เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1029 เข้าร่วมไปด้วยอีกคนแล้ว
บทที่ 1029 เข้าร่วมไปด้วยอีกคนแล้ว
ฉิงฮัวเข้าใจสถานการณ์ส่วนใหญ่มาจากในโทรศัพท์แล้ว และได้รู้ว่าคุณชายน้อยทั้งสองกำลังเจอกับปัญหาที่หน้าประตูโรงเรียนอยู่
“คุณชายยี่เฟิง ผมมีเรื่องด่วนคงต้องออกไปก่อนแล้ว” ฉิงฮัวลุกยืนขึ้น แล้วพูดกับเป่หมิงยี่เฟิงคำหนึ่ง
“เฉิงเฉิงกับหยางหยางพวกเขาสองคนไม่เป็นอะไรใช่ไหม ต้องการให้ฉันส่งคนสักสองคนไปช่วยนายไหม?” สำหรับลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนของเขานั้น เป่หมิงยี่เฟิงก็ยังคงมีความเป็นพี่ชายอยู่จริง ๆ และที่สำคัญยังรู้สึกเป็นหว่งพวกเขาขึ้นมาจากใจจริงอีกด้วย
“ขอบคุณครับคุณชายยี่เฟิง แต่ผมไปจัดการคนเดียวก็พอแล้ว งั้นผมไปก่อนนะครับ” พูดจบ ฉิงฮัวก็หมุนตัวเดินออกจากบริษัทไปอย่างรวดเร็ว
“เด็กสองคนนี้เป็นอะไรไป? ทำไมผมฟังแล้วเหมือนกับเจอปัญหาอะไรเข้าแล้วนะ?” ถังเทียนจื๋อถามขึ้น
“ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ว่าปัญหาน่าจะไม่ใหญ่หรอกมั้ง”
*
พอเฉิงเฉิงโทรศัพท์เสร็จ ก็เอาคำพูดที่ฉิงฮัวบอกเขากระซิบให้หยางหยางฟังเบา ๆ และในเวลาเดียวกัน จินเล่ยพาพวกโก้เก๋ก็มาเกือบจะถึงตรงหน้าพวกเขาแล้ว
“เป่หมิงซีหยาง แกรีบร้องขอชีวิตเถอะ ฉันจะบอกอะไรแกให้นะ ถึงแกโทรศัพท์แล้วฉันก็ไม่กลัวหรอก แกเห็นหรือยัง สามคนนี้เป็นบอดี้การ์ดของพ่อฉันทั้งนั้น มาแปดเก้าคนพวกเขาก็ยังจัดการไหว” อยู่ในเวลานี้จินเล่ยถือได้ว่าสามารถลืมตาอ้าปากต่อหน้าหยางหยางได้สักครั้งหนึ่งแล้ว
ถึงแม้ว่าตอนนี้ท้องของเขาอาจจะยังเจ็บน้อย ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว
***
การเผชิญหน้าที่กับจินเล่ยที่คอยอวดเบ่งเสียงดังไม่หยุดอยู่ต่อหน้าตัวเอง รวมถึงพวกโก้เก๋สามคนที่ยืนช่วยข่มขู่อยู่ข้างหลังเขานั้น มันทำให้เฉิงเฉิง หยางหยาง และจ้าวจิงอี้พวกเขารู้สึกเรื่องมันยากขึ้นมาบ้างแล้วจริง ๆ
“ตามผู้ใหญ่มาช่วย ถือว่ามีปัญญาอะไร” จ้าวจิงอี้พูดเสียงดังใส่จินเล่ย
ถึงแม้เธอเผชิญหน้ากับคนพวกนี้แล้วรู้สึกกลัว แต่ว่าก็รู้สึกว่ามีคนอยู่ในเหตุการณ์เยอะขนาดนี้ เธอก็ไม่เชื่อว่าคนพวกนี้จะกล้าทำอะไรพวกเธอได้
และที่สำคัญ การตะโกนเสียงดังแบบนี้ก็ยังสามารถดึงดูดให้ผู้คนมาสนใจทางนี้มากขึ้น แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วละก็ ก็อาจจะปลอดภัยกว่า อย่างน้อยก็น่าจะมีคนก้าวออกมาพูดอะไรบ้างก็ได้ หรือบางทีอาจจะมีคนแจ้งตำรวจ
และก็เป็นไปตามนั้น หลังจากที่เธอพูดจบแล้ว ก็สามารถดึงดูดความสนใจคนได้จริง ๆ
ที่จริงแล้วตั้งแต่ตอนที่จินเล่ยพาพวกคนโก้เก๋สามคนเดินมาอย่างดุร้ายนั้น ก็เริ่มมีคนสังเกตเห็นพวกเขาแล้ว
เพียงแต่ว่า คนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี ๆ เขาไม่มาสนใจพวก ‘นักเลงหัวไม้’พวกนี้หรอก ก็เลยแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นกันอย่างแน่นอน
“เหอ เหอ จะบอกอะไรเธอให้นะ อย่าดูว่าที่นี่คนเยอะขนาดนี้ ถึงแม้พวกเราตีเธอแล้ว ก็ไม่มีใครก้าวออกมาพูดอะไรหรอก เธอเชื่อฉันไหมล่ะ” จินเล่ยหัวเราะอย่างไร้ยางอาย
และในเวลาเดียวกันพวกโก้เก๋สามคนข้างหลังเขาก็ทำท่าทางไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินอีก และเอามือทั้งสองข้างขึ้นมากอดอยู่ตรงหน้าอก พวกเขาหัวเราะได้อย่างไม่ระมัดระวังตัว ร่างทั้งร่างก็ค่อย ๆ สั่นเทาไปด้วย
“หรือจะไม่มีคนมาช่วยเราแล้วจริง ๆ เหรอ คราวนี้ควรทำยังไงดีละ?” จ้าวจิงอี้เห็นสถานการณ์เป็นอย่างนี้ก็อึ้งทึ่งไปแล้ว
เฉิงเฉิงก็หมดหนทางแล้ว ถึงแม้เมื่อกี้จะโทรศัพท์หาฉิงฮัวไปแล้ว
แต่ว่าเขาขับรถจากบริษัทเป่หมิงมาที่นี่ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสิบกว่ายี่สิบนาที
ช่วงเวลาระหว่างนี้ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริง ๆ แล้วละก็ ดูท่าจะจัดการยากแล้วจริง ๆ
หยางหยางก็เหมือนกับพวกเขา กำลังกังวลเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ เพียงแต่ที่เขากังวลคือหวูเสี่ยวเอ๋อ เมื่อกี้ตัวเองเป็นคนเรียกเขามาเองนะ
ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ เจ้าจินเล่ยคงจะต้องคิดบัญชีกับตัวเองอย่างเด็ดขาดแล้ว และมีผู้ใหญ่สามคนนั้นอยู่ ยังไงตัวเองก็ต้องโดนตีแล้วแน่นอน
ถ้าหากหวูเสี่ยวเอ๋อมาแล้ว ก็จะโดนตีไปพร้อมกับตัวเองด้วยไม่ใช่เหรอ……
หยางหยางที่เป็นลูกพี่นี้ ก็ค่อนข้างดีกับลูกน้องอยู่ เขาไม่อยากให้คนอื่นต้องมาบาดเจ็บเพราะตัวเองไปด้วย
“เป่หมิงซีหยาง เมื่อกี้แกยังอวดเก่งอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ทำไมกลายเป็นใบ้ไปแล้วล่ะ? เข้ามาซิ มีปัญญาก็เข้ามาแบบเมื่อกี้อีกครั้งซิ! เข้าเด็กอย่างแก ก็มีตอนที่กลัวด้วยเหรอ จะบอกอะไรแกให้นะ เมื่อกี้ฉันให้โอกาสแกลอดใต้หว่างขาแล้วก็เจ๊ากันไป แต่ว่าตอนนี้ ทั้งบัญชีเก่าบัญชีใหม่ฉันจะคิดพร้อมกันเลย ไม่เพียงแค่ตีแกเท่านั้น ตีแกเสร็จยังต้องให้แกลอดใต้หว่างขาฉันไปอีก”
“ใครจะให้ลูกพี่ฉันลอกใต้หว่างขากัน? จินเล่ย เจ้าเด็กอย่างแกยังอยากจะโดนตีอีกแล้วเหรอ ฉันจะตีจนให้แกไม่เพียงลอดใต้หว่างขาลูกพี่ฉันเท่านั้น ยังต้องลอดของฉันอีกด้วย!”
พูดแล้ว เด็กคนหนึ่งที่ตัวโตเท่าประมาณหยางหยางก็ดินทะลุรถที่จอดอยู่หน้าประตูผ่านเข้ามา และก็มาถึงข้างกายหยางหยางอย่างรวดเร็ว
“นายทำไมมาเร็วขนาดนี้ รีบหาคิดวิธีพาพี่ฉันแล้วจ้าวจิงอี้หนีไปจากที่นี่เร็ว” พอหยางหยางเห็นหวูเสี่ยวเอ๋อแล้วก็พูดเสียงกระซิบเบา ๆ กับเขาขึ้น
หวูเสี่ยวเอ๋อมองพวกจินเล่ยแล้ว ก็เข้าใจแล้วว่านี่คงจะเจอกับปัญหาใหญ่เข้าให้แล้ว
“ถ้าฉันพาพวกเขาหนีไปแล้ว นายจะทำยังไงล่ะ?”
หยางหยางขมวดคิ้วแล้วกัดฟันพูดขึ้น “นายไม่ต้องสนใจฉันหรอก พอถึงตอนนั้นฉันก็จะหาโอกาสหนีเหมือนกัน”
“เหอ เหอ พวกแกสองคนกำลังซุบซิบอะไรกันอยู่ตรงนั้น? ปรึกษากันว่าจะหนียังไงกันอยู่ละซิ จะบอกอะไรแกให้นะ วันนี้พวกแกทุกคนไม่ว่าใครก็หนีไม่รอดหรอก” จินเล่ยพูดไป ก็แผ่รังสีความโหดเหี้ยมออกมาอย่างมาก เขาหันหลังไปบอกกับพวกโก้เก๋ทั้งสามว่า “เจ้าเด็กสองคนที่ตีฉันวันนั้น ต่างก็อยู่ที่นี่กันหมดแล้ว พวกนายตีมันให้น่วมไปเลย!”
***
เจ้าโก้เก๋ทั้งสามต่างก็ยิ้ม แล้วก็กำหมัดไปด้วยและค่อย ๆ เดินไปทางพวกหยางหยางไปด้วย
หยางหยางกับหวูเสี่ยวเอ๋อดูสถานการณ์จากตอนนี้แล้วคงจะไม่มีทางหนีแน่ ๆ พวกเขาสองคนเอาเฉิงเฉิงกับจ้าวจิงอี้มาปกป้องไว้ข้างหลัง แล้วพูดเสียงเบาว่า “พวกนายสองคนเดี๋ยวหาโอกาสหนีไปนะ พวกเราจะมาดึงดูดความสนใจของพวกมันไว้เอง ถ้าหากเจอแม่แล้ว ไม่ต้องบอกให้เขาเข้ามานะ ให้เรียกตำรวจมาเลยหรือใครก็ได้”
ในเวลานี้เฉิงเฉิง ก็โดนเจ้าน้องชายคนนี้ของเขาทำให้ซาบซึ้งแล้ว อย่าดูว่าปกติมักจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ตอนนี้พอเกิดเรื่องขึ้นมากลับกล้าก้าวยืนออกมาจริง ๆ และแน่นอนว่าก็ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว
คราวนี้จ้างจิงอี้ตกใจจนน้ำตาหมุนวนอยู่ในดวงตาแล้ว “เป่หมิงซีหยาง ขอโทษจริง ๆ นะ ฉันต้องขอโทษต่อคำพูดที่เคยพูดสอดเสียดนายมาตลอดด้วย……”
“ตอนนี้เธอช่วยพูดอะไรที่มันดูเป็นมงคลหน่อยได้ไหม ทำอย่างกับให้รู้สึกว่าจะจากลากันตลอดกาลแล้วอย่างงั้นแหละ อย่ามาเพิ่มเรื่องไม่สบายใจให้ฉันที่นี่ได้ไหม ตามพี่ชายของฉันไป แล้วพวกเธอก็โบยบินไปให้ไกล ๆ เถอะ”
คำพูดนี้ฟังแล้วทำไมมันทะแม่ง ๆ ล่ะ? ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่านี่จ้าวจิงอี้กำลังจะหนีตามเฉิงเฉิงไปยังไงอย่างงั้น……
หลังจากที่เฉิงเฉิงและจ้าวจิงอี้มองกันทีหนึ่งแล้วก็หมดคำพูดกันเลยทันที และที่หน้าผากก็มีเส้นดำออกมาเส้นหนึ่ง
“พวกนายสามคนอย่าให้เจ้าพวกสี่คนนี้หนีไปได้ละ ถ้าหากหนีไปได้แม้แต่คนเดียวละก็ พอถึงเวลาอย่ามาโทษว่าฉันไปฟ้องพวกนายกับพ่อฉันนะ! ยังมีพวกนายสองคนด้วย ตามเข้าไปพร้อมกันเลย”จินเล่ยพูดแล้ว ก็ให้ลูกน้องสองคนของตัวเองตามไปสมทบกับพวกโก้เก๋ด้วย ไปเดินหน้าล้อมพวกหยางหยางและเฉิงเฉิงเอาไว้
หยางหยางกับหวูเสี่ยวเอ๋อทั้งสองคนคุ้มกันเฉิงเฉิงกับจ้าวจิงอี้ไว้ แล้วค่อย ๆ ถอยหลังไปทีละนิด
หน้าประตูโรงเรียนแต่แรกก็มีพื้นที่อยู่ไม่เท่าไหร่ แล้วยิ่งมามีรถจอดอยู่เจ็ดแปดคัน บวกกับตอนนี้ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งด้วย ก็เปรียบเสมือนกับว่าอุดหน้าประตูโรงเรียนไว้แบบน้ำไหลผ่านไม่ได้กันเลยทีเดียว
คนมีเงินพวกนี้นี่ช่างมี ‘คุณธรรม’กันจริง ๆ พอเห็นว่าที่หน้าประตูโรงเรียนเกิดเรื่องแล้ว ต่างก็ทยอยถอยรถหรูของตัวเองออกมากันหมด ถอยจนมีพื้นที่ว่างและโล่งมากพอแก่พวกเขา
ที่พวกเขาทำแบบนี้ก็เพราะว่าไม่อยากให้ตอนที่สู้กันขึ้นมาแล้ว จะมาทำให้รถของตัวเองซวยไปด้วย สำหรับในนั้นผู้ใหญ่กี่คนตีเด็กกี่คนนั้น พวกเขาไม่สนใจกันหรอก
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ก็ยิ่งส่งผลให้จินเล่ยและพวกโก้เก๋ยิ่งหยิ่งผยองมากขึ้นไปอีก
วงล้อมเริ่มค่อย ๆ บีบตัวเข้ามา คนห้าคนที่ท่าทางโหดเหี้ยมค่อย ๆ เดินเข้าไปทางพวกหยางหยาง
จินเล่ยกลับยืนอยู่อีกข้าง “เป่หมิงซีหยาง วันนี้เป็นวันสิ้นโลกของแกแล้ว!”
“เอี๊ยด……” รถยนต์เบรกกะทันหัน ทำให้เกิดเสียงดังบาดหู
และสิ่งที่ตามมา ยังมีกลิ่นเหม็นไหม้จาง ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ล้อรถยนต์เสียดสีกับพื้นผิวอย่างแรงอีกด้วย
จนทำให้พวกคนมุงดูต้องรีบหลบหลีกกันตามสัญชาตญาณเลย
“ตี๊ ตี๊ ตี๊ ตี๊……” ที่ตามติด ๆ ก็คือเสียงเตือนกันขโมยของรถคันหนึ่งดังขึ้น
“นี่ นี่คุณชนรถฉันพังแล้วนะ คุณรู้ไหมว่ารถของฉันนี่มันเป็นรถเบนซ์นะ……” คนคนหนึ่งที่น่าจะเป็นผู้ปกครองที่มารอรับลูกเลิกเรียน เข้ามาโต้แย้งขึ้นกับผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งลงมาจากรถ
ผู้ชายคนนั้นใส่สูทดูสง่าผ่าเผย รูปร่างสูงโปร่งและแข็งแกร่ง ทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าแผ่รังสีเย็นยะเยือกออกมา จนทำให้อากาศโดยรอบเย็นลงอย่างมากเลยทันที
ดวงตาทั้งคู่เหล่มองเจ้าหมอนั่นที่กำลังปวดใจกับรถตัวเองจนจะร้องไห้อยู่แล้วทีหนึ่ง จากนั้นก็ล้วงเช็คออกมาจากกระเป๋าเล่มหนึ่งแล้วเขียนตัวเลขชุดหนึ่งลงไปแล้วเหวี่ยงออกไป “นี่มากพอให้รถของคุณรื้อทั้งหมดออกมาซ่อมได้ครั้งหนึ่งแล้ว”
พอพูดจบแล้ว เขาก็เดินไปทางหยางหยาง เดินผ่านไปด้วยฝีก้าวที่รวดเร็วราวกับดาวตก
หยางหยางและหวูเสี่ยวเอ๋อกำลังเตรียมตัวจะสู้สุดชีวิตกับคนพวกนั้นแล้ว
พอมีพวกโก้เก๋มาเสริมความกล้า ก็ไม่รู้ว่าลูกน้องทั้งสองคนนั้นของจินเล่ยมีพละกำลังด้านมืดขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน ถึงขนาดออกตัวเป็นอาสาสมัครพุ่งไปที่พวกหยางหยางเป็นคนแรกเลย “แค้นที่แกตีลูกพี่ของเรา เราจะต้องชำระแน่ ๆ เจ้าเด็กน้อยคอยดูหมัดไว้ให้ดีล่ะ!”
***
ลูกน้องสองคนนั้นของจินเล่ยอยากจะออกหน้า และที่สำคัญถือว่ามีพวกโก้เก๋คอยหนุนหลังอยู่ ก็ยกหมัดขึ้นพุ่งเข้าใส่พวกหยางหยางและหวูเสี่ยวเอ๋อ
และอย่างรวดเร็วก็ได้ยินเสียง “โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย…..”
เห็นเพียงแต่เจ้าสองคนนั้นโดนหยางหยางและหวูเสี่ยวเอ๋อทำให้ล้มลงกับพื้นอย่างง่ายดายทันที
สภาพนั้นเหมือนกับเจ้านายของพวกเขาก่อนหน้านี้เลย ต่างก็ใช้มองมือกุมท้องเอาไว้ ตัวงออยู่อย่างกับเป็นกุ้งเลย
ความเจ็บปวดที่มีอยู่เต็มใบหน้านั้นไม่ต้องพูดถึงเลย
ครั้งนี้จินเล่ยมาแบบมีความมั่นใจที่จะชนะร้อยทั้งร้อยเลยนะ
คิดว่ามีพวกโก้เก๋คอยหนุนหลังอยู่ตรงนี้ พวกหยางหยางน่าจะไม่กล้าลงมือหรอก
แต่ว่าเกินความคาดหมายของเขาแล้ว ในเวลาแบบนี้แล้ว เจ้าเด็กสองคนนี้ยังคงไม่เห็นตัวเองอยู่ในสายตาอีกเช่นเดิน และยังคงลงมือแบบไม่ออมมือให้เลยสักนิด
“นี่มันเป็นคนไร้ค่าสองคนเลยจริง ๆ ! พวกนายสามคนจัดการเด็กสองคนนี้แบบโหด ๆ ให้ฉันเลย วันนี้ต้องทำให้พวกมันราบเป็นหน้ากลองไปกับพื้นให้ได้!”
จินเล่ยเขย่งเท้าร้องตะโกน คาดว่าเขาก็คงโดนบีบจนไม่มีทางแล้ว
หลังจากที่จินเล่ยสั่งคำสั่งโหดออกไปแล้วนั้น อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองนั้นเบาขึ้น ตัวทั้งตัวเหมือนกับลอยขึ้นยังไงอย่างงั้น
แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองมีพลังวิเศษอะไร และที่สำคัญ โดนคอเสื้อนั้นรัดอยู่มีความรู้สึกว่าไม่สบายตัวจริง ๆ
“อายุน้อย ๆ ก็รู้จักลงมือโหดแบบนี้แล้ว คาดว่าโตไปนายก็คงไม่มีทางเป็นคนดีอะไรได้”
เสียงนี้เหมือนเสียงที่เปล่งออกมาจากในนรกยังไงอย่างงั้น เย็นยะเยือกและที่สำคัญยังขรึมต่ำ ทำให้จินเล่ยขนลุกพรึบไปหมดทั้งตัว
ในใจของเขาเริ่มลนลาน แต่ปากก็ยังคงไม่ปรานีคน “คุณเป็นใครกัน ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นละก็คุณจะได้เห็นดีกันแน่ พ่อผมนั้นไม่ใช่คนที่จะแหย่ได้ง่าย ๆ นะ”
เขาพูดไป มือเท้าก็ยังไม่ยอมหยุดดิ้นรนต่อไป
แต่น่าเสียดายความพยายามแบบนี้กลับไม่ได้ทำให้ตัวเองได้รับอิสระกลับคืนมาเลย
ในตอนที่พวกโก้เก๋กำลังเตรียมตัวจะสั่งสองหยางหยางกับหวูเสี่ยวเอ๋ออยู่นั้น อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงจินเล่ยกำลังดิ้นรนอยู่ข้างหลัง
ที่จริงสำหรับพวกเขามาพูดแล้ว ผู้ใหญ่สามคนมาตีเด็กสองคน มันช่างน่าขายหน้ามากเลยจริง ๆ แต่ว่ามันไม่มีทางออกแล้ว ใครให้ตัวเองเอาค่าตอบแทนไปแล้วละ ไม่ว่าจะขายหน้ายังไงก็คงต้องทำอยู่ดี
พวกเขาหันหน้าไปมองตามเสียง แล้วก็ต้องตกตะลึงจนหน้าซีดขึ้นมาทันที
เห็นแค่เพียงจินเล่ยโดนผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งหิ้วปกคอเสื้อไว้จนเขาตัวลอยอยู่ เขายังคงใช้แขนขาดิ้นรนไม่ยอมหยุด ดูแล้วท่าทางไม่สบายเอามาก ๆ อีกด้วย