เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 59 ซูเย่และหลี่มู่เสวี่ยพบหน้า
บทที่ 59 ซูเย่และหลี่มู่เสวี่ยพบหน้า
เมื่อเห็นข่าวที่สื่อรายใหญ่รายงานจากห้องประชุม และได้เห็นขั้นตอนที่ซูเย่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง รวมทั้งได้เห็นรูปภาพทั้งหมด ชาวเน็ตก็ยิ่งแตกตื่นมากกว่าเดิม
“แม่เจ้า! พลิกกระดานแล้ว”
“ซูเย่เจ๋งเกินไปแล้ว พุ่งไปเคลียร์ถึงห้องหัวหน้าฝ่ายวิชาการ”
“งั้นก็แสดงว่า ไม่ใช่ซูเย่ลอกงานแฟนสาวของเขา แต่แฟนสาวของซูเย่ต่างหากที่ลอกงาน?”
“ฉันบอกแล้วไงว่าซูเย่บริสุทธิ์”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว ผู้หญิงที่ชื่อหลี่มู่เสวี่ย ดูเหมือนจะเป็นคนน่ารักไร้เดียงสา แต่จิตใจกลับดำมืดขนาดนี้ น่ากลัวจริงๆ จิตใจอันบอบบางของฉันรับการกระทำแบบนี้ไม่ได้ ฮื่อ~”
“ฉันพอจะเข้าใจความรู้สึกของซูเย่นะ ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ถูกแฟนเก่าหักเหลี่ยมโหดแบบนี้ แต่ในใจคงยังทำใจไม่ได้ ถึงได้ยอมรับคำสบประมาทจากผู้คนมากมายแทนที่จะทำให้เธอได้รับบทลงโทษ สุดท้ายภายใต้การลงโทษของมหาวิทยาลัย เขาได้เลือกที่จะลาออกเอง นี่มันคือความรักที่ล้นเหลือ”
“น่าเสียดาย หลี่มู่เสวี่ยไม่มีวันเข้าใจ ซูเย่ละทิ้งการเรียนป.ตรีโทเอกเพราะเธอคนเดียว ชื่อเสียงป่นปี้ แต่เธอกลับหาโอกาสทำลายเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อให้เธอออกมาพูดแก้ต่างแทนเขาบ้าง เรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้ ซูเย่ก็คงไม่ถึงขนาดเอาหลักฐานออกมากางต่อหน้าทุกคน เป็นตัวเธอเองที่โง่งมเกินไป!”
ในตอนนี้ทิศทางของคอมเมนท์เปลี่ยนไปอีกครั้ง
หัวข้อ ‘ซูเย่พิสูจน์ตัวเอง’ พุ่งทะยานไปครองอันดับหนึ่งในการค้นหายอดนิยม!
สองพี่น้องไป๋ที่เพิ่งเห็นข่าวใหม่ในเวยป๋อ พวกเธอก็มองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา เมื่อเห็นความเห็นและโพสต์ในหัวข้อการค้นหายอดนิยม ในที่สุดคิ้วเรียวที่ตึงเครียดมาทั้งวันก็ผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์
“พี่จือหราน”
ไป๋จือเหยียนวางไอแพดที่เธอถืออยู่ในมือลง พลางยิ้มแล้วมองไปทางไป๋จือหรานที่อยู่ด้านข้าง แล้วเอ่ยถาม “พี่คิดว่าซูเย่จะเป็นโรคกลัวความรักเพราะเหตุการณ์นี้ไหม เพราะงั้นเขาเลยทำหน้าตายด้านได้ทั้งวัน..”
“เอ่อ…”
ไป๋จือหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยตอบ “เป็นไปได้”
……
มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง หอพักชาย
“เสี่ยวเย่ จัดการได้สวย!”
จินฟานและซูชือต่างก็ตบเข่าฉาดอย่างยินดี
……
มหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตู
“เห้อ”
เมื่อเห็นข่าวที่เพิ่งแชร์มา หวังจี้เชาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ก่อนหน้านี้เขาได้เข้าใจผิดไป และตอนนี้ความจริงก็กระจ่างแล้ว!
ซูเย่ถือว่าได้แก้ไขความคับข้องใจเสียที แต่น่าเสียดายที่ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูก็จะได้รับความเสียหายจากเหตุนี้ด้วย และในอนาคตชาวเน็ตจะต้องเยาะเย้ยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เห้อ ถือว่าหาเรื่องใส่ตัวก็แล้วกัน
……
“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าลูกชายเราไม่มีปัญหา เราอบรมสั่งสอนมาอย่างดี จะไปทำนิสัยแบบนั้นได้ยังไง”
คุณพ่อซูยิ้มและเอาข่าวที่ซูเย่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้คุณแม่ซูดู
“คุณไม่ต้องเอามาให้ฉันดู ลูกฉันฉันรู้ดี ฉันรู้ว่าลูกชายของฉันเป็นผู้บริสุทธิ์!”
คุณแม่ซูกล่าวอย่างภาคภูมิใจขณะถือตะหลิวอยู่ในมือ แต่เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบดูหน้าจอโทรศัพท์ของคุณพ่อซู
“ฮึ!“
หลังจากดูคุณแม่ซูใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง “เจ้าลูกคนนี้ไม่รู้จักพูดความจริง มีแฟนก็ไม่เห็นจะบอกกันเลย ตอนนี้ถูกคนเขาใส่ร้ายเลย เป็นไงละ ฉันละสมน้ำหน้าลูกตัวเองจริง ๆ!”
ขณะพูดก็หันกายไปปรุงอาหารต่อ
ในตอนที่หันหลังกลับ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็เผยออกมา
……
ตอนที่หลี่มู่เสวี่ยเห็นหัวข้อค้นหายอดนิยม ใบหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
……
ติ๊ดติ๊ดติ๊ด……
หลักออกมาจากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตู ซูเย่ก็ขึ้นรถเตรียมจะไปสนามบินเพื่อกลับบ้าน ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเขาก็ส่งเสียงเตือนสายเรียกเข้า
เมื่อควักออกมาดู รายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอคือหลี่มู่เสวี่ย…
“ฮัลโหล”
แต่เดิมซูเย่อยากกดปฏิเสธ แต่เมื่อคิดดูแล้ว ในเมื่ออยากทำให้เรื่องมันจบเสียที งั้นก็จัดการให้จบอย่างสมบูรณ์แบบไปเลย
“ซูเย่ ฉันรู้ว่านายยังอยู่ตี้ตู ฉันต้องการเจอนาย”
น้ำเสียงของหลี่มู่เสวี่ยที่ดังมาจากปลายสายเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น “ไหนๆ เรื่องได้มาถึงจุดนี้แล้ว ฉันคิดว่าเราจำเป็นต้องนั่งลงพูดคุยกันและทำให้เรื่องนี้กระจ่าง!”
“ฉันรอนายอยู่ที่ศาลาซีซาน”
หลังจากพูดจบก็วางสายทันที
ศาลาซีซาน อยู่ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งใกล้กับมหาวิทยาลัยตี้ตู ตอนนั้นพวกเขาสองคนมักจะมาเดินเล่นด้วยกันบ่อยๆ
ซูเย่มองเวลา แล้วหันกายเดินไปทันที
ตอนที่เขามาถึงศาลาซีซาน หลี่มู่เสวี่ยก็รออยู่แล้ว
“ทำไม?!”
เมื่อเห็นซูเย่จากระยะไกล หลี่มู่เสวี่ยก็เดินเข้าไปด้วยความโกรธ ชี้นิ้วไปที่ซูเย่และถามอย่างโกรธเคือง “ทำไมนายถึงทำแบบนี้?
“นายไม่ต้องออกมาพูดอะไรก็ได้นี่ นายไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ นายมีทุกสิ่งที่นายต้องการอยู่แล้ว นายได้กลายเป็นอัจฉริยะด้านแพทย์แผนจีน นายกลายเป็นไอดอลในสายตาของผู้คนนับพัน ทำไมนายถึงยังต้องพูดเรื่องนี้ด้วย”
“นายประสบความสำเร็จแล้ว ทำไมนายต้องกลับมาทำลายฉัน”
หลี่มู่เสวี่ยเอ่ยขึ้นอย่างเจ็บปวด “ซูเย่ นายทำเกินไปแล้ว”
ซูเย่มองดูอย่างเฉยเมย เงียบงัน แต่บางครั้งก็หลุดยิ้มออกมาบ้างระหว่างรอจนหลี่มู่เสวี่ยพูดจบ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจและพูดว่า “หลี่มู่เสวี่ย ฉันให้โอกาสเธอและให้เวลาเธอหนึ่งปีเต็มเพื่อรอคำอธิบาย ฉันหวังว่าเธอจะอธิบายให้ฉันฟังได้”
“แต่คำพูดของเธอเมื่อกี้ทำให้ฉันได้เข้าใจเธอใหม่ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าเธอจะเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้”
“ก่อนหน้านี้ฉันสงสัยมากว่าทำไมเธอถึงได้ทำอย่างนี้ แต่ตอนนี้ฉันหายสงสัยแล้ว ฉันได้รู้คำตอบที่ต้องการแล้ว”
“คนเห็นแก่ตัวไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลที่จะเห็นแก่ตัว!”
เมื่อพูดจบ ซูเย่ก็หันกายเตรียมเดินจากไป เขาไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับผู้หญิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคนนี้อีก
คนคนหนึ่งต่อให้ภายนอกงดงามเพียงใด แต่ภายในสกปรกโสมม ก็อัปลักษณ์หาใดเปรียบ
“นายหยุดเดี๋ยวนี้!”
หลี่มู่เสวี่ยก้าวเข้าไปคว้าแขนของซูเย่ไว้ทันทีและพูดอย่างโกรธเคือง “ทำไม? ทำไมนายถึงทำกับฉันอย่างนี้?”
“ปล่อยมือ”
ซูเย่พูดอย่างเฉยเมย
“นายไปบอกพวกเขาว่าหลักฐานพวกนั้นเป็นของปลอม …นายปลอมแปลงมันขึ้นมาได้ไหม”
หลี่มู่เสวี่ยกล่าวอย่างอ้อนวอน
ซูเย่มองหลี่มู่เสวี่ยอย่างไม่เชื่อสายตา เขาไม่คิดว่าหลี่มู่เสวี่ยจะยังสามารถพูดคำพูดแบบนี้ออกมาได้
“ปล่อยมือ”
น้ำเสียงของซูเย่แข็งกระด้างยิ่งกว่าเดิม
”นายจะพูดหรือไม่พูด?”
“ปล่อยมือ”
“นายทำลายฉัน ฉันไม่ปล่อยนายไปแน่”
ดวงตาของหลี่มู่เสวี่ยเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ
เธอคว้าแขนของซูเย่และขู่ว่า “ฉันจะไม่ปล่อยนายไปแน่ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ฉันจะทำให้นายเสียใจ!”
“ปล่อย!”
ซูเย่มองไปที่หลี่มู่เสวี่ยอย่างเฉยเมยและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์
“เธอจะไม่ปล่อยใช่ไหม?”
“ปัง!!”
ทันใดนั้นหลี่มู่เสวี่ยคลายการเกาะกุมแขนของเขาราวกับว่าเธอถูกฟ้าผ่าหรือระเบิดโดยบางสิ่ง
หลี่มู่เสวี่ยตกตะลึง เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ตนเองถึงได้ปล่อยมือ?
“ตอนนี้เรามาจากสองโลกที่ต่างกัน”
ซูเย่มองดูเธออย่างเศร้าๆ และพูดว่า “คำขู่ของเธอใช่ไม่ได้ผลกับฉัน”
“อยากรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?”
ขณะที่พูด ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นอย่างนุ่มนวลและเสริมว่า “แล้วฉันจะแสดงให้คุณเห็นว่าฉันเป็นใคร”
“ลม!”
พึ่บ—— ลมกระโชกแรงพัดมา
“ฝน!”
ซูเย่ตะโกนอีกครั้ง
วินาทีถัดมา เบื้องหน้าหลี่มู่เสวี่ยและเขา ทันใดนั้นฝนก็ตกลงมาจากท้องฟ้า ราวกับมีกำแพงกั้นพวกเขาไว้
ฉากนี้ทำให้หลี่มู่เสวี่ยตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม เธอไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น แต่หญิงสาวก็ยังคงยื่นมือออกมา ฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้าต่อหน้าเธอช่างเย็นยะเยือก สมจริง และแฝงไว้ด้วยความหนาวเย็นเสียดแทงไปถึงกระดูก!!
เธอมองผ่านสายฝนและเห็นแผ่นหลังซูเย่ที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว
เหลือเพียงประโยคเดียว
“อย่าได้เจอกันอีกเลย”
เมื่อซูเย่เดินลับไป แต่ม่านฝนยังตกลงมาไม่ขาดสาย หลี่มู่เสวี่ยก็ได้แต่ยืนอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวัง ยืนอยู่กับที่อย่างเฉื่อยชาเป็นเวลานาน จนเธอรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงกระดูก จากนั้นหญิงสาวก็มีอาการสั่นไปทั้งตัว เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อโทรหาซูเย่ โทรออกซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ไม่มีใครรับแม้แต่สายเดียว
หลังจากนั้น หลี่มู่เสวี่ยสงบลงอย่างสมบูรณ์ ใบหน้าที่บริสุทธิ์และน่ารักของเธอขาวซีด และดวงตาที่ว่างเปล่าของหญิงสาวก็เต็มไปด้วยความตกใจและเสียใจ
ทำไม? ทำไมตอนนั้นฉันถึงทำอย่างนั้น?
“ตอนนั้นฉันเป็นแฟนนาย… แต่ทำไมกัน?!”
เมื่อเธอพูดออกมา รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ซีดเซียว แต่ครู่ต่อมาก็มีม่านหมอกในดวงตาและความเจ็บปวดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลี่มู่เสวี่ยจางๆ
……
มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง อาคารสำนักงาน
หลี่เคอหมิงกำลังรอข่าวของซูเย่อย่างจดจ่อ แม้ว่าเขาจะไม่เคยเล่นเวยป๋อมาก่อน แต่เขาได้ลงทะเบียนบัญชีเวยป๋อและคอยรีเฟรชหน้าข่าวที่เกี่ยวกับซูเย่เสมอ
ในที่สุด หลี่เคอหมิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากเห็นข่าวว่าซูเย่ได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาแล้ว
“แน่นอน ฉันไม่ได้ดูคนผิด!”
หลี่เคอหมิงไล่อ่านหัวข้อข่าวที่ซูเย่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาด้วยความพึงพอใจ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คนที่มีพรสวรรค์ในการเรียนมากขนาดนี้ จะลอกงานคนอื่นไปทำไมกัน”
“ติ๊ดติ๊ดติ๊ด…”
ในเวลานี้ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น หลี่เคอหมิงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เมื่อมองดูจึงเห็นว่าเป็นสายจากอธิการบดี
“สวัสดีครับ”
หลี่เคอหมิงยิ้มและกดรับโทรศัพท์อย่างไร้ความกังวลใจ
“ไม่เลว”
น้ำเสียงที่พึงพอใจของอธิการบดีดังมาจากปลายสาย “ซูเย่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจอย่างชัดเจนแล้ว และเบื้องบนก็ได้รับรู้แล้ว แผนกองทุนพิเศษยังคงไม่เปลี่ยนแปลง”
“งั้นก็ดีแล้วครับ!”
หลี่เคอหมิงยิ้มรับ
“เรื่องราวได้รับการแก้ไขอย่างน่าพอใจแล้ว ได้เวลาไปรับศิษย์น้องคนอื่นๆ มาเป็นประจักษ์พยานในพิธีรับศิษย์ได้แล้ว”
หลี่เคอหมิงหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ หลังจากวางสาย เขาก็เก็บของเดินออกจากห้องทำงานทันทีและออกจากมหาวิทยาลัยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ท้ายที่สุด ซูเย่ก็ได้คารวะปรมาจารย์ฮัวเป็นอาจารย์
เนื่องจากเป็นพิธีทางการ จึงเป็นเรื่องปกติที่ต้องมีประจักษ์พยานที่น่าเชื่อถือและมีน้ำหนักพอ แค่ตัวเขาหลี่เคอหมิงคนเดียวยังไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงต้องไปรับสองท่านนั้นที่อาจารย์เป็นคนเชิญมาด้วยตัวเอง!
ในคืนวันเดียวกัน
ระหว่างที่ชาวเน็ตกำลังท้วงความยุติธรรมจากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตู ทางมหาวิทยาลัยก็ได้ออกประกาศหนึ่งฉบับ
“ทางมหาวิทยาลัยขอแก้ไขกรณีลอกงานของนักศึกษาซูเย่ ดังนี้…”