเซียมเยอะๆ”
“ฉันหมายถึงรักษาให้หายขาด” ไป๋จือหรานกล่าวอีกรอบ
ซูเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ ที่บ้านมีแคลเซียมเม็ดไหม?”
“มี”
คุณย่าพยักหน้า “ที่ร้านขายยาชอบทำกิจกรรมซื้อสองแถมหนึ่ง ก็เลยซื้อมาไว้เยอะอยู่เหมือนกัน กินยังไงก็ไม่หมดสักที”
ขณะพูดก็เปิดลิ้นชักหยิบกระปุกแคลเซียมออกมา
“คุณปู่ครับ ตอนนี้ก็กินสักหน่อยสิครับ”
ซูเย่กล่าว
“แคลเซียมเม็ดเหล่านี้ปกติกินวันละเม็ด ตอนนี้ฉันกินสองเม็ดเพียงพอหรือไม่”
คุณปู่ถามด้วยความสงสัย
“20 เม็ดครับ”
ซูเย่เอ่ยตอบ
“เยอะขนาดนี้เลยรึ?”
ไม่เพียงแค่คุณปู่เท่านั้น แต่ใบหน้าของพี่น้องตระกูลไป๋และคุณย่าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“กินเยอะขนาดนั้นจะไม่เป็นไรเหรอ”
ไป๋จือหรานถามอย่างกังวลใจ
“ภายใต้สถานการณ์ปกติก็คงเป็น แต่ตอนนี้คือการรักษา และต้องใช้จำนวนมาก”
ซูเย่กล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ฉันแน่ใจ”
ไป๋จือหรานมองลึกไปที่ดวงตาของซูเย่แล้วเกลี้ยกล่อมคุณปู่ของเธอ
“คุณปู่ กินเถอะค่ะ”
“งั้นปู่กินละนะ”
คุณปู่เทเม็ดแคลเซียมออกมา 20 เม็ด จากนั้นใส่เข้าไปในปากทีละเม็ดแล้วดื่มน้ำตาม
ซูเย่ยืนขึ้นทันที เมื่อเดินเข้าไปหาคุณปู่ เขาแอบรวบรวมพลังปราณและหลอมรวมให้กลายเป็นเข็ม แล้วจัดการฝังเข็มไปที่จุดฝังเข็มบนร่างกายของคุณปู่ เพื่อกระตุ้นพลังปราณในจุดฝังเข็ม และส่งเสริมการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูกอย่างรวดเร็ว
เซิ่นซู ต้าฉางซู เจียงจี เหว่ยจง คุนหลุน ไท่ซี ซานยินเจีย จู๋ซานหลี่…
พลังปราณไหลผ่านทีละจุด
สิบนาทีต่อมา
ซูเย่ปล่อยมือออก หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่าแคลเซียมของคุณปู่ดูดซึมได้หมดและรักษาดีแล้ว เขาก็เอื้อมมือไปเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก
“ฉันถือว่าเป็นการผสมผสานระหว่างการแพทย์แผนจีนและแพทย์ตะวันตกสินะ” ซูเย่กล่าวในใจ
จากนั้นเขาก็พูดกับสองพี่น้องไป๋ “หายดีแล้ว”
“แค่นี้เองเหรอ?”
ไป๋จือเหยียนถามด้วยความประหลาดใจ
ไป๋จือหรานก็มองที่ซูเย่ด้วยความประหลาดใจ คุณปู่และคุณย่าของพวกเธอก็ประหลาดใจเช่นกัน
“คุณปู่ ลุกขึ้นเดินดูสิครับว่าขาและเท้ายังเจ็บอยู่หรือเปล่า” ซูเย่กล่าว
เมื่อปู่ได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นเดินทันที หลังจากเดินไปเดินมาหลายก้าว จากที่น่าจะเริ่มปวดเท้าและเดินไม่ไหวในยามปกติ ตอนนี้กลับไม่รู้สึกปวดอะไรเลย
“เฮ้ มันไม่ปวดแล้วจริงๆ ทักษะการแพทย์ของพ่อหนุ่มใช้ได้เลยนะ!”
คุณปู่ยกนิ้วให้ซูเย่อย่างมีความสุข
“สมแล้วที่เป็นอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัย”
ไป๋จือหรานมองไปที่ซูเย่ด้วยความประหลาดใจแล้วกล่าวขึ้นอย่างจริงใจ
“สุดยอดไปเลยลูกพี่”
ไป๋จือเหยียนพูดแล้วยกนิ้วให้
แม้ว่าพวกเธอจะไม่ได้เรียนแพทย์ แต่โรคธรรมดาทั่วไปก็พอเข้าใจอยู่บ้าง โรคกระดูกพรุนต้องรักษาระยะยาว แค่กินแคลเซียมเม็ดไปไม่ดีขึ้นแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นมีใครที่ไหนกินแคลเซียมครั้งละ 20 เม็ดแล้วสามารถรักษาโรคกระดูกพรุนได้อย่างสมบูรณ์กัน?
“ลูกพี่?” คุณปู่กับคุณย่ามองไปที่ไป๋จือเหยียนอย่างสงสัย
“ฮ่าฮ่า คุณปู่คุณย่าฟังผิดแล้ว เพื่อนร่วมชั้น เพื่อนร่วมชั้น”
ไป๋จือเหยียนกล่าวกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว
เมื่อกล่าวถึงเรื่องที่ต้องระวังเรียบร้อย ซูเย่ก็ยืนขึ้นและอำลาผู้อาวุโสทั้งสอง
“นานๆ ทีจะมีเพื่อนบ้านมา พ่อหนุ่มไว้แวะมาบ่อยๆ นะ” คุณปู่กล่าวยิ้มแย้ม
ซูเย่รับปากกับคุณปู่
หลังจากนั้นพี่น้องไป๋ก็มาส่งเขาลงตึก
“ได้ยินมาว่าพรุ่งนี้การแข่งขันก็จะเริ่มขึ้นแล้วใช่ไหม”
เมื่อเดินออกมา ไป๋จือหรานก็เอ่ยถาม
“ใช่”
ซูเย่พยักหน้า “พรุ่งนี้ฉันก็ไปตี้ตูแล้ว”
ไป๋จือเหยียนพยักหน้า “หลูชวนเหยียนจิวเซิง(ผู้วิจัยปิ้งย่าง) ก็อยู่ตี้ตู ได้ยินมาว่าเขาชื่อจางจงหมิง ถ้านายมีเรื่องอะไรที่นั่นก็ไปให้เขาช่วยเหลือสิ”
“ถ้าเธอไม่พูดฉันคงลืมไปแล้ว ยังไงซะหมอนั่นก็เป็นคนที่เคยสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา”
ซูเย่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ยังไงก็ควรขอบคุณสักหน่อย”
“อืม งั้นฉันก็ส่งแค่ตรงนี้นะ”
เมื่อเดินมาถึงใต้ตึก ไป๋จือหรานก็โบกมือลา “สู้ๆ นายทำได้แน่”
“เชื่อมั่นในตัวเอง นายเป็นที่หนึ่งของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง นายต้องคว้าที่หนึ่งมาได้แน่นอน”
ไป๋จือเหยียนก็เอ่ยให้กำลังใจซูเย่เช่นกัน
“ขอบคุณ”
ซูเย่พยักหน้ายิ้มๆ โบกมือลาแล้วเดินจากไป
…
เช้าวันถัดมา ซูเย่กล่าวลากับคุณพ่อคุณแม่ซู แล้วนั่งรถไปสนามบินมุ่งหน้าไปเมืองตี้ตูทันที
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ซู่เย่มาถึงสนามบินนานาชาติตี้ตู เมื่อออกจากสนามบิน ชายหนุ่มก็นั่งรถมุ่งหน้าไปยังโรงแรมตี้ตูตามโลเคชั่นที่อาจารย์หลี่เคอหมิงเป็นคนส่งมาให้
เพิ่งลงจากรถ ซูเย่ก็เห็นคนที่คุ้นเคยสามคนในล็อบบี้โรงแรม
ลู่จวิ้น ลวี่อวิ๋นเผิง และอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยอีกหนึ่งคน
เมื่อเดินเข้าไป ก็กล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มทันที
“มากันเร็วจัง”
“อาจารย์หลี่มาเมื่อวานนี้ ฉันกับรุ่นพี่เพิ่งมาถึง”
ลู่จวิ้นเอ่ยตอบ
“งั้นก็ดีแล้ว ฉันคงไม่ได้ให้พวกนายรอนานเกินไป”
ซูเย่พูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นหันศีรษะและเรียกอาจารย์หลี่
รองศาสตราจารย์หลี่เจียจง เป็นอาจารย์แพทย์แผนจีนที่ตั้งใจทำงานและเป็นหนึ่งในผู้บริหารวัยกลางคนของมหาวิทยาลัย
“รองอาจารย์ใหญ่ไม่สามารถมาเป็นผู้นำทีมเป็นการส่วนตัวได้ และเหล่าอาจารย์ท่านอื่นๆ ก็กำลังยุ่งอยู่กับการสอนเด็กฝึกงานในช่วงปิดเทอมฤดูหนาว ดังนั้นพวกเขาจึงสั่งให้ฉันมาเป็นผู้นำทีม”
หลี่เจียจงพูดด้วยรอยยิ้มแล้วกำชับทุกคน “อย่าพูดว่าฉันสร้างแรงกดดันให้พวกนายเลย แต่การแข่งขันคราวนี้แตกต่างจากการแข่งขันครั้งก่อนๆ ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะดุเดือดมาก มีผู้เข้าแข่งขัน 100 คนจากมหาวิทยาลัย 33 แห่งเข้าร่วม ทั้งหมดล้วนเป็นนักเรียนดีเด่นทุกคน”
“การแข่งขันครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเกียรติยศของมหาวิทยาลัยและการพัฒนาในอนาคต พวกนายสามคนคือความหวังของมหาวิทยาลัยของเรา ไม่ว่ายังไงก็ตาม ครั้งนี้พวกนายต้องทำให้ดี!”
ทั้งสามพยักหน้าพร้อมกัน
“ไปเถอะ เช็คอินเข้าพักกัน”
หลี่เจียจงพาสามคนเดินไปที่เคาน์เตอร์
“กรุณาแสดงบัตรประจำตัวประชาชนด้วยค่ะ เราต้องลงทะเบียนข้อมูลประจำตัว”
พนักงานแผนกต้อนรับกล่าวด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม
พวกเขาสี่คนต่างหยิบบัตรประจำตัวประชาชนออกมา
ทันใดนั้นมีนักศึกษาอีกสี่คนเดินเข้ามาเช็คอินเข้าพักเหมือนกัน
“เอ๊ะ” หนึ่งในคนที่กำลังยื่นรออยู่พลันส่งเสียงประหลาดใจ สายตามองไปยังบัตรประจำตัวประชาชนของซูเย่ ขมวดคิ้วฉับพลันแล้วกล่าว
“นายก็คือซูเย่? ความอัปยศแห่งมหาวิทยาลัยของเรา?”
ความอัปยศ?
ซูเย่มุ่นคิ้วหันศีรษะมองไปยังอีกฝ่าย
สายตาของลวี่อวิ๋นเผิงและลู่จวิ้นก็จับจ้องไปยังอีกฝ่าย
ยามเผชิญหน้ากับซูเย่ ร่องรอยของการดูหมิ่นก็ปรากฏอยู่ในดวงตาที่เย่อหยิ่งของนักศึกษาคนนี้ เพียงเพราะคิดว่าซูเย่เป็นคนที่ลอกงานวิทยานิพนธ์ของคนอื่น
ลอกงานแฟนของตัวเองที่เป็นนักศึกษาปริญญาตรี น่าขายหน้าจริงๆ
เขาหัวเราะเหอะๆ แล้วกล่าว “ฉันเป็นนักศึกษาแพทย์แผนจีนของมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตู ได้ยินชื่อเสียงมานาน ซูเย่!”
“ย้ายจากแพทย์แผนปัจจุบันไปแพทย์แผนจีน ถือว่ามีความคิดดี แต่พฤติกรรมของนายไม่เหมาะจะเป็นหมอหรอกนะ ตอนนี้นายเรียนมหาวิทยาลัยไหนละ”
ขณะพูดก็เหลือบมองใบลงทะเบียนของซูเย่
“โอ๊ะ มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง?”
“นายออกจากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูของเราไปเพียงครึ่งปี เรียนแพทย์แผนจีนเพียงครึ่งปีก็ได้รับการคัดเลือกมา ดูเหมือนว่ามหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางความสามารถก็คงไม่ค่อยเท่าไหร่สินะ!”
ขณะพูดก็เหลือบมองลวี่อวิ๋นเผิงและลู่จวิ้นสายตาเต็มไปด้วยความดูถูก
คนอื่นๆ อีกสามคนในมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูก็มองที่ซูเย่แล้วขมวดคิ้ว ร่องรอยของการดูหมิ่นฉายชัดในแววตาของพวกเขา
“หึ ปากดี”
เมื่อได้ยินว่าตัวเองและมหาวิทยาลัยถูกเยาะเย้ย ลวี่อวิ๋นเผิงก็ก้าวออกมาทันที จ้องมองไปที่คนพวกนั้นอย่างเย็นชาแล้วกล่าว “มหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูที่อบรมคนแบบนายออกมาได้ ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่นัก”
“แล้วจะทำไมละ เราเป็นมหาวิทยาลัยแพทย์อันดับหนึ่งในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนจีนหรือแพทย์แผนตะวันตก!”
อีกฝ่ายยังหัวเราะเยาะแล้วกล่าวต่ออีกว่า “พวกตัวเล็กตัวน้อยที่มาจากบ้านนอก จะมีความหยิ่งทะนงบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูเย่ค่อยๆ จางหายไป ดวงตาของเขาเผยแววเย็นชา สีหน้าของคนอื่นๆ ก็มืดครึ้มลง
ในตอนนี้มีอาจารย์คนหนึ่งที่ดูอ่อนเยาว์เดินเข้ามา เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตู แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ข้างๆ มาตลอดและได้ยินอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่รวมไปถึงสิ่งที่นักศึกษาของเขากำลังพูด แต่เมื่อเขาก้าวเข้ามากลับทำเป็นไม่ได้ยินอะไร
หลี่เจียจงขมวดคิ้ว
“ซูเย่”
คนที่มาเย้ยหยันกล่าวต่อไป “ไม่ว่าเมื่อก่อนนายจะเก่งแค่ไหน แต่ตอนนี้นายเป็นเพียงความอัปยศในมหาวิทยาลัยของเราเท่านั้น!”
“คราวนี้เป็นการแข่งขันแพทย์แผนจีน ไม่ใช่เวทีของนาย แต่ในเมื่อนายมาอยู่ที่นี่แล้ว ฉันจะทำให้นายและมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางของพวกนายได้เห็นดีอย่างแน่นอน อันดับหนึ่งในการแข่งขันแพทย์แผนจีนจะต้องเป็นของเรา! นายเป็นแค่นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยของเราไม่ต้องการ และมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางของพวกนายก็แค่มหาวิทยาลัยบ้านนอก!”
“โอ้?”
ซูเย่มองไปที่อาจารย์นำทีมของฝ่ายตรงข้ามและเอ่ยถาม “คุณคิดอย่างไรกับคำพูดของนักศึกษาคนนี้ในมหาวิทยาลัยของคุณเหรอครับ”
“ฉันคิดว่าไม่มีคำไหนที่ไม่เหมาะสม”
อาจารย์ผู้นำทีมฝ่ายตรงข้ามพูดด้วยรอยยิ้ม “นักศึกษาของฉันกำลังพูดความจริง มหาวิทยาลัยของเราเป็นอันดับหนึ่งจริงๆ”
ซูเย่พยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นยกโทรศัพท์ขึ้นแล้วกล่าว “โอ๊ะ ลืมบอกไปว่าผมน่ะเผลอกดอัดวิดีโอไว้ พูดต่อเลยครับ ผมอยากรู้ว่าจะพูดอะไรอีก”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของทั้งห้าคนจากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวน่าเกลียดในทันที
บันทึกวิดีโอ? ไอ้บ้าเอ้ย!
“ฮึ!”
เมื่อกี้เขาเยาะเย้ยพวกซูเย่อย่างเลยเถิด เขาส่งเสียงในลำคออย่างไม่พอใจแล้วไม่กล่าวอะไรอีก
“ไม่พูดแล้วเหรอ?”
ซูเย่กล่าวอย่างเย็นชา “งั้นจากนี้ไปพวกนายก็ควรเลิกมาส่งเสียงน่ารำคาญข้างหูของฉันได้แล้ว ถ้านายยังไม่เลิก ฉันจะเผยแพร่วิดีโอที่บันทึกใบหน้าของพวกนายทั้งหมดออกไป! ต้องการก่อเรื่องอื้อฉาวไหม ฉันทำให้เอง!”
ใบหน้าของอาจารย์ที่นำทีมมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูเปลี่ยนไปทันที เขาไม่ต้องการให้มหาวิทยาลัยมีเรื่องอื้อฉาวตอนนี้
ถ้ามีเรื่องอะไรในตอนนี้ เขาคงยากจะหลบเลี่ยงคำตำหนิ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อกี้เขาเพิ่งพูดแสดงทัศนคติออกไป
“อีกเรื่อง”
ซูเย่มองคนจากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูแล้วพูดอย่างเย็นชา “ฉันเป็นความอัปยศของมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูหรือไม่ มันไม่ใช่สิ่งที่พวกนายจะพูดได้ ข้อเท็จจริงคืออะไร ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรจะฟังข่าวลือแล้วเอาไปพูดต่อได้ ในฐานะแพทย์แผนจีน มีใจอยากเอาชนะอยากพิสูจน์ว่ามหาวิทยาลัยของตัวเองเก่งกาจ ไม่สู้ไปรักษาผู้ป่วยเพิ่มอีกสักสองสามคนจะดีกว่า”
“เหอะ?! ทำตัวสูงส่งหยิ่งผยองไปวันๆ น่าสนุกตรงไหน?”
“ปากดีนักนะ!”
อีกฝ่ายส่งเสียงเย้ยหยัน “มาดูกันว่านายจะเก่งสักแค่ไหนหลังจากเรียนไปครึ่งปี! ฉันจะทำให้นายเห็นว่านักศึกษามหาวิทยาลัยตี้ตูเก่งกาจแค่ไหน!”
เมื่อพูดจบ คนกลุ่มนั้นก็ไปที่เคาน์เตอร์อีกจุดเพื่อเช็คอิน
ซูเย่มองพวกเขาอย่างเย็นชา
ขณะจัดการเอกสารแล้วเช็คอิน ลวี่อวิ๋นเผิง ลู่จวิ้นและอาจารย์หลี่เจียจงต่างฉงนใจมากเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตของซูเย่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามอะไรไป เพราะนี่คือความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่าย และไม่สะดวกที่จะสอบถาม
ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องและวางกระเป๋าเดินทาง โทรศัพท์ของซูเย่ก็ดังขึ้น เมื่อหยิบออกมาดู พบว่าเป็นจางจงหมิงโทรมา
“ได้ยินมาว่านายมาตี้ตูเหรอ?”
เสียงของจางจงหมิงดังออกมาจากปลายสาย กล่าวอย่างยินดี “ไปกัน เดี๋ยวฉันจะพานายไปสนุกเอง”