เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 7 ศึกสายเลือด!
บทที่ 7 ศึกสายเลือด!
“นี่ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นขอบตาของซูเย่แดงก่ำ คุณแม่ซูก็เอ่ยถามด้วยใบหน้าที่เป็นห่วง
“เรียนหนักเกินไปหรือเปล่า? หรือที่มหาวิทยาลัยมีปัญญาอะไร? ”
“เปล่าครับ”
ซูเย่หัวเราะกลบเกลื่อน “ผมแค่คิดถึงพ่อกับแม่!”
นี่เป็นประโยคที่สะเทือนอารมณ์ของเขาที่สุดในสองพันห้าร้อยปีนี้
คุณแม่ซูได้ยินดังนั้นพลันยิ้มแย้ม “มหาวิทยาลัยของลูกอยู่ห่างจากบ้านเพียงชั่วโมงกว่าๆ ถ้าลูกคิดถึงบ้านก็กลับมาได้เสมอนะ!”
คุณพ่อซูเดินไปด้วยรอยยิ้มและช่วยซูเย่ถือสัมภาระเข้าไปในห้อง
“พ่อครับแม่ครับ วันนี้ผมเอาของดีๆ มาด้วย เดี๋ยวผมทำโจ๊กให้นะ”
ทันทีที่เขาเก็บสัมภาระ ซูเย่ก็หยิบหญ้าปราณที่หวังห่าวให้เขามาและเดินเข้าไปในครัว
“โอ๊ะ แพทย์แผนจีนไม่ได้เรียนมาอย่างเปล่าประโยชน์ ต้มโจ๊กเป็นแล้ว ได้สิ งั้นเดี๋ยวลองชิมฝีมือของลูกดู”
พ่อซูกล่าวชมด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นท่าทีของผู้เป็นลูกชาย คุณพ่อและคุณแม่ซูก็ไม่เกรงใจ ไปนั่งดูทีวีในห้องนั่งเล่นอย่างมีความสุข ปล่อยให้ซูเย่จัดการในครัวตามใจ
ซูเย่ไม่กล้าแตะอย่างอื่นในครัว หญ้าปราณที่หวังห่าวให้มา จริงๆ แล้วมันเกินจำนวนที่ซูเย่ต้องการ เขาเลยเอาส่วนที่ยังเหลืออยู่เทใส่ลงในหม้อปรุงเป็นโจ๊ก เมื่อจับๆ คลำๆ อย่างงุนงงอยู่พักหนึ่ง คุณแม่ซูก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อไล่ซูเย่ออกไป และจัดการปรุงอาหารรสเลิศด้วยตัวเอง
ยามเย็น ทั้งครอบครัวทานข้าวที่ห้องรับรอง
“พ่อครับ แม่ครับ มาลองชิมโจ๊กที่ผมต้มให้ดูสิ”
เมื่อตั้งโต๊ะอาหาร ซูเย่รีบยกโจ๊กที่ทำด้วยตัวเองมาให้พ่อแม่คนละถ้วยทันที คุณแม่ซูพลันยิ้มแย้มรับถ้วยมาแล้วเริ่มกิน
คุณพ่อซูเหลือบมองที่ถ้วยโจ๊ก ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาเหลือบมองซูเย่ด้วยดวงตาที่ซับซ้อนแต่ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียง
ทั้งครอบครัวเริ่มรับประทานอาหารอย่างมีความสุข
ในวันนี้ คุณพ่อคุณแม่ซูกินอย่างมีความสุข และซูเย่ที่ได้กินอาหารที่บ้านอีกครั้งหลังจากผ่านไปสองพันห้าร้อยปีก็มีความสุขมากยิ่งกว่า
หลังจากรับประทานอาหาร
“โอ้ หิมะตกแล้ว”
คุณแม่ซูเก็บกวาดถ้วยชาม พลันเหลือบมองเห็นหิมะโปรยปรายนอกหน้าต่าง
“หิมะตกเป็นลางบอกว่าปีหน้าจะอุดมสมบูรณ์”
คุณพ่อซูเอ่ย
คุณแม่ซูนึกอะไรบางอย่างได้ทันใด และรีบเข้าไปในห้องนอน เดินยิ้มออกมาพร้อมกับอัลบั้มรูปในวัยเด็กของซูเย่
“นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้ดูรูปถ่าย เสี่ยวเย่เข้ามาดูด้วยกันสิลูก”
ขณะนั่งบนโซฟา แม่ซูดึงซูเย่ไปด้านข้างและพูดขณะดูอัลบั้มภาพ
“โตขึ้นจนจำแทบไม่ได้เลย!”
“ดูท่าทางแปลกๆ ของลูกตอนยังเป็นเด็กสิ มันแตกต่างจากลูกในตอนนี้โดยสิ้นเชิง ปีที่ลูกเกิดน่ะ ทำพ่อกับแม่วุ่นวายใหญ่เลย”
“พ่อเขาอยากได้ลูกสาว แม่ก็อยากมีลูกชาย แต่หลังจากคลอดลูกออกมา ลูกก็ซุกซนทำเอาเหนื่อยแย่เลย”
คุณแม่ซูยิ้ม “ตอนนั้นลูกซนมาก แม่เลยโทษตัวเอง ทำไมถึงไม่คลอดลูกสาวกันนะ แต่พ่อของลูกก็ดูมีความสุขแล้วพูดอยู่เสมอว่ามีลูกชายที่ซุกซนก็ดีเหมือนกัน…”
พ่อซูอยู่เคียงข้าง หัวเราะอย่างมีความสุขยามนึกถึงวันวาน
ครอบครัวสามคนนั่งคุยสัพเพเหระกันจนถึงสี่ทุ่ม หญ้าปราณในร่างกายของคุณแม่ซูถูกย่อยในที่สุด และพลังปราณที่เพียงพอก็ทำให้เธอเริ่มรู้สึกง่วงนอน
เมื่อคุณแม่ซูเข้านอน ซูเย่ก็เตรียมที่จะเข้านอนเช่นกัน แต่คุณพ่อซูก็เดินออกมาจากห้องนอนอย่างเงียบเชียบ แล้วชี้ไปที่ด้านนอก
ซูเย่พยักหน้า
เมื่อมาถึงนอกบ้าน พ่อลูกเดินเคียงกันโดยไร้คำพูด ตรงเข้าไปในสวน ท่ามกลางแสงจันทร์ที่อาบย้อมเกล็ดหิมะ
“พ่อเพิ่งช่วยแม่ปรับฤทธิ์สมุนไพรในร่างกาย ว่ามาสิ เอามาจากที่ไหน”
คุณพ่อซูที่เงียบงันมาตลอดทางเอ่ยขึ้นฉับพลัน
“ใช้ความสามารถแลกมาครับ”
ซูเย่รู้ดีว่าพ่อกำลังถามอะไร
หญ้าปราณเหล่านั้นในโจ๊ก
“ทำการแลกเปลี่ยนมา?”
คุณพ่อซูเหลือบมองที่ซูเย่
ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างได้และถามด้วยความประหลาดใจ “ลูกเห็นปราณในร่างกายของพ่อใช่ไหม ลูกเข้าใจสิ่งที่พ่อกำลังถามใช่ไหม”
“เห็นครับ”
ซูเย่พยักหน้า
คุณพ่อซูประหลาดใจ เขาซ่อนมันไว้เป็นอย่างดี นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีคนสังเกตเห็นว่ามีพลังปราณในร่างกายของเขา! หนำซ้ำคนคนนั้นยังเป็นลูกชายของตัวเอง
สวบ! ไม่พูดจาให้มากความ ขยับฝีเท้าโดยพลัน เพื่อประลองฝีมือกับซูเย่ และชายหนุ่มเองก็ไม่ลังเล เมื่อรู้ว่าพ่อของเขาต้องการทดสอบ ก็เตรียมตั้งรับทันที ดูเหมือนพ่อลูกจะต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่จริงๆ แล้วพวกเขาไม่ได้ใช้การโจมตีที่มีความอันตรายเลยแม้แต่น้อย
หลังประมือกันได้สิบกระบวนท่า ซูเย่ค้นพบว่าพ่อของเขาอยู่ระดับ 4 เปิดสองเส้นลมปราณ มันไม่ใช่ฝึกแบบธรรมดา แต่แข็งแกร่งกว่าคนในระดับเดียวกันแน่นอน และมันเทียบได้กับการฝึกปราณโบราณ!
ซูเย่พลันตกตะลึง
เขาคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าพ่อของเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แถมยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งมากอีกด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้ในรอบสองพันห้าร้อยปี ก่อนที่เขาจะข้ามห่วงแห่งกาลเวลาเขารู้เพียงว่าพ่อเป็นคนธรรมดา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของเขาแท้จริงแล้วเป็นผู้ฝึกยุทธ์
เมื่อเทียบกับซูเย่ คุณพ่อซูตกตะลึงยิ่งกว่า
ความแข็งแกร่งของระดับสี่ เปิดสองเส้นลมปราณของเขาไม่สามารถเอาชนะเจ้าลูกคนนี้ได้ในเวลาอันสั้น?
…ยิ่งไปกว่านั้น การแสดงออกของซูเย่ในทุกด้านนั้นไร้ที่ติ ซึ่งทำให้เขาตกใจอย่างมาก
ผลั่ก!
หลังจากประลองกันไปหลายกระบวนท่า พ่อลูกก็งัดไม้ตายสุดท้ายออกมา ซูเย่ก้าวถอยหลังหลายก้าว ร่างของคุณพ่อซูโอนเอนเบา ๆ
“ลูกไปฝึกฝนตอนไหน?”
พ่อซูถามอย่างประหลาดใจ “พ่อจำได้ว่าก่อนที่ลูกจะไปเรียน ยังไม่ได้ฝึกแน่ ๆ”
“ประเทศได้ส่งเสริมเกม Fantasy Dream ซึ่งใช้ในการฝึกฝนและคัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์ที่เหมาะสำหรับการฝึกปราณ
ซูเย่กล่าวว่า “ผมถูกเลือก”
Fantasy Dream? ทันใดนั้นคุณพ่อซูก็ขมวดคิ้ว “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ประเทศจะส่งเสริมอย่างจริงจัง อย่างนี้นี่เอง ประเทศต้องการส่งเสริมการฝึกปราณในวงกว้างสินะ?”
ซูเย่พยักหน้า
“เฮ้อ!”
คุณพ่อซูถอนหายใจยาวหนึ่งเฮือก หันกายเดินไปนั่งในศาลาที่ตั้งอยู่ด้านข้าง มองดูหิมะโปรยปรายบนท้องฟ้า ตกสู่ความเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนจะนึกขึ้นได้และกล่าวต่อ
“ในเมื่อตอนนี้ลูกได้เดินบนเส้นทางสายนี้แล้ว พ่อก็จะไม่ปิดบังอีกต่อไป”
“อันที่จริง เมื่อลูกยังเด็ก พ่อพบว่าร่างกายของลูกเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการฝึกฝน เมื่อเทียบกับพวกกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะแล้ว มันไม่ได้ด้อยกว่าเลย แต่พ่อไม่อยากให้ลูกฝึกฝน”
ซูเย่ถามอย่างสงสัย “ทำไมครับ”
“ลูกไม่คิดหรือว่าเป็นคนธรรมดามันก็ดีนะ”
พ่อซูมองไปที่ซูเย่ “คนธรรมดาสามารถมีชีวิตที่สงบสุขและมีความสุขไปตลอดชีวิต แต่โลกของผู้ฝึกยุทธ์นั้นไม่เหมือนกัน”
ซูเย่พยักหน้ารับ เขารู้ดีว่าพ่อเป็นห่วงเขา ผู้ฝึกยุทธ์ไม่อาจมีความสงบสุข และหาเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นก็อาจมีอันตรายถึงชีวิต แต่เขาได้เลือกเดินบนเส้นทางนี้แล้ว และเดินมาเป็นเวลาสองพันห้าร้อยปี จึงไม่อาจย้อนกลับไปได้อีกแล้ว
ไม่ว่าความมืดมิดในโลกผู้ฝึกยุทธ์จะมีมากเพียงใด แก่งแย่งกันมากเพียงใด เขาก็ไม่หวั่น!
ซูเย่ยิ้ม “พ่อครับ ผมมีคำถาม”
“ว่ามา”
“พ่อก็อายุไม่น้อยแล้ว ตั้งแต่เด็กผมไม่เคยเห็นพ่อใช้ทรัพยากรอะไรเลยในการฝึกฝน แต่ก็ฝึกฝนจนถึงระดับที่สี่ เปิดสองเส้นลมปราณ ความสามารถนี้ไม่อาจดูเบาได้จริง ๆ”
“ไอ้ลูกคนนี้ ไม่ได้โดนไม้เรียวมาหลายปี ปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ”
ใบหน้าของพ่อซูเริ่มกระอักกระอ่วนและแกล้งพูดอย่างโกรธเคือง
เห็นได้ชัดว่าเจ้าลูกคนนี้กำลังหัวเราะเยาะเขา! ลูกชายเพิ่งฝึกได้ไม่นานเท่าไหร่ก็เลื่อนถึงระดับที่สามแล้ว แต่พ่ออายุปูนนี้เพิ่งจะระดับที่สี่ เปิดสองเส้นลมปราณ!
“พ่อเคยได้ยินเกี่ยวกับโลก Fantasy Dream ไหมครับ”
หลังจากหยอกล้อพ่อของเขา ซูเย่ก็ถามอย่างจริงจัง
“หือ?”
ใบหน้าของคุณพ่อซูแข็งค้าง เมื่อมองไปที่ดวงตาของซูเย่ ก็ปรากฏแววอารมณ์ที่แตกต่างเล็กน้อย แล้วถามกลับ “ลูกรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?”
“ครับ”
ซูเย่พยักหน้า “ถ้าผมเข้าสู้ระดับสามเปิดสามเส้นลมปราณก็มีสิทธิ์เข้าไป แต่รายละเอียดยังไม่ชัดเจน ผมเลยอยากจะถามพ่อดู”
“รอจนลูกถึงระดับมาตรฐานของประเทศเดี๋ยวก็รู้เอง” คุณพ่อซูพูดทันที
เขาอยากให้ซูเย่ไม่เคยรับรู้และอย่าได้เข้าไปเลย! แต่มันจะเป็นไปได้ไหม?
“ในเมื่อลูกเลือกเดินบนเส้นทางแห่งการฝึกฝน ลูกต้องไม่เสียใจกับมัน ต้องขยันหมั่นเพียรให้มาก Fantasy Dream ที่แท้จริงนั้นไม่สนุกเลยสักนิด ลูกต้องพัฒนาความแข็งแกร่งโดยเร็วที่สุด ยิ่งแข็งแกร่งยิ่งดี!”
คุณพ่อซูเตือนเขาอย่างจริงจัง
…แม้ว่าดูจะแน่วแน่ แต่เมื่อพิจารณาจากการหลบเลี่ยงอารมณ์ในดวงตาของเขา ในก้นบึ้งของหัวใจแม้เพียงเล็กน้อย เขาก็ไม่อยากให้ซูเย่ก้าวไปสู่เส้นทางแห่งการฝึกฝน เพราะท้ายที่สุดแล้วเส้นทางสายนี้ยากเกินไป!
“ผมจะทำแน่นอนครับ”
ซูเย่พยักหน้าหนักแน่น จากนั้นจึงถามด้วยความสงสัย “พูดไปตั้งเยอะขนาดนี้ แท้จริงแล้วตัวตนของพ่อคือใครกันแน่? ทำไมพ่อถึงฝึกฝนพลังปราณ?”
คุณพ่อซูหลบสายตา “พ่อเป็นเพียงคนทำงานธรรมดา และตัวตนเดียวของพ่อคือพ่อของลูก”
ซูเย่ “…”
“ลงทะเบียนแล้ว?” ซูเย่ถามอย่างฉงน
พ่อซูส่ายหน้า
ซูเย่ตะลึง ไม่ได้ลงทะเบียน? ไม่กลัวถูกทีมสืบสวนจับไปงั้นเหรอ?
คุณพ่อซูดูราวกับเห็นความคิดของซูเย่ และกล่าวทันที “มันผ่านไปแล้ว ตอนนี้ฉันเป็นพลเมืองธรรมดาคนหนึ่ง ฉันซ่อนตัวมาหลายปีแล้ว และฉันจะซ่อนต่อไป!”
“พอเท่านี้แหละ!”
คุณพ่อซูมองไปที่ซูเย่ “ลูกมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการฝึกฝนบ้างไหม?”
“วันนี้พอมีเวลายึดเส้นยึดสาย เดี๋ยวจะช่วยชี้แนะให้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูเย่มองพ่อของเขาอย่างพินิจจากบนลงล่าง
เมื่อเห็นสายตาของซูเย่ คุณพ่อซูก็ผงะไป พลันโมโหเดือดดาลทันที สายตาของไอ้ลูกหมานี่มันอะไรกัน! สายตาแบบนั้นราวกับจะกล่าวว่า ‘เมื่อกี้นี้พ่อไมได้เอาชนะเขาได้ด้วยซ้ำ มีสิทธิ์อะไรมาชี้แนะ’
“ไอ้ลูกเวร อยากเจ็บตัวรึไง” ขณะพูดก็คว้าหิมะบนพื้นขึ้นมาปาไปทางซูเย่
“ฮ่าฮ่า” ซูเย่หัวเราะลั่น แล้วหลบอย่างรวดเร็ว วิ่งหนีเข้าบ้านไปนอน
พ่อซูยืนอยู่ที่เดิม มองเงาหลังของซูเย่
“เห้อ…”
พ่อของซูถอนหายใจอีกครั้ง หน้าของเขาเคร่งขรึมลง “ท้ายที่สุด เขาก็ยังอยู่บนเส้นทางแห่งการฝึกปราณ ดูเหมือนว่าวันธรรมดาแสนสงบสุขจะเหลืออีกไม่กี่วันแล้ว”
ซูเย่ที่วิ่งกลับไปที่ห้องของเขาพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก เดิมทีเขายังกังวลว่าหลังจากที่เข้าสู่การเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ความปลอดภัยของพ่อและแม่ของเขาจะเป็นปัญหา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมันชั่วคราว เพราะถึงอย่างไรพ่อของเขาก็แข็งแกร่งไม่น้อย
……
เย็นวันถัดมา สำหรับงานเลี้ยงสิ้นปีของครอบครัว ซูเย่ตามพ่อแม่ของเขาไปที่โรงแรมระดับไฮเอนด์ในใจกลางเมืองจี้หยวน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองสิ้นปี และญาติพี่น้องในเมืองเดียวกันทั้งหมดต่างก็มาฉลองด้วยกัน
ห้องวีไอพีค่อนข้างกว้าง โต๊ะตัวใหญ่ ทุกคนสรวลเสเฮฮาอย่างมีความสุข และชื่นชมลูกของกันและกัน บรรยากาศอบอุ่นกลมกลืนกันมาก
ซูเย่เห็นว่าคนที่มามีแต่ญาติฝั่งแม่ น้าเล็กน้าเขย คุณลุงคุณป้า และลูกของพวกเขา ทางฝั่งของคุณพ่อซู ไม่มีใครมาแม้แต่คนเดียว
เมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว เขาก็ได้ไปงานเลี้ยงครอบครัวแบบนี้ แต่เขาไม่ได้สังเกตในตอนนั้น ส่วนในตอนนี้ก็เหมือนกับการมองโลกจากมุมอื่น ทำให้สังเกตเห็นได้โดยธรรมชาติ
ซูเย่มองไปที่พ่อของตัวเอง ซึ่งพ่อซูก็สังเกตเห็นสายตาของซูเย่และจ้องมาที่ชายหนุ่มทันทีเพื่อไม่ให้เขาถามมากความ ซูเย่จึงยิ้มและไม่ถามอะไรมาก
“เสี่ยวเย่ หลานเหนื่อยจากการเรียนแพทย์ไหม จากแพทย์ตะวันตกย้ายไปแพทย์แผนจีน มันเป็นการก้าวข้ามที่แตกต่างกันมาจริงๆ”
น้าเล็กคีบขาไก่ให้ซูเย่และถามด้วยความเป็นห่วง
“พอได้ครับ”
ซูเย่ยิ้มพลางเอ่ยตอบ
คุณน้าหันไปหาเด็กสองคนที่อยู่ข้างๆ เธอทันที ทั้งสองมีฐานะเป็นลูกพี่ลูกน้องของซูเย่ “ฟังนะ! แผนตะวันตกย้ายไปแพทย์แผนจีนมันต่างกันมาก แต่ลูกพี่ลูกน้องของลูกบอกว่าไม่ยาก! พวกลูกหัดเรียนรู้จากลูกพี่ลูกน้องของลูกบ้างเถอะ!”
“ยิ่งกว่านั้น ลูกพี่ลูกน้องของลูกยังสอบเลื่อนชั้นได้เร็วตั้งแต่มัธยมต้น มัธยมปลาย และมหาวิทยาลัย เขาเคยเรียนแพทย์แผนตะวันตกในระดับปริญญาตรีจบแล้ว ถึงย้ายไปเรียนปริญญาโท ปริญญาเอกแพทย์แผนจีน …แล้วลองหันกลับมามองตัวลูกเองสิ!”
“ถ้าเกรดของลูกดีเท่ากับลูกพี่ลูกน้องของลูกสักครึ่งหนึ่ง แม่ก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว”
เมื่อพูดจบ เด็กสองคนมองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้ เอาอีกแล้ว เรียนไม่ดีก็โทษพวกเราเหรอ?
ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็จ้องเขม็งด้วยความไม่พอใจไปยังซูเย่ที่กำลังยิ้มอยู่
ซูเย่ยิ้มให้พวกเขา
อีกด้านหนึ่ง ลูกพี่ลูกน้องคนโตของครอบครัวคุณอากำลังอุ้มลูกสาววัยหนึ่งขวบของเธอที่เพิ่งหัดเดิน และพูดด้วยรอยยิ้ม
“อวี้เอ๋อร์ตัวน้อยของแม่ก็ต้องเรียนรู้จากคุณลุงเมื่อโตขึ้นนะลูก”
ขณะพูด ก็หยอกล้อลูกตัวน้อยให้หัวเราะ ส่วนซูเย่หันไปมองรอบๆ และในทันทีที่เขาเห็นเด็ก คิ้วของชายหนุ่มก็พลันขมวดเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืน