เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - ตอนที่ 229 ถูกจับ2
ตอนที่ 229 ถูกจับ2
“ไม่ได้ เนื่องจากเป็นคดีฆาตกรรม และมีหลักฐานชัดเจน แน่นหนาขนาดนี้ ตอนนี้ไม่สามารถประกันตัวได้ ควบคุมตัว ครบสี่สิบแปดชั่วโมงก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เสียงที่ตอบเธอ กลับมานั้นเย็นชาจนหาอะไรเปรียบไม่ได้
หน้าของกู้ฮอนแห้งเหี่ยว
บางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลกกับเราแบบนี้ แม้เธอจะไม่ ยอมรับก็ตาม แต่เธอก็ถูกใส่กุญแจมือ
และเธอ ประเมินความอำมหิตของตระกูลกู้ต่ำเกินไป
เมืองA สถานกักกันผู้ต้องหาแห่งแรก
ปัง
ประตูเหล็กหนาถูกเปิดอ
พอก้าวเข้าไปในคุก ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้ม งวดด้วยรังสีอินฟราเรดระยะไกล รั้วไฟฟ้าขนาดสูง เกรงว่า
แต่แมลงวันตัวเดียวยังบินออกไปไม่ได้เลย
ทุกๆก้าว เธอรู้สึกแทบจะขาดใจ
ไม่นาน “เข้าไป” ผู้คุมผลักเธอเข้าไปในห้องขังเดี่ยว
เล็กๆ”
มีเสียงปังสองสามครั้ง ประตูถูกล็อก แล้วผู้คุมก็เดินจาก
ไป
ราวกับว่าโลกทั้งใบเงียบสงบ เงียบสงัดเหมือนตาย
แล้ว..
เธอมองไปรอบๆห้องขังที่แสนเยือกเย็น นอกจากเตียง เล็กๆกับห้องน้ำแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก
เธอถอนหายใจยาว ร่างกายเกร็งของเธอเอนตัวนั่งลงพิง
ที่มุมห้อง
เธอขยับผ้าเช็ดตัวแน่น เพื่อปกคลุมร่างกายที่สั่นเทา อด หัวเราะเยาะตรงมุมปากไม่ได้ ครั้งแรกในชีวิตของเธอ ที่ใส่ ชุดบิกินี่เข้าคุก…
ก่อนเข้ามาที่สถานกักกัน ตำรวจยึดของทุกอย่างของเธอ ไปหมดแล้ว ทั้งโทรศัพท์ กระเป๋าเงิน กุญแจ.เธอหาทาง ติดต่อกับโลกภายนอกไม่ได้เลย
ตอนนี้หยางหยางจะเป็นยังไงบ้าง เขาจะหิว จะทานอะไร หรือยังนะ ใครจะบอกให้เขาไปอาบน้ำ ตอนเขาง่วงใครจะ เข้านอนเป็นเพื่อน
เฉิงเฉิงล่ะ จะอยู่ที่ตระกูลเป่ยหมิงอย่างมีความสุขหรือเปล่า พ่อของเขาจะกลับไปอยู่ด้วยหรือยังนะ
พอคิดถึงลูกชายทั้งสอง น้ำตาก็ไหลเอ่อออกมาอย่างกลั้น
ไม่อยู่….
มีคนมากมายในโลกที่ต้องตายอย่างไม่ยุติธรรม เธอเข้า มาอยู่ในนี้แล้ว จะบอกว่าไม่กลัวก็คงโกหก
เธอกลัวว่าจากนี้จะออกไปไม่ได้อีกแล้ว….
พระอาทิตย์ตกดิน
หยางหยางสะพายกระเป๋านักเรียนไปเล็ก เดินลงมาจาก รถโรงเรียน
เขาเห็นร่างเล็กๆยื่นแอบอยู่ตรงมุมกำแพง นั่งยองๆบนพื้น แล้ววาดรูปวงกลมเล็กๆอย่างเงียบๆ
หยางหยางยิ้มอย่างสดใสขึ้น เขาแอบเดินเข้าไปเงียบๆ
เหมือนจะแกล้ง
ทันใดนั้น ร่างเล็กของหยางหยางพุ่งใส่ทันที “ยู้ฮู…หา
ใครจะไปคิดว่าร่างเล็กที่นั่งยอง ๆ อยู่บนพื้นจะขยับตัว ออกอย่างรวดเร็ว จนหยางหยางตีลังกาล้มลงในวงกลม เล็กๆ ที่อยู่บนพื้น…
เขาล้มที่มหัวคะ
“โอ๊ย เจ็บจังเลย เป่ยหมิงซิเฉิง ฉันจะวาดวงกลมสาปแซ่ง นาย..” หยางหยางลุกขึ้นจากพื้นด้วยความเจ็บปวด ตอน แรกอยากกระโจนใส่เป่ยหมิงซิเฉิง จะไปรู้ว่าเขาจะว่องไว ปานนี้
เฉิงเฉิงยังสงบสติอารมณ์ได้ดีเช่นเดิม เขามองหยางหยาง ที่อยู่บนพื้น เลิกคิ้วขึ้นอย่างเย็นชาแล้วพูด “เหมือนว่าตอนนี้ คนที่นั่งอยู่ในวงกลมสาปแช่งคือนายนะ”
หยางหยางจ้องเฉิงเฉิงแล้วบุ้ยปากเล็กๆของเขา “เป่หมิง ซิเฉิง นายนี่ทำตัวเหมือนพ่อไม่มีผิด โถ่เอ๊ย แค่มองก็น่า หงุดหงิดแล้ว”
พอได้ยินคำว่าพ่อ มุมปากเฉิงเฉิงกระตุกขึ้น เหลือบมอง ไปที่หยางหยาง “ไหนบอกวันนี้เลิกเรียนเร็ว ให้ฉันรอตั้งนาน นายก็รู้ว่าฉันต้องกลับไปก่อนสามทุ่ม”
หยางหยางลุกขึ้น มือสกปรกปัดสองฝุ่นสองสามครั้ง หัวเราะแล้วเอามือวางบนไหล่เฉิงเฉิง เดินไปพลางพูดไป “รู้แล้วน่า ในที่สุดนายก็ฉลาดขึ้นสักทีนะ รู้จักให้= $มา
ช่วย….
จริงๆแล้ว เป้หมิงอาสามเป็นลุงที่ดีของสองพี่น้องคู่นี้จริงๆ
ทุกครั้งขอแค่เขาช่วยออกหน้าให้ ก็จะสามารถออกจาก ตระกูลเป็หมิงได้อย่างราบรื่น และตัวอาสามเองชอบเที่ยว เล่นอยู่แล้ว สำหรับเฉิงเฉิงก็เหมือนเป็นการเลี้ยงแบบปล่อย
เฉิงเฉิงมองมือเล็กสกปรกที่วางอยู่บนไหล่ตัวเองอย่าง ประหลาดใจ เขาพูดอย่างเหลือทน “กู้หยาง หยาง เอามือ สกปรกของนายออกไป”
“โอ๊ย อย่าทำตัวเยอะเหมือนพ่อได้ไหม” หยางหยางไม่ สนใจสักนิด หัวเราะอย่างไม่รู้สึกรู้สา เขาดึงเสื้อของเฉิงเฉิง แล้วเดินเข้าไปในอาคาร
รอยมือสกปรกค่อยๆเพิ่มขึ้นบนเสื้อของเฉิงเฉิง
เฉิงเฉิงทำหน้าอึดอัด แต่เพราะเป็นเรื่องยากที่จะได้เจอแม่ และน้องชาย เขาเลยต้องอดทนต่อไป
หยางหยางเดินไปพลางถาม “เปหมิงซิเฉิงอาสามเป็นยัง ไงบ้าง หา อยู่ๆก็คิดถึงอาสามขึ้นมา….”
เฉิงเฉิงกลอกตาใส่เขา “นายอยากใช้ชีวิตเละเทะกับอา สามล่ะสิ”
“อิ่มอิ่ม” หยางหยางพูดออกมาอย่างซุกซน “เวลาพูดอาสามไม่รู้ใช่ไหมว่าเราเป็นคนละคน ยังไงก็มีแต่ฉันกับอาสาม ที่เข้าท้องเข้าใจกัน”
“กู้หยางหยาง” เฉิงเฉิงขมวดคิ้ว ทำหน้าเข้ม “เข้าอก เข้าใจกันต่างหาก”
“อ๋อๆ ไม่ต้องสนหรอกน่า”
เฉิงเฉิงพูดต่อ “อาสามบีบหน้าของฉัน แล้วถามฉันสาม ครั้ง ว่าคนไหนคือฉันตัวจริงกันแน่ จนหน้าฉันเกือบแตก เขา ถึงสรุปว่าฉันเป็นคนสองบุคลิก”
“อะไรคือคนสองบุคลิกหรือ”
“อิม….คนสองบุคลิกก็คือ คนหนึ่งคนที่มีบุคลิกพิเศษสอง แบบที่ไม่เหมือนกัน มันคือโรคประเภทฮิสทีเรียหรือโรคดิส โซสิเอทีฟ พูดง่ายๆก็คือ โรคประสาทชนิดหนึ่งนั่นเอง”
หยางหยางฟังจบก็ตะลึง จ้องเฉิงเฉิงสองสามครั้ง “อา สามล่ะสิที่เป็นโรคประสาท”