เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 41 สถานการณ์ฉุกเฉิน อาหารเป็นพิษ
บทที่ 41 สถานการณ์ฉุกเฉิน อาหารเป็นพิษ
“ดูเหมือนว่ายิ่งดังเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ดีเท่านั้นสินะ”
ซูเย่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
หลังรายการตอนที่สองออกอากาศ เขาก็ได้รับคะแนนศีลธรรมเพิ่มขึ้นอีก 60 แต้ม มากกว่าตอนแรกถึง 10 แต้ม
เพราะการแสดงฝีมือของซูเย่ในรายการตอนที่สอง เตะตาคนดูมากกว่าในตอนที่หนึ่ง
และตอนที่สามยิ่งเตะตามากกว่าตอนที่สอง!
ครั้งนี้ เขาได้รับคะแนนศีลธรรมถึง 80 แต้ม
“ดูเหมือนว่าในอนาคต เราคงต้องแสดงฝีมือให้มากกว่านี้ ทุกคนจะได้เกิดแรงบันดาลใจมาเรียนแพทย์แผนจีน!”
เมื่อได้รับคะแนนศีลธรรม 80 แต้ม ซูเย่ก็มีคะแนนรวมอยู่ที่ 340 แต้มแล้ว
ถึงจะไม่น้อย แต่เป้าหมายคือ 1,000 แต้ม ซึ่งยังถือว่าห่างไกลนัก
…
วันต่อมา
ภายใต้การจัดแจงของทีมงาน
ทุกคนมาขึ้นรถบัสตามจุดที่ทีมงานนัดแนะเอาไว้ หลังจากนั้น รถบัสก็วิ่งตรงขึ้นไปสู่ท้องถนนบนภูเขา
นอกหน้าต่างปกคลุมด้วยพื้นที่โล่งกว้าง
ในช่วงฤดูหนาว หิมะโปรยปรายทุกหนทุกแห่ง
รถบัสโยกตัวไปมาระหว่างทางที่วิ่งไปบนถนนอันขรุขระ
“ผู้กำกับครับ พวกเราจะไปที่ไหนกันแน่?”
ในที่สุด นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูก็ถามออกมาอย่างทนไม่ไหว “ต้องใช้ถนนเส้นนี้อีกนานไหมครับ? ผมหัวโยกจนจะหลุดแล้วเนี่ย”
“อดทนหน่อยน่า เดี๋ยวผ่านเขาลูกนี้ไป ถนนข้างหน้าก็ขรุขระน้อยลงแล้ว” ผู้กำกับลุกขึ้นยืน เอนตัวพิงกับเบาะหน้าของรถบัส และพูดกับทุกคน
พูดยังไม่ทันขาดคำ
การสั่นสะเทือนของรถบัสก็หยุดลง
“เรียบร้อย”
ผู้กำกับจ้าวเหมียนสูดลมหายใจลึกและหันกลับไปมองถนนข้างหน้า “เห็นไหม ไม่มีถนนขรุขระแล้ว ในเมื่อทุกคนสงสัยว่าเรากำลังจะไปไหนกัน ผมก็จะให้คำตอบเดี๋ยวนี้”
เมื่อได้ยินคำนั้น
ทุกคนก็กางหูรอรับฟัง
“อย่างที่ผมเคยบอกนะ รายการของเราจะไปเปิดคลินิกสนามตรวจคนไข้ฟรี”
ผู้กำกับจ้าวเหมียนพูด “และสถานที่ที่พวกเรากำลังจะไปเป็นหมู่บ้านที่ยากจนมาก ถึงจะล่วงเลยเข้าสู่เดือนนี้แล้ว แต่อากาศก็ยังหนาวอย่างสุดขั้ว จึงเป็นเรื่องง่ายมากที่ชาวบ้านจะไม่สบาย”
“โดยเฉพาะหมู่บ้านที่อยู่ทางแถบตะวันตกเฉียงเหนือ”
“เรากำลังจะไปยังหมู่บ้านที่ชื่อว่าหม่าเจียโกว ซึ่งอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง”
“หมู่บ้านหม่าเจียโกวมีประชากรหลายร้อยคน แต่ด้วยความที่อยู่ห่างไกลความเจริญ สำหรับชาวบ้าน การเดินทางไปกลับระหว่างหมู่บ้านกับตัวเมืองต้องใช้เวลาถึงสี่วัน ดังนั้นถ้าเกิดมีใครเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา พวกเขาก็ไม่มีโอกาสไปหาหมอได้เลย”
“ทุกปีจะต้องมีชาวบ้านเสียชีวิตเพราะไม่ได้รับการรักษาจำนวนมาก และพวกเราจะไปเปิดคลินิกตรวจฟรีให้พวกเขานี่แหละ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น
ทุกคนก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจ
เขตตะวันตกเฉียงเหนือมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล สภาพแห้งแล้งทุรกันดาร ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ล้วนยากจน
เมื่อผู้กำกับบอกออกมาเช่นนี้
กลุ่มผู้เข้าแข่งขันก็รู้สึกซาบซึ้งในหัวใจและอยากจะไปช่วยเหลือชาวบ้านขึ้นมาทันที
“ตอนนี้ทุกคนก็พักผ่อนกันก่อนเถอะ เก็บพลังงานเอาไว้ให้เต็มที่”
จ้าวเหมียนพูดจบก็นั่งลงพักผ่อนเช่นกัน
รถบัสยังคงเดินทางต่อไปด้วยความเร็วคงที่
หลังจากนั่งหัวสั่นหัวคลอนกันมาเกือบตลอดทาง เมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามบ่าย สุดท้ายพวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทางที่หมู่บ้านหม่าเจียโกว
เมื่อทุกคนได้เห็นหมู่บ้านนี้จากไกลๆ พวกเขาก็ตาสว่างและรีบมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความตื่นเต้น
สิ่งที่กลุ่มผู้เข้าแข่งขันได้พบเห็นก็คือ….
ที่นี่มีสภาพค่อนข้างเปลี่ยวร้าง!
ไม่มีรถราสัญจรผ่าน
ซูเย่หรี่ตามองหมู่บ้านหม่าเจียโกวที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้า
บ้านทุกหลังเป็นสีเหลืองเก่าแก่ ทำขึ้นมาจากก้อนดิน
มีบ้านอิฐและบ้านไม้ให้เห็นเพียงไม่กี่หลัง ย่อมไม่มีบ้านที่ก่อขึ้นจากปูนซีเมนต์
เมื่อคิดถึงความเจริญรุ่งเรืองของพื้นที่ตะวันออกและย้อนดูความยากจนของที่นี่
ซูเย่ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
“หืม? นั่นชาวบ้านเขามารอต้อนรับพวกเราหรือไงนะ?”
ทันใดนั้น ผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งก็ชี้มือไปยังกลุ่มคนที่ยืนรวมตัวกันอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน
ทุกคนหันไปมองตาม
“จริงด้วยแฮะ มากันเยอะแยะเลย!”
“สงสัยพวกเขาคงดีใจที่พวกเราจะมาแน่ๆ! ถึงกับจัดงานเลี้ยงเลยเหรอเนี่ย?” บนรถบัส บรรดานักศึกษาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ดูเหมือนพวกเขาจะได้รับการต้อนรับจากชาวบ้านเป็นอย่างดี
หูของซูเย่รับฟังเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นรอบตัว แต่ดวงตาจ้องมองไปยังพื้นที่ข้างหน้า หัวคิ้วขมวดมุ่นเหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง
สีหน้าของชาวบ้านที่มายืนรวมตัวกันนั้น ไม่ใช่สีหน้าของคนที่มีความสุข แต่เป็นสีหน้าของคนที่กำลังตื่นตระหนกต่างหาก!
“เหมือนจะมีเรื่องเกิดขึ้นนะครับ”
ซูเย่เอนตัวไปพูดกับคนขับที่นั่งอยู่ข้างหน้า “ช่วยเร่งความเร็วหน่อยได้ไหมครับ?”
มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?
ทุกคนขมวดคิ้วหน้ายุ่งเมื่อได้ยินคำนี้
พวกเขารีบมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเร็วไว
มีเรื่องเกิดขึ้นในหมู่บ้านจริงๆ หรือ?
พวกเขาเห็นผู้คนมารวมตัวกันอยู่จำนวนมาก พร้อมด้วยซุ้มโคมไฟที่ตกแต่งอย่างสวยงาม นี่ก็สมควรเป็นการเฉลิมฉลองไม่ใช่หรือไง?
เกือบทุกคนจึงหันกลับมามองหน้าซูเย่ด้วยความไม่เข้าใจ
“สีหน้าของชาวบ้านผิดปกติ!”
ซูเย่ทำหน้ายุ่ง “ต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน”
เจ้าหมอนี่ อยู่ไกลขนาดนี้ยังมองเห็นสีหน้าชาวบ้านอีกได้ยังไง?
ทุกคนยิ่งมึนงงหนักมากไปกว่าเดิม
ผู้กำกับจ้าวเหมียนหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาซูมดูสีหน้าของชาวบ้านจากระยะไกล
หลังจากนั้น
เขาถึงได้เห็นว่ามีคนกำลังวิ่งไปวิ่งมาด้วยความตื่นตระหนก และสีหน้าของชาวบ้านบางคนก็บอกชัดว่ากำลังมีปัญหาจริงๆ
“มีเรื่องเกิดขึ้นจริงด้วย!”
ผู้กำกับจ้าวเหมียนหันกลับมามองหน้าซูเย่ด้วยความเหลือเชื่อ ก่อนจะออกคำสั่งบอกคนขับว่า “เร่งความเร็วเต็มที่ ไปถึงหมู่บ้านให้เร็วที่สุด แต่อย่าลืมความปลอดภัยของพวกเราด้วยละ!”
“รับทราบครับ!” คนขับรถพยักหน้าตอบ
ก่อนจะเหยียบเท้าลงไปบนคันเร่ง
ความเร็วของรถบัสเพิ่มมากขึ้น
รถบัสแล่นเข้าสู่หมู่บ้านหม่าเจียโกว
เมื่อรถบัสเข้ามาอยู่ในเขตของหมู่บ้าน ทุกคนถึงได้ยินเสียงร้องตะโกนด้วยความตื่นตกใจจากชาวบ้าน
ยิ่งรถบัสแล่นเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ เสียงตะโกนยิ่งดังขึ้นเท่านั้น
“หยุดครับ!”
ซูเย่ตะโกนบอกคนขับ และกระโดดลงจากรถทันที
เขาคว้าตัวชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังวิ่งวุ่นมาสอบถามว่า
“เกิดอะไรขึ้นครับ?”
“มีคนปวดท้องน่ะสิ!”
ชายคนนั้นตอบด้วยความร้อนรน “หลังจากที่ชาวบ้านส่วนหนึ่งรับประทานอาหารในงานเลี้ยงเข้าไป ครึ่งชั่วโมงต่อมา บางส่วนลงไปนอนชักดิ้นชักงออยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด และบางคนก็ถึงกับน้ำลายฟูมปากแล้ว”
“เรียกรถพยาบาลหรือยังครับ?”
นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูที่กระโดดลงจากรถบัสเป็นคนต่อมาสอบถาม
“คุณจะให้เรียกรถพยาบาลอะไร? กว่ารถพยาบาลจะมาถึง คนป่วยก็คงตายกันหมดแล้ว”
“พวกเราเป็นหมอครับ!”
ซูเย่รีบพูดออกมาโดยเร็ว “เราเป็นหมอจากในตัวเมืองที่จะมาเปิดคลินิกตรวจคนไข้ฟรีที่นี่ ตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รบกวนช่วยบอกอย่างละเอียดด้วยครับ”
เมื่อชาวบ้านผู้นั้นรู้ว่าซูเย่เป็นหมอ เขาถึงนึกออกว่าผู้ใหญ่บ้านเคยแจ้งว่าวันนี้จะมีกลุ่มหมอจากในเมืองจะมาเปิดคลินิกตรวจคนไข้ฟรีให้กับพวกเขา
โดยไม่พูดอะไรอีก เขาวิ่งนำหน้าซูเย่ไปหากลุ่มคนป่วยโดยทันที
“พวกเรารีบตามไป”
เมื่อจ้าวเหมียนก้าวลงมาจากรถ เขาก็สั่งให้ทีมงานตากล้องรีบติดตามทุกคนไปโดยเร็ว
ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ รีบติดตามซูเย่และกลุ่มชาวบ้านเข้าไปดูคนป่วย
พวกเขาเข้าไปในบ้านที่จัดซุ้มโคมไฟใหญ่โตหลังหนึ่ง
ลานโล่งหน้าประตูตั้งโต๊ะจำนวนมาก
ทุกโต๊ะเต็มไปด้วยจานอาหาร ไม่ใช่อาหารที่หรูหรา แต่ก็ถือว่าเป็นอาหารชั้นดี อาหารหลายจานยังไม่ถูกแตะต้องด้วยซ้ำ
“นี่คืออาหารในงานเลี้ยงสินะครับ?”
ซูเย่ถาม
“ใช่แล้วครับ”
ชาวบ้านรีบดึงตัวเขามาพูดว่า “นี่คืองานเลี้ยงวันเกิดครับ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆ ก็มีคนปวดท้อง คุณหมอประจำหมู่บ้านมาตรวจดูแล้ว ท่านบอกว่าอาหารเป็นพิษ”
“บางคนมีอาการท้องร่วงหนักมาก ส่วนบางคนก็มีอาการเพียงเล็กน้อย ส่วนคนที่เป็นหนักหน่อยก็ถึงกับต้องลงไปนอนบนพื้น ขยับตัวไม่ได้เลยครับ”
ระหว่างที่พูด ชาวบ้านคนนั้นก็เดินนำซูเย่เข้าไปในตัวบ้าน
ขณะนี้
ในบ้านมีคนอยู่หลายสิบคน
บางคนนั่งพิงกำแพงใบหน้าซีดเซียว
บางคนนอนอยู่บนพื้น น้ำลายฟูมปาก ท่าทางอาการน่าเป็นห่วง
บนพื้นห้องยังเต็มไปด้วยคราบอาเจียน
แต่ถึงจะมีแค่คราบการอาเจียนเท่านั้น สถานการณ์ก็ยังอยู่ในขั้นวิกฤตอยู่ดี
เมื่อเห็นเช่นนี้
ตากล้องที่วิ่งตามมาก็รีบถ่ายภาพเอาไว้โดยไม่รอช้า
“มีคุณหมอมาช่วยพวกเราแล้ว”
ชาวบ้านที่จับมือซูเย่อยู่ร้องตะโกนเสียงดัง “พวกเขาเป็นหมอจากในตัวเมืองที่ผู้ใหญ่บ้านพูดถึงก่อนหน้านี้ไง ทุกคนรีบหลีกทางให้คุณหมอเข้าไปตรวจเร็ว”
หลังจากนั้น
กลุ่มคนที่กำลังดูแลคนป่วยก็แตกฮือออกไปอย่างรวดเร็ว
“มีชุดฝังเข็มไหมครับ?”
เมื่อเห็นผู้ป่วยหลายคนอยู่ในภาวะวิกฤต ซูเย่ก็หันหน้าไปถามทีมงาน แต่ไม่มีใครพกอุปกรณ์สำหรับการรักษาคนไข้มาเลยสักคน!
“มีค่ะ!”
ทันใดนั้น ทีมงานฝ่ายจัดเตรียมอุปกรณ์ก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเปิดกระเป๋าเอกสารและหยิบชุดเข็มเงินสำหรับการฝังเข็มส่งให้ซูเย่
ชายหนุ่มไม่ลังเล
เขาจับชีพจรและเริ่มการฝังเข็มรักษาคนไข้
ผู้เข้าแข่งขันอีกเก้าคนที่วิ่งตามมาในขณะนี้ก็เริ่มแยกย้ายกันไปตรวจอาการคนไข้คนอื่นๆ แล้วเช่นกัน
“มัวยืนทำอะไรกันอยู่ ไม่รีบแยกย้ายกันไปเก็บภาพเอาไว้อีก?”
ผู้กำกับจ้าวเหมียนตะโกนออกคำสั่งด้วยความฉุนเฉียว
นี่แหละฉากเด็ด!
เหตุการณ์เฉพาะหน้าที่จะทดสอบความสามารถของผู้เข้าแข่งขันทุกคน คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมากในรายการโทรทัศน์
ต่อให้รักษาไม่สำเร็จ แต่เหตุการณ์นี้ก็จะกลายเป็นฉากเด็ดที่แสดงถึงความทุ่มเทของกลุ่มผู้เข้าแข่งขัน
ซูเย่หันไปบอกผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ว่า “นี่คือสถานการณ์เร่งด่วน ต่อให้พวกนายไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ แต่ชีวิตคนต้องมาก่อน รีบรักษาคนไข้ซะ อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องอื่น นี่คือคุณสมบัติข้อแรกที่คนเป็นหมอควรจะมี!”
เมื่อได้ยินคำนั้น ทุกคนก็เริ่มต้นการรักษา
พวกเขารู้ดีว่าเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญ
ถ้าไม่รีบรักษาให้รวดเร็วมากพอ คนไข้หลายรายอาจจะถึงแก่ความตายก็เป็นได้
“แล้วนี่คุณหมอประจำหมู่บ้านไปไหนครับ?”
ซูเย่ถามชาวบ้านที่ยืนรวมตัวอยู่ด้านข้าง
“คุณหมอไปเอายาอยู่ค่ะ ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย”
ชาวบ้านคนหนึ่งตอบกลับมา
ซูเย่พยักหน้าด้วยความเข้าใจ
เขาพบว่าคนไข้หลายรายมีอาการหนัก จึงรีบเดินเข้าไปถ่ายทอดพลังลมปราณล้างพิษ
เมื่อมีพลังลมปราณช่วยขับไล่ พิษภายในร่างกายก็ทะลักขึ้นลำคอและถูกระบายออกมาผ่านการอาเจียน
ไม่จำเป็นต้องใช้เข็มเงินอีกแล้ว
ซูเย่ถ่ายทอดพลังลมปราณให้คนไข้รายต่อไป
ดังนั้น คนไข้ที่มีอาการหนักทั้งสิบคนจึงฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยการรักษาของซูเย่
เมื่อได้รับการฝังเข็มย้อนหลัง
บรรดาผู้คนที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นเมื่อสักครู่ก็สามารถลุกขึ้นมานั่งได้แล้ว
พอเห็นเช่นนี้
บรรดาชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์จึงสามารถถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ซูเย่หันไปมองคนไข้รายอื่นๆ
และพบว่า
ผู้เข้าแข่งขันอีกเก้าคนก็ทำการรักษาอาการคนไข้จนอาการทุเลามากแล้ว
ในเวลาเดียวกันนี้ ลู่จวิ้นก็กำลังหันมามองที่ซูเย่เช่นกัน
“หายเร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?”
ลู่จวิ้นตกใจมากเมื่อเห็นว่าคนไข้ที่ได้รับการดูแลจากซูเย่ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว…
เมื่อได้ยินเสียงอุทานของหญิงสาว คนอื่นๆ ก็หันมาจ้องมองที่ซูเย่เช่นกัน
และก็ได้พบว่าคนไข้ของเขาดีขึ้นราวกับปาฏิหาริย์
ดวงตาของทุกคนเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ
“นั่นมันกลุ่มผู้ป่วยอาการหนักไม่ใช่หรือไง?”
“แค่การฝังเข็มจะช่วยทำให้หายดีได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ? มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน?”
“เขาฝังเข็มเก่งถึงขนาดนี้เลยเหรอ?”
แม้แต่หวังจี้เชาก็ยังอดประหลาดใจในประสิทธิภาพการรักษาของซูเย่ไม่ได้
ซูเย่เลือกรักษาแต่คนไข้ที่มีอาการหนักที่สุด ดังนั้นทุกคนจึงคิดไม่ถึงเลยว่าคนไข้ของชายหนุ่มจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนไข้ที่มีอาการปานกลางหรือที่มีอาการเพียงเล็กน้อยด้วยซ้ำ
“ยามาแล้ว”
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นนอกบ้าน
ชายชราคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพร้อมกับกล่องยาขนาดใหญ่ “ถึงจะช่วยรักษาไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยแก้ปวดได้พอสมควร เอาไปแจกจ่ายให้คนที่อาการหนักที่สุดกินก่อน”
ชายชราว่า
กำลังจะเปิดกล่องยา
แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่ากลุ่มผู้ป่วยอาการหนักกลับได้รับการรักษาแล้ว
…คุณหมอประจำหมู่บ้านจึงถึงกับตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก