เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - ตอนที่ 777 มารดากับลูกชายภายใต้แสงไฟ
- Home
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ - ตอนที่ 777 มารดากับลูกชายภายใต้แสงไฟ
ตอนที่ 777 มารดากับลูกชายภายใต้แสงไฟ
เขารีบปิดโน้ตบุ๊คอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แสร้งทำท่าทางถือชามข้าวขึ้นมา เริ่มต้นเคี้ยวอย่างช้าๆ
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ว่ามีเสียงเคาะเบาๆสองครั้งที่ประตู
“เข้ามาเถอะ ประตูไม่ได้ล็อค”
ประตูเปิดออกแล้ว คนรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา “คุณชายน้อยหยางหยาง ท่านนายเป่หมิงให้ดิฉันมาดูว่าคุณชายน้อยยังต้องการเติมข้าวและอาหารเพิ่มหรือไม่ค่ะ”
หยางหยางพุ้ยข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง จากนั้นก็คีบกับข้าวไปหลายรอบ
ปากเล็กๆก็เอ่ยพูดอย่างอึกอักว่า “เก็บไปเถอะ ผมทานเสร็จแล้ว”
คนรับใช้เห็นท่าทางเช่นนี้ของหยางหยางแล้วก็ไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงแค่เอ่ยสั่งผู้ติดตามให้เก็บเศษซากในถาดอาหารบนโต๊ะอ่านหนังสือกลับไป
รอจนคนรับใช้ไปแล้ว หยางหยางก็เปิดหน้าจอโน้ตบุ๊คใหม่
ก็ได้รับคำตอบของเฉิงเฉิงแล้วว่า เรื่องใหญ่และสำคัญ ฉันจะบอกเรื่องนี้กับคุณแม่ นายจะต้องดูแลตัวเองให้ดี อย่าเผยความลับอะไรออกไป
ตอนที่เฉิงเฉิงกำลังจะตอบกลับข้อความเขาก็เห็นว่าภาพโปรไฟล์เขาเปลี่ยนเป็นสีเทาไปแล้ว
เขาน่าจะออฟไลน์ออกจากระบบแล้ว
หยางหยางปิดคอมพิวเตอร์ เขากระโดดลงจากเก้าอี้ เดินไปถึงกล้องส่องทางไกลคุณภาพสูงข้างบานหน้าต่าง
*
เฉิงเฉิงที่ได้รับข่าวจากหยางหยางก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย โดยเฉพาะเขาที่อยู่ข้างกายคุณย่าตั้งแต่เล็กจนโต ภาพความประทับใจที่มีต่อคุณย่าล้วนคือ เธอเป็นหญิงชราที่เมตตาอ่อนโยนมากคนหนึ่ง และไม่เคยมีโทสะ
เพียงแต่หลังจากที่คุณปู่เสียชีวิตไปแล้ว คุณย่าก็เหมือนกับว่าจะเปลี่ยนเป็นคนละคน เขาก็เห็นท่าทางระเบิดโทสะที่คุณย่ามีต่อคุณแม่เองกับตา
แต่หลังจากนั้น โดยเฉพาะหลังจากตอนที่หยางหยางได้รับบาดเจ็บที่ขา คุณย่าก็เปลี่ยนแปลงท่าทีที่มีต่อคุณแม่ไป 180 องศา โดยเฉพาะเมื่อได้รู้ว่าคุณยายเป็นเพื่อนสนิทหายตัวไปหลายปี
เดิมคิดว่าวันคืนหลังจากนี้จะราบรื่น สามารถเริ่มต้นเดินหน้าให้คุณแม่กับคุณพ่อได้อยู่ด้วยกันแล้ว
ใครจะรู้ว่าวันนี้หยางหยางค้นพบเรื่องใหม่ ที่ทำให้ทุกอย่างล้วนถอยกลับไปสู่จุดเดิม นอกจากนั้นแล้ว เฉิงเฉิงยังรู้สึกเหมือนกับว่าเบื้องหลังของเธอยังมีแผนร้ายที่ใหญ่มากแผนการหนึ่งด้วย
เฉิงเฉิงลงไปหาคุณแม่
ฉิงฮัวนั้นกลับมาแล้ว กำลังดูภาพยนตร์การศึกษาและวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการดูแลในระยะเวลาตั้งครรภ์เป็นเพื่อนลั่วเฉียว
แอนนิเก็บกวาดห้องครัวเสร็จแล้วก็เตรียมพาจิ่วจิ่วขึ้นไปชั้นบน
เฉิงเฉิงเดินไปถึงหน้าประตูห้องของคุณยาย เคาะประตูเบาๆ
คนเปิดประตูก็คือกู้ฮอน เธอเห็นเฉิงเฉิงยืนอยู่หน้าประตูก็ยิ้มบางๆ “เฉิงเฉิง ลูกมีเรื่องอะไรหรือไม่”
กู้ฮอนในตอนนี้กำลังคุยเล่นกับคุณแม่
เฉิงเฉิงพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยทักลู่ลู่อย่างมีมารยาทว่า “คุณยาย ผมอยากคุยกับคุณแม่เป็นการส่วนตัวสักหน่อยได้ไหมครับ”
“มีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถพูดที่นี่ได้หรือ” กู้ฮอนเอ่ยถาม
เฉิงเฉิงคิ้วขมวดเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหน้าเบาๆ
ปิ่นฮอนเป่หยวนที่ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ความมืดมิดยามค่ำคืนนั้นเงียบสงบมากเป็นพิเศษ เงาร่างสองร่าง เล็กหนึ่งสูงหนึ่งที่เดินอยู่ดูเลือนรางภายใต้แสงไฟที่ส่องสว่าง
“เฉิงเฉิง ลูกมีเรื่องอะไรในใจที่อยากพูดกับแม่ไหม” กู้ฮอนหันหน้ามามองลูกชายที่เดินเล่นอยู่ด้วยกันข้างๆเธอ
***
เฉิงเฉิงในตอนนี้สมองของเขากำลังคิดว่าจะพูดเรื่องที่หยางหยางบอกกับเขาให้คุณแม่ฟังอย่างไรดี
เขาหยุดฝีเท้านิ่ง “คุณแม่ คุณยายกับคุณย่าเคยเป็นเพื่อนที่ต่อกันมากจริงๆหรือไม่ครับ”
กู้ฮอนย่อตัวลง แล้วพยักหน้าให้กับลูกชายที่อยู่ตรงข้าม “ใช่แล้ว ทำไมจู่ๆลูกถึงได้ถามคำถามนี้ขึ้นมากัน”
“ผมเพิ่งจะคุยกับหยางหยางใน QQ หยางหยางเล่าเรื่องเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย” เฉิงเฉิงพูดพลางเล่าเรื่องที่หยางหยางบอกกับเขาให้คุณแม่ฟังโดยไม่ตกหล่นแม้แต่ตัวอักษรเดียว
กู้ฮอนฟังอย่างตั้งใจ หลังจากเฉิงเฉิงเล่าจบแล้ว กู้ฮอนก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมา
เธอเต็มไปด้วยความสงสัยว่าในตอนนั้นหยางหยางฟังผิดไปใช่หรือไม่ หรือไม่ก็ได้รับข้อมูลมาเพียงแค่บางส่วน เพราะว่าหยางหยางกับเจียงฮุ่ยซิน หญิงชราและหลาน ทั้งสองคนนี้มีปัญหาขัดแย้งกันมาตลอด
แต่ก็ไม่อาจไม่เชื่อว่าที่เฉิงเฉิงพูดว่านั้นเป็นความจริง นั่นก็เพราะว่าในขณะที่เฉิงเฉิงเล่าเรื่องนี้ มีเรื่องราวมากมายที่เธอไม่เคยเล่าให้ลูกๆฟัง จนสามารถพูดได้ว่าเป็นความลับอะไรเทือกนั้น
ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้กัน มิน่าวันนี้คุณป้าซินถึงได้ถามคุณแม่ไม่หยุดเกี่ยวกับท่าทีของคุณแม่ที่มีต่อคุณป้าหวีหรูเจี๋ย
หลังจากที่คุณแม่ให้คำตอบออกไปแล้ว ที่จริงแล้วกู้ฮอนก็เห็นบางวิ่งพาดผ่านนัยน์ตาของเจียงฮุ่ยซินไป
เพียงแต่ว่าประเดี๋ยวเดียวก็หายไป ทำให้เธอในตอนนั้นไม่มีวิธีมายืนยัน อีกทั้งคุณป้าซินยังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ พูดคุยกับคุณแม่ราวกับว่าไม่มีอะไรอย่างไรอย่างนั้น
จนกระทั่งคุณป้าซินบอกว่าเธอมีเรื่องอื่นต้องไปทำ ทุกคนเลยแยกย้ายกัน
คุณป้าซินจะร่วมมือกับคุณแม่เพื่อต่อสู้กับคุณป้าหวีหรูเจี๋ยหรือ นี่มันไม่มีเหตุผลเกินไปแล้ว
พวกเธอสามคนเคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันขนาดนั้น……
ประโยคที่ทำให้กู้ฮอนสับสนมากที่สุดก็คือ เจียงฮุ่ยซินเคยคิดจะใช้ประโยชน์จากเรื่องที่ทำเด็กหายมาทำให้ลู่ลู่กับหวีหรูเจี๋ยไม่ถูกกัน
นี่หมายความว่าอะไรกันแน่ หรือว่าเรื่องนี้ยังมีความลับอะไรซุกซ่อนเอาไว้อยู่ ทำเด็กหายเดิมก็เป็นแผนร้ายแผนหนึ่งหรือ เป้าหมายแผนร้ายก็คือคุณป้าหวีหรูเจี๋ย ไม่ใช่คุณแม่หรือ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจลึก เธอไม่กล้าอนุมานต่อไปอีก เพราะเธอกลัวเป็นอย่างมากว่าผลลัพธ์ที่ได้ออกมาจะทำให้คนสองรุ่นอยู่ไม่สงบ อย่างน้อยที่บ้านตระกูลเป่หมิงก็จะมีแผ่นดินไหวครั้งหนึ่ง
“เฉิงเฉิง เรื่องนี้ลูกห้ามเอาไปพูดกับคนอื่นแล้ว รวมถึงคุณยายก็ไม่สามารถพูดด้วยได้ นอกจากนี้ยังต้องไม่ให้หยางหยางพูดไปทั่วด้วย แม่จะจัดการเรื่องนี้เอง”
กู้ฮอนพูดแล้วก็ลุกขึ้นยืน จูงมือเล็กๆของเฉิงเฉิงเดินกลับไป
*
ความสนใจทั้งหมดในการทำงานของเป่หมิงโม่ในตอนนี้อยู่ที่การกำกับสัญญาการก่อสร้างของบริษัทGT
สำหรับหน้าที่ของตัวบริษัทเป่หมิงนั้นมีครอบครัวของเป่หมิงเฟยหย่วนแอบควบคุมอยู่
ฝ่ายออกแบบภายใต้การกำกับดูแลเป่หมิงยี่เฟิงได้เข้ามาดูแลโครงการก่อสร้างอีกหลายโครงการ นี่ทำให้ชื่อเสียงของเขาในบริษัทเป่หมิงกลับมาอีกครั้ง
คู่สามีภรรยาเป่หมิงเฟยหย่วนก็ไม่กล้าประมาทเลินเล่อ ใช้อำนาจประคับประคองลูกชายให้เป็นผู้นำในโครงการต่างๆ
ในนามก็คือบริษัทเป่หมิงบริษัทหนึ่ง ตอนนี้นั้นถูกแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างเงียบๆแล้ว
อีกทั้งทางฝั่งเป่หมิงยี่เฟิงยังอาศัยว่าเป็นลูกชายคนโตและหลานชายคนโตของตระกูลเป่หมิง จึงทำให้ไม่สามารถมาหักล้างสถานภาพและตำแหน่งได้
เป่หมิงโม่นั้นรู้เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่รอจังหวะโจมตี ล้วนเป็นคนตระกูลเป่หมิง เขาไม่อยากให้คนอื่นอาศัยความขัดแย้งของพวกเขามาตักตวงผลประโยชน์ให้ตัวเอง
เมื่อทำงานของวันนี้เรียบร้อยและเตรียมตัวจะกลับบ้าน ในเวลานี้เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากโม้จิ่งเฉิง
“ประธานโม้ มีเรื่องอะไรหรือ ผมคิดว่าสำหรับโครงการก่อสร้างของ บริษัทGT นั้นผมได้วางแผนจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว น่าจะไม่มีอะไรที่ต้องปรึกษาหารือกันอีกแล้ว”
โม้จิ่งเฉิงเงียบไปชั่วขณะแล้วก็เอ่ยว่า “โม่ ฉันไม่ได้โทรมาหาเธอเพราะเรื่องงาน”
***
เป่หมิงโม่ได้ยินว่าไม่ใช่เพื่อเรื่องงาน เขาก็เงียบขรึมไปชั่วครู่ในเวลาสั้นๆ
“โม่” โม้จิ่งเฉิงได้ยินอีกฟากทางโทรทัศน์นั้นนิ่งเงียบ
ในตอนแรกที่เขาโทรศัพท์ก็เดาได้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้
เดิมเป่หมิงโม่อยากจะตัดสายโทรศัพท์ไป แต่ในใจของเขากลับไม่ให้เขาทำเช่นนี้
“มีเรื่องอะไร พวกเรานัดสถานที่มาพูดคุยกันเถอะ ผมว่าในร้านกาแฟข้างโรงพยาบาลก็ได้ หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ผมจะรอคุณอยู่ที่นั่น” น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึมอยากเห็นได้ชัด ในใจของเขายังคงมีเมล็ดพันธุ์ที่เรียกว่าความรักเม็ดหนึ่งกำลังแตกหน่องอกเงยขึ้นมา
บางทีตอนนี้เมล็ดพันธุ์นั้นยังมีพลังไม่มากพอ ไม่พอที่จะให้เขาละทิ้งเรื่องในอดีตไปได้ แต่ว่ามันก็มากพอที่จะให้เขาทำเรื่องอย่างการอุ้มคุณแม่ไปที่โรงพยาบาลออกมาได้
โม้จิ่งเฉิงได้ยินเสียงตอบกลับมาของเป่หมิงโม่ ในใจก็รู้สึกสงบลงไม่น้อย เขาเงยหน้าไปมองหวีหรูเจี๋ยที่นอนหลับสนิทอยู่ในห้องพักผู้ป่วย จากนั้นก็พยักหน้า “ได้ พวกเรามาเจอกันหลังจากนี้อีกชั่วโมงหนึ่ง”
เป่หมิงโม่วางสายโทรศัพท์ ขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล
ความเร็วของรถเขานั้นช้ามาก ช้าจนกระทั่งความเร็วทั่วไปยังไม่ถึง ด้านข้างมีรถคันอื่นๆบีบแตรขับผ่านไป
*
ภายในร้านกาแฟข้างโรงพยาบาล
หลังจากโม้จิ่งเฉิงกำชับกับคุณหมอที่มาเข้าเวรเรียบร้อย ก็มานั่งอยู่ที่นี่นานแล้ว
เสียงเพลงนุ่มนวลภายในร้านกาแฟทำให้เขาที่แต่เดิมมีจิตใจตึงเครียดก็ค่อยๆผ่อนคลายลง
นับตั้งแต่หวีหรูเจี๋ยล้มป่วย โม้จิ่งเฉิงก็รู้สึกว่าในใจของตัวเองอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก กระทั่งสงสัยตัวเองว่าการตัดสินใจมาประกาศชื่อเสียงและบารมีอันยิ่งใหญ่ในเมือง A นี้ถูกหรือไม่
เวลาที่เป่หมิงโม่นัดกับเขาผ่านมาครึ่งชั่วโมงแล้ว
โม้จิ่งเฉิงยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนจนถึงตอนนี้ เขารู้ว่าในเมื่อเป่หมิงโม่นัดเขาแล้ว จะต้องมาอย่างแน่นอน
แม้ว่าจะล่าช้าไปครึ่งชั่วโมง บางทีเขาอาจจะถูกเรื่องอะไรทำให้ล่าช้า
เขาหันหน้าไปมองถนนนอกหน้าต่าง การจราจรเคลื่อนตัวไปมาอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้เองที่มีแสงไฟกระพริบจากรถ รถเก๋งสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ข้างหน้าต่างในบริเวณที่จอดรถ
ประตูรถเปิดออก เป่หมิงโม่เดินออกมาจากด้านใน
พนักงานต้อนรับหน้าประตูรีบเปิดประตูให้เขาเข้ามา
เป่หมิงโม่ยืนอยู่ที่หน้าประตู กวาดตามองไปทั่วร้านกาแฟรอบหนึ่ง
ในเวลาเดียวกัน โม้จิ่งเฉิงก็นั่งอยู่บนที่นั่ง โบกมือเรียกเขา
เป่หมิงโม่หมุนตัวเดินไปทางเขา
รอจนเขานั่งลงแล้ว บริกรคนหนึ่งก็เดินเข้ามา “ขออนุญาตสอบถามครับ คุณผู้ชาย คุณต้องการจะสั่งอะไรหรือครับ”
“บลูเม้าเท้นท์แก้วหนึ่ง”
“ได้ครับคุณผู้ชาย ผมจะรีบนำมาเสิร์ฟให้”
รอไม่นาน กาแฟก็มาวางเสิร์ฟบนโต๊ะด้านหน้าเป่หมิงโม่
เป่หมิงโม่ยกแก้วขึ้นมาดื่มไปคำหนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่โม้จิ่งเฉิง พลางเอ่ยว่า “ขอโทษด้วยที่ผมมาสาย”
โม้จิ่งเฉิงยิ้มบางๆแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ตอนนี้ในเวลานี้เป็นเวลารถติด สายหน่อยก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้”
เป่หมิงโม่ดื่มกาแฟอีกคำหนึ่ง มองไปที่โม้จิ่งเฉิงแล้วพูดว่า “ประธานโม้มีเรื่องอะไร พวกเราก็คุยกันที่นี่เถอะ”
โม้จิ่งเฉิงพยักหน้า เขาเอ่ยอย่างจริงใจว่า “โม่ ลำบากเธอแล้วจริงๆที่หลายวันมานี้ให้เธอดูแลจัดการโครงการที่เป็นการร่วมมือระหว่างพวกเราสองบริษัท ฉันขอบคุณเธอมาก”
มือเป่หมิงโม่หมุนแก้วกาแฟที่อยู่เบื้องหน้า เขามองโม้จิ่งเฉิงที่อยู่ตรงข้าม
จากนั้นก็หยิบกล่องบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ หยิบบุหรี่ออกมาจากด้านในสองมวน มวนหนึ่งส่งเข้าปากตัวเอง อีกมวนหนึ่งยื่นไปให้โม้จิ่งเฉิง
โม้จิ่งเฉิงยิ้มบางๆแล้วโบกมือเบาๆ เป็นการบอกว่าตัวเองไม่สูบ
***
เป่หมิงโม่วางมวนบุหรี่ลงบนโต๊ะ หยิบไฟแช็คออกมาจากกระเป๋าจุดไฟให้กับมวนบุหรี่มวนนั้นของตัวเอง
ในไม่ช้าก็พ่นควันบุหรี่เบาบางออกมาจากปาก
เขามองไปที่โม้จิ่งเฉิงอีกครั้ง “คุณบอกว่าไม่ได้พูดคุยเรื่องงานทางโทรศัพท์ไม่ใช่หรือ” น้ำเสียงเขายังคงเย็นยะเยือกอย่างเห็นได้ชัด
ที่จริงแล้วตอนนี้ในใจของเป่หมิงโม่ขัดแย้งกันเป็นอย่างมาก ทางหนึ่งก็ไม่อยากฟังเรื่องราวนอกเหนือจากงาน อีกทางหนึ่งเมื่อได้ยินบทสนทนาที่เกี่ยวกับปัญหาในเรื่องงานเล็กน้อยแล้วก็ไม่อยากจะฟังต่อไป
โม้จิ่งเฉิงพยักหน้า ยิ้มให้เขาอย่างขออภัย “ขอโทษที ฉันเพียงแค่อยากจะบอกว่าหลายวันมานี้มีเธอจัดการด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ฉันถึงได้ปลีกตัวออกมาดูแลคุณแม่เธอได้”
เขาไม่ได้เอ่ยชื่อของหวีหรูเจี๋ย ก็เพราะอยากจะลองหยั่งเชิงปฏิกิริยาของเป่หมิงโม่ ดูว่าที่จริงแล้วเขาเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเธอมากน้อยเท่าไรกันแน่
เพราะนับตั้งแต่หวีหรูเจี๋ยหมดสติไป ความเครียดที่เขาแสดงออกมาบนใบหน้าไปจนถึงตอนที่ส่งเธอถึงโรงพยาบาล เป่หมิงโม่ขับรถเร็วขนาดนั้นก็สามารถมองออกได้ว่าที่จริงแล้วในตอนนี้ความรู้สึกเย็นชาเหมือนน้ำแข็งของเขาที่มีต่อหวีหรูเจี๋ยนั้นเริ่มผ่อนลง