เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 6 ซูเย่มีความรัก!
บทที่ 6 ซูเย่มีความรัก!
หลังจากข้ามภูเขามาสองลูก
ซูเย่มายังที่ราบลับแห่งนี้
ซึ่งตั้งอยู่ในป่าที่มีต้นไม้ขึ้นกระจัดกระจายทั่วเขา เป็นที่ราบอันเขียวขจี
ขณะที่ซูเย่ก้าวเท้าลงไป ไป๋จือหราน ผู้ที่ฝืนอดทนต่อความเจ็บปวดจนเหงื่อออกท่วมตัว ในที่สุด เธอก็ไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้และร้องออกมา
อาการบาดเจ็บสาหัสทำให้ใบหน้าของหญิงสาวซีดเซียวไร้เลือด ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้เธอสั่นเทาไปทั้งร่าง
“อดทนอีกหน่อยนะ ฉันจะรักษาเธอเอง”
ไม่มีการพูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไป ซูเย่รีบวางไป๋จือหรานลง
เขาร่ายคาถารวบรวมปราณทันทีโดยไม่ลังเล
ตรวจสอบอาการบาดเจ็บของไป๋จือหรานอย่างรวดเร็ว
“หืม?”
ตาของซูเย่เบิกกว้างด้วยความโกรธและเจ็บปวดหัวใจ
ภายนอกนั้น ไป๋จือหรานมีแค่อาการแขนขาหัก
แต่แท้จริงแล้วเธอเจ็บปวดกว่าที่เห็น!
เพราะเธอไม่ได้แข็งแกร่ง
ขณะที่ต่อต้านจินซานไห่ เธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงปราณที่ออกมาจากตัวเขาได้ เป็นผลให้ปราณที่รุนแรงไหลเข้าสู่ร่างของเธอ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ทำลายอวัยวะภายใน แต่กระดูกทั่วทั้งร่างก็เกือบจะแตกละเอียด
แทบจะไม่อยากจินตนาการว่าไป๋จือหรานต้องทนทรมานขนาดไหน!!
“ฮึ่ม!”
แสงสว่างวาบปรากฏขึ้นในตาของซูเย่
หากเขารู้ตัวเร็วกว่านี้ เรื่องมันจะไม่จบแค่นี้แน่!
เขาคงจะฆ่าจินซานไห่ทิ้งไปแล้ว!
เรื่องชื่อเสียงเล็กน้อยไม่ได้สำคัญสำหรับเขาเลย!
“มันอาจจะเจ็บไปอีกสักระยะ เธอควรนอนพักสักหน่อย”
ซูเย่กระซิบบอกไป๋จือหราน
“อื้ม!” ไป๋จือหรานพยักหน้าตอบเบา ๆ
ซูเย่วางมือของเขาลงบนคอที่ซีดขาวของไป๋จือหรานและกดลง
ไป๋จือหรานหมดสติไป
ซูเย่ย้ายมือของเขาไปยังกระดูกส่วนขา
มือทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
“แกร่ก!”
กระดูกกลับเข้าที่ในทันใด
จากนั้นจึงย้ายไปยังจุดที่กระดูกหัก
“คนตายก็เหมือนคนเป็น ไม่ได้อยู่เหนือกลางวันและกลางคืน!”
เขาเริ่มร่ายคาถา
ป่าเขาที่เงียบสงัดทันใดนั้นก็ได้มีสายลมพัดกระหน่ำ ลมจากทุกทิศทางบรรจบกันและก่อตัวขึ้นรอบไป๋จือหราน
ในช่วงเวลานี้ ปราณในร่างของไป๋จือหรานที่ดูเหมือนจะไหลเวียนได้อย่างสมบูรณ์ เริ่มไหลเวียนแปลกไป
ภายใต้การควบคุมและรักษาจากปราณของซูเย่
กระดูกที่แตกหักของไป๋จือหรานเริ่มมีการซ่อมแซมอย่างต่อเนื่อง
ในครั้งนี้ กระดูกขาของไป๋จือหรานไม่จำเป็นต้องรอ 24 ชั่วโมงเพื่อจะกลับมาใช้การได้
เขาสามารถเร่งเวลาที่ใช้ในการรักษาได้
กระดูกขาได้รับการรักษาอย่างสมบูรณ์ ซูเย่สูดหายใจลึกแล้วย้ายมือไปทั่วทั้งร่างของไป๋จือหราน
“คนตายก็เหมือนคนเป็น ไม่ได้อยู่เหนือกลางวันและกลางคืน!”
“คนตายก็เหมือนคนเป็น ไม่ได้อยู่เหนือกลางวันและกลางคืน!”
เสียงร่ายคาถาดังซ้ำไปมา
เขาร่ายต่อไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุด
เพื่อที่จะรักษาไป๋จือหรานให้หายโดยเร็ว เขาต้องพยายามอย่างยิ่ง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ซูเย่เหงื่อออกท่วมทั้งร่าง ใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อย
ส่วนใบหน้าที่ซีดขาวและอ่อนแรงของไป๋จือหรานในที่สุดก็เริ่มดูมีเลือดไหลเวียนปกติ
ซูเย่เกิดรอยยิ้มที่มุมปาก
ถ้างั้น มาต่อกันเลย!
“คนตายก็เหมือนคนเป็น ไม่ได้อยู่เหนือกลางวันและกลางคืน!”
เมื่อปราณในร่างของเขาแทบจะหมดไป
อาการบาดเจ็บของไป๋จือหรานก็ถูกรักษาโดยสมบูรณ์
กระดูกที่หักทั้งหมดถูกรักษา
ซูเย่หยุดพักและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวของเขา ชายหนุ่มได้เอ่ยกับไป๋จือหราน
“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว”
แต่ไร้การตอบรับจากไป๋จือหราน
ซูเย่เกิดความฉงน เขารู้ดีว่าไป๋จือหรานตื่นขึ้นมาระหว่างการรักษา
เขาจ้องไปยังไป๋จือหรานด้วยความสงสัย
สังเกตเห็นได้ว่าแก้มของเธอนั้นเป็นสีชมพูระเรื่อ หญิงสาวก้มหน้าเล็กน้อย เม้มริมฝีปาก และไม่กล้าสบตาซูเย่
และแล้วเขาก็เริ่มรู้ตัวว่าเป็นเพราะไป๋จือหรานอยู่ในอ้อมแขนของตน
เนื่องจากกระบวนการการรักษา เขาจึงต้องยกตัวเธอขึ้นเล็กน้อย
แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เพียงการกอดเท่านั้น
เขานึกย้อนกลับไปเล็กน้อย
เพื่อที่จะทำการรักษาไป๋จือหราน ตำแหน่งการวางมือของเขาในหลาย ๆ ครั้งก็ดูจะไม่ค่อยเหมาะสม…..
มันค่อนข้างน่าอายเลยแหละ
ซูเย่ยิ้มกระอักกระอ่วน
เขาไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้เลย จดจ่ออยู่แต่เพียงกับการรักษาไป๋จือหราน
หลังจากเห็นว่าซูเย่ไม่ขยับเขยื้อนมาสักพักแล้ว ไป๋จือหรานที่ตอนนี้แก้มแดงดั่งลูกท้อและดูเหมือนกระต่ายน้อยที่กำลังสั่นกลัว จึงมองหน้าซูเย่
ร่างของเธอถูกจับต้องไปทั่วโดยซูเย่
เวลาแบบนี้ เธอไม่ควรเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาใช่หรือไม่?
ทว่า
ทำไมซูเย่ถึงไม่ขยับเลย?
ดูเหมือนเขาจะเหม่อลอยอยู่
ไป๋จือหรานตัดสินใจก้มหน้าลงและเงียบต่อไป
ความเคอะเขินยังดำเนินต่อไปอีกครู่หนึ่ง
ซูเย่ก็ยังคงไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ ไป๋จือหรานจึงกระซิบอย่างหมดหนทาง “ซูเย่ นาย?”
“หืม?”
ซูเย่รู้สึกตัว
เขารีบปล่อยมือที่โอบกอดไป๋จือหราน ลุกขึ้นยืน กลับหลังหัน แล้วกล่าวอย่างเขินอาย
“ฉันแค่ต้องการจะรักษาเธอ ก็เลย…..”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณนะ”
ไป๋จือหรานตอบกลับเบา ๆ แล้วลุกขึ้นยืน
ไม่มีใครพูดอะไรต่อ
บรรยากาศมีแต่ความกระอักกระอ่วน
มีเพียงเสียงจากสายลมที่พัดผ่าน
แสงจันทร์ส่องกระทบลงบนทั้งสอง
เป็นเวลาอยู่นาน
ไป๋จือหรานมองที่แผ่นหลังของซูเย่ ลังเลอยู่สักพักหนึ่ง กัดริมฝีปาก ประกายแสงแห่งความมุ่งมั่นสว่างขึ้นในตาของเธอ แล้วเอ่ยออกไปว่า “ซูเย่”
“หืม?”
ซูเย่ยังไม่หันหลังกลับมา
“ฉันชอบเธอ”
ซูเย่สะดุ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น ร่างของเขาแข็งทื่อไปเลย
พอเห็นว่าซูเย่ไม่ตอบสนอง
ไป๋จือหรานเม้มริมฝีปาก มองไปยังพระจันทร์บนท้องฟ้าแล้วพูดต่อ “ฉันไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร บางทีอาจจะตั้งแต่เราพบกันครั้งแรกในทีมสืบสวน หรือบางทีอาจจะเป็นวันที่ได้รับการช่วยเหลือจากนายในดินแดนภูผามหานที ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉันก็รู้สึกว่าฉันชอบเธอ”
“โอ้”
ซูเย่หันหลังกลับมามองไป๋จือหราน ถอนใจเบา ๆ แล้วกล่าว “ขอโทษนะ”
“หืม?”
ไป๋จือหรานนิ่งไป แล้วจึงถามกลับ “ทำไมล่ะ?”
“ฉันไม่อยากมีความสัมพันธ์แบบชายหญิง” ซูเย่ตอบ
เขาปฏิเสธที่จะมีความสัมพันธ์มา 2,500 ปี
“ไม่เป็นไร”
ไป๋จือหรานยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ฉันแค่อยากบอกความรู้สึกจากใจน่ะ นายลองเก็บไปคิดก่อนก็ได้ อาจจะตอบได้ง่ายกว่า”
“อื้ม” ซูเย่พยักหน้า
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง
บรรยากาศกลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม
ไป๋จือหรานจ้องมองซูเย่ ส่วนซูเย่จ้องมองดวงดาวบนฟ้า
เป็นภาพอันสงบและสง่างาม
ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านมานานเท่าใด
ซูเย่ถอนใจเบา ๆ หันไปมองไป๋จือหรานแล้วตอบอย่างจริงจัง “ฉันตัดสินใจแล้ว”
“หืม?”
ไป๋จือหรานตกใจ มองซูเย่กลับโดยไม่คาดหวังอะไร
เขาจะปฏิเสธใช่หรือเปล่า?
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกเรามาคบกัน”
ซูเย่ยิ้มออกมาทันที
เขาได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว
ที่เขาปฏิเสธมาตลอดเป็นเพราะความล้มเหลวของความสัมพันธ์ในครั้งก่อน
ทว่าอดีตมันผ่านไปแล้ว
เรื่องที่จบไปแล้วก็ปล่อยผ่านไปแล้วเริ่มต้นใหม่
เขาถามตัวเองว่า
เขาชอบไป๋จือหรานหรือเปล่า?
คำตอบคือ ‘ใช่!’
ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ตอบตกลงสิ!
“ได้เลย”
ไป๋จือหรานที่ไร้สีหน้าจนถึงเมื่อสักครู่ ก็ได้ยิ้มออกมาในทันทีพร้อมแก้มที่แดงระเรื่อ
ซูเย่เองก็ยิ้ม
ไป๋จือหรานพุ่งตัวโผกอดเข้าที่ผืนอกของซูเย่
“กลับไปมหาวิทยาลัยกันเถอะ พวกเขาน่าจะเป็นห่วงกันอยู่”
“อื้ม~”
ไป๋จือหรานยังคงซบซูเย่อยู่ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
ซูเย่อุ้มไป๋จือหรานและรีบมุ่งหน้าไปยังเขตมหาวิทยาลัย
เกิดความคิดขึ้นในหัวของเขาว่า
ควรจะนำบัตรประจำตัวมาด้วยตอนที่ไปข้างนอก.…..
……
ที่แห่งนี้
เมื่อการต่อสู้ที่ทะเลสาบแสงจันทร์จบลง
อันดับลูกรักสวรรค์ก็ได้เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
ในครั้งนี้
มีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนในอันดับลูกรักสวรรค์ขั้นอื่น ๆ แต่มีเพียงขั้นสามที่ยังคงเดิม
เรื่องที่ว่าจินซานไห่ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ระดับห้า ท้าสู้กับซูเย่ไม่ใช่ความลับเฉพาะในทีมสืบสวนอีกต่อไป และยังแพร่งพรายไปยังเขตอื่น ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งจินซานไห่และจินเฉินเองก็ต่างปล่อยข่าวนี้ออกไป ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขึ้นไปเกือบทั่วทั้งโลกได้รับรู้
ข่าวกระจายไปถึงผู้ฝึกยุทธ์นับไม่ถ้วนที่รู้จักจินซานไห่
กำลังของจินซานไห่ถือได้ว่าเป็นอันดับต้น ๆ ในขั้นสี่ การสู้กับซูเย่ที่เป็นขั้นสามควรจะเป็นเรื่องง่ายเหมือนการขยี้มด
ต่อให้อีกฝ่ายเป็นคนของทีมสืบสวนก็ตามที!
ทว่า การต่อสู้ก็จบลงไปแล้ว
อันดับลูกรักสวรรค์ขั้นสามไร้การเปลี่ยนแปลง
ต้องมีบางอย่างผิดพลาด!
พวกเขาล้วนมีสิทธิ์ที่จะดูอันดับลูกรักสวรรค์ ซึ่งเผยแพร่จากทีมสืบสวนเอง ด้วยมันมีจุดประสงค์เพื่อที่จะแสดงศักยภาพของทีมสืบสวน
หรือว่าไม่มีการจัดการประลอง?
ทุกคนต่างสงสัย
แต่ในไม่ช้า
มีภาพถ่ายปรากฏขึ้นในกระทู้ผู้ฝึกยุทธ์
เป็นคำอธิบายของซูเย่บนการจัดอันดับลูกรักสวรรค์ขั้นสาม
มีประโยคที่เขียนว่า ‘ผ่านการต่อสู้กับจินซานไห่ ขั้นสี่ระดับห้า จบลงด้วยการทำลายจุดตันเถียน’
พอได้เห็นประโยคนี้
ทั้งทีมสืบสวนและเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต่างตกตะลึงกันยกใหญ่!
ซูเย่ขั้นสามระดับห้า ไม่เพียงจัดการจินซานไห่ขั้นสี่ระดับห้า แต่ยังทำลายจุดตันเถียนได้อีกด้วยเหรอ?
เป็นไปได้ยังไง?
“เวรเอ๊ย ไอ้คนชื่อซูเย่มันแกร่งขนาดนี้เลยเนี่ยนะ?”
“ถึงกับจัดการขั้นสี่ทั้ง ๆ ที่อยู่แค่ขั้นสาม ทีมสืบสวนเก่งขนาดนี้เลยเหรอ?”
“สุดยอดเลย ทีมสืบสวนมีดาวรุ่งพุ่งแรงดวงใหม่!”
เรื่องนี้ดังไปทั่วทั้งยุทธภพของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามและขั้นสี่
ชื่อเสียงของซูเย่โด่งดังขึ้นมาเป็นครั้งแรกในยุทธภพ
……
หกโมงเช้า
สถาบันดนตรีซิงเหมิง
ไป๋จือหรานถูกซูเย่พามาส่งที่ประตูหอพัก และกลับเข้าหอไปทั้งที่ยังหน้าแดง
ไป๋จือเหยียนสะดุ้งตื่นลุกมานั่งบนเตียง
เธอหลับไปตั้งแต่เมื่อไร?
การต่อสู้ของลูกพี่ซูเป็นยังไงบ้าง?
เธอมองไปรอบ ๆ ห้อง พี่สาวเธออยู่ไหน?
ในตอนนั้นเอง ก็ได้มีเสียงเปิดประตู
ไป๋จือหรานเดินเข้าห้องมา
ไป๋จือเหยียนรีบกระโดดออกจากเตียง จ้องไป๋จือหรานอย่างสงสัย และถามออกมาทันที
“พี่แต่งตัวอะไรของพี่เนี่ย?”
“แล้วทำไมถึงหน้าแดงแบบนี้?”
“จริงเหรอ?”
ไป๋จือหรานรีบหันไปส่องกระจก และพบว่าตัวเองยังหน้าแดงอยู่
“เป็นอะไรไปเนี่ย?”
ไป๋จือเหยียนรู้ตัวแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบเดินเข้ามาถาม “พี่ไปไหนมาเมื่อคืน? ไหนบอกว่าจะไปเชียร์ลูกพี่ซูด้วยกันไง? ทำไมฉันถึงหลับไป?”
“เรื่องมันจบแล้วล่ะ ซูเย่ชนะ”
ไป๋จือหรานเล่าต่อว่าเธอเองเป็นคนทำให้ไป๋จือเหยียนสลบ เพราะต้องการจะเอาชีวิตไปแลกแทนซูเย่
“หา? จริงเหรอ!”
ไป๋จือเหยียนแปลกใจแล้วจึงถามต่อ “แล้วเขาชนะได้ยังไง?”
“เดี๋ยวไว้เล่ารายละเอียดทีหลังนะ แต่ตอนนี้ ฉันอยากบอกว่ามีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นนะ”
ใบหน้าของไป๋จือหรานแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม “คือฉัน ฉันมีแฟนแล้วนะ”
“หา?”
ไป๋จือเหยียนตะลึง จากนั้นจึงถามด้วยรอยยิ้ม “ใครเหรอ? ตั้งแต่ตอนไหน? ทำไมฉันไม่รู้? รักออนไลน์เหรอ?”
“ซูเย่น่ะ”
“อะไรนะ?!”
ไป๋จือเหยียนหน้านิ่งไปเมื่อได้ยินคำตอบของพี่สาว
“เขาเองเหรอ?”
ไป๋จือเหยียนเม้มปาก และเอ่ยโดยฝืนยิ้ม “อันที่จริง เขาก็เป็นคนดีนะ แต่การที่พี่มีแฟนมันอีกเรื่องหนึ่ง ท่านพ่อรู้เรื่องหรือยัง?”
“เฮ้อ…จะช้าหรือเร็วเขาก็รู้อยู่ดี ฉันจะบอกเดี๋ยวนี้เลย”
ไป๋จือหรานถอนใจ พ่อของพวกเธอเคร่งมากเรื่องความรัก เขาห้ามไม่ให้พวกเธอมีความรักตั้งแต่สมัยเด็ก
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดหมายเลข
“พ่อ หนูมีแฟนแล้ว”
“ว่าไงนะ?!”
บ่ายวันนั้นเอง
ณ สนามบินนานาชาติจี้หยาง รถลีมูซีนจอดรับชายวัยกลางผู้ที่มีใบหน้าบูดบึ้ง
“ไปมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง!”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
รถคันนั้นมุ่งตรงไปยังมหาวิทยาลัย
หลังจากผ่านไปร่วมชั่วโมง
ชายวัยกลางในสูทสีดำเดินลงมายังหอพักชายของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง ท่ามกลางการคุ้มกันของบอดี้การ์ดสวมแว่นดำมากมายดูน่าเกรงขาม
ในขณะเดียวกัน ซูเย่ก็พึ่งเดินลงมาชั้นล่าง
“ซูเย่” ชายวัยกลางที่ดูสงบและนิ่งมองซูเย่หัวจรดเท้า ความโกรธในดวงตาของเขาสงบลงเล็กน้อยแล้วตะโกนออกมา
“หือ?” ซูเย่ผงะแล้วมองอีกฝ่ายกลับ
“ฉันเป็นพ่อของไป๋จือหรานและไป๋จือเหยียน เรามาคุยกันหน่อยไหม?”
ชายวัยกลางกล่าวโดยไม่อ้อมค้อม