เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1030 นี่ก็คือชีวิต
บทที่ 1030 นี่ก็คือชีวิต
ถ้าจินเล่ยเกิดเรื่องขึ้นแล้ว งั้นตัวเองก็กินยังไม่ได้กินยังจะต้องมารับผิดชอบอีก ยังไงก็ทิ้งเด็กสี่คนนี้ไปก่อน แล้วไปปกป้องเจ้านายให้ได้ก่อนค่อยว่ากันดีกว่า
หยางหยางกับหวูเสี่ยวเอ๋อกำลังเตรียมพร้อมที่จะรับหมัดที่จะมา‘ล้างบาป’ให้ตัวเองแล้ว แต่ว่าอยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงจินเล่ยร้องขึ้นมา
พอหันสายตาไปมองก็ดีใจขึ้นมา เขาหมุนตัวกลับไปพูดกับเฉิงเฉิงว่า “วันนี้พวกเรารอดแล้ว นายดูซิใครมาช่วยเราแล้ว”
เฉิงเฉิงมองตามมือของหยางหยางที่ชี้ไป แล้วใบหน้าก็มีแววดีใจขึ้นมาทันที
“พ่อ พ่อมาช่วยเราแล้ว นายดูเจ้าเด็กจินเล่ยซิ โดนพ่อหิ้วอยู่อย่างกับนกกระทาตัวหนึ่งอย่างงั้นแหละ” หยางหยางทั้งหน้าดูมีท่าทางภาคภูมิใจ
“พวดเขาสามคน คุณพ่อแค่ตัวคนเดียว อย่างนี้ก็เสียเปรียบนะซิ?” เฉิงเฉิงรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาบ้าง ในเมื่อมีอยู่คำพูดหนึ่งคือพูดไว้แบบนี้ว่า : ผู้เก่งกาจก็ยากจะต้านสี่มือได้ เสือหิวโหยก็ยังกลัวฝูงหมาป่า
“ คงจะไม่หรอกมั้ง ที่จริงพ่อต่อสู้เก่งมากนะ แล้วอีกอย่าง ขอแค่พ่อสามารถยืนหยัดได้นานขึ้นหน่อย และนายก็แจ้งลุงหัวฟูไปแล้วไม่ใช่เหรอ ขอแค่เขารีบมาให้ถึง ไอ้คนพวกนี้ก็จะโดนเหมาหมดแน่” หยางหยางนั้นเชื่อมั่นเป่หมิงโม่เป็นอย่างมาก
และผลสรุปว่า อย่างรวดเร็วสถานการณ์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว
พวกโก้เก๋แบ่งออกเป็นสามด้านล้อมตัวเป่หมิงโม่เอาไว้
และเพราะว่าในมือของเขายังหิ้วจินเล่ยเอาไว้ เพราะฉะนั้นพวกโก้เก๋ก็เลยยังไม่กล้าลงมือ
***
“เจ้าหนุ่ม รีบปล่อยคุณชายน้อยของเราลงมาเดี๋ยวนี้นะ! ไม่งั้นละก็ระวังข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ!” หนึ่งในพวกโก้เก๋พูดขึ้นกับเป่หมิงโม่อย่างโหดเหี้ยม
เป่หมิงโม่มองเขาแล้วยิ้มเย็น ๆ ขึ้น “อ๋อ? ฉันละอยากจะดูว่านายจะไม่เกรงใจยังไงได้บ้าง?”
“แกนี่มันมีชีวิตอยู่จนเบื่อแล้วใช่ไหม!” คนโก้เก๋คนนั้นที่เพิ่งพูดกับเป่หมิงโม่ไปเมื่อกี้กัดฟันกรอกขึ้น และใบหน้าโหดเหี้ยมแล้วยกหมัดขึ้นเหวี่ยงเข้าใส่เขา
“ผลุบ…..” และอย่างรวดเร็ว ก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นก็มีอีกเสียงโทนต่ำอีกเสียง “ตุ๊บ……”
“ตี๊ ตี๊ ตี๊ ตี๊……” เสียงเตือนกันขโมยรถดังขึ้นมาอีกครั้ง
ระหว่างนั้นเจ้าคนที่ใบหน้าโหดเหี้ยมเมื่อกี้ ตัวทั้งตัวก็ได้นอนฟุบอยู่บนรถสีขาวคันหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลแล้ว สัญญาณกันขโมยของรถคันนั้นก็ได้กะพริบขึ้นอย่างรวดเร็ว
และในเวลาเดียวกัน ระหว่างนั้นเป่หมิงโม่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เหมือนอย่างกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย และที่สำคัญที่สุดคือ ในมือของเขายังคงหิ้วจินเล่ยเอาไว้
แค่ลงมือแค่นี้ ก็ได้ทำให้จินเล่ยตกใจแทบแย่แล้วจริง ๆ
เขานั้นได้เห็นทุกอย่างเกิดขึ้นกับตาตัวเองจริง ๆ ท่าทางเหล่านั้นเร็วมากจนทำให้เขาตั้งตัวกลับทันทีไม่ได้
“พ่อ ฝีเท้าดีมากเลย เดี๋ยวกลับบ้านแล้วสอนผมด้วยนะ” หยางหยางที่ยืนอยู่อีกข้างนั้น ดีใจแทบแย่แล้ว
เป่หมิงโม่มองไปที่เขา “หนูกับเฉิงไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ…… แค่พวกเขาไม่กี่คนนี้ไม่มีทางเข้าใกล้ผมได้หรอก” หยางหยางพูดอย่างยิ้มแฉ่ง จากนั้นก็ยื่นมือชี้ไปที่จินเล่ย “พ่อ พ่อส่งเจ้าหมอนี่มาให้ผมจัดการเถอะ เรื่องทั้งหมดของวันนี้เขาเป็นคนสร้างขึ้นทั้งนั้น เมื่อกี้ยังโอ้อวดว่าจะให้ผมลอดใต้หว่างขาเขาอยู่เลย ผมว่าให้เขาลอดของผมก่อนค่อยว่ากันดีกว่า”
พอจินเล่ยได้ฟัง ที่แท้คนคนนี้เป็นพ่อของเป่หมิงซีหยางหรอกหรือ ถึงว่าเขาถึงได้สู้เก่งขนาดนี้ ที่แท้เป็นเพราะว่ามีพ่อที่สู้เก่งขนาดนี้เหมือนกันนี่เอง
ดวงวันนี้ทำไมถึงได้ซวยขนาดนี้นะ โดนลูกชายตีแล้วยังต้องมาโดนพ่อตีอีก นี่ก็คือชีวิตแหละ……
ในใจลึก ๆ ของเขากำลังร้องโอดครวญอยู่
เป่หมิงโม่ปล่อยจินเล่ยลงบนพื้น ไม่ได้โยนออกไป เพราะว่าเขาไม่อยากทำให้เรื่องยุ่งยากมากขึ้น ในเมื่อตัวเองเพิ่งจะออกมาจากศาล ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงรอลงอาญาอยู่ ถ้าหากทำเรื่องยุ่งยากอะไรขึ้นอีก งั้นก็ต้องรู้สึกผิดต่อความพยายามของหยินปู้ฝันและกู้ฮอนแล้ว
“หนูดูเขาไว้ดี ๆ แต่ว่าหนูห้ามให้เขาลอดใต้หว่างขานะรู้ไหม”
หยางหยางทำปากจู๋ขึ้นอย่างรู้สึกผิดหวัง “ก็ได้ ผมแค่ตีเขาไม่กี่ทีคลายโกรธได้ไหมครับ”
พอจินเล่ยได้ยิน ในใจก็ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ขึ้นมา คราวนี้ถือได้ว่าจะต้องตกอยู่ในมือของ‘แม่เลี้ยง’แล้ว อยู่ในกำมือของเขายังจะอะไรดี ๆ ให้เขาอีก……
แม้กระทั่งในเวลาแบบนี้ เขาเริ่มรู้สึกสำนึกผิดแล้ว ตัวเองทำไมจะต้องมาหาเรื่องเขาด้วยนะ ไม่ได้เป็นพี่ใหญ่ก็แค่ไม่ต้องเป็นก็ได้แล้ว
ในมือว่างลงแล้ว แล้วเป่หมิงโม่ก็มองพวกโก้เก๋สองคนที่เหลือ “พวกนายจะเข้ามาทีละคน หรือว่ามาพร้อมกันทีเดียวสองคนเลยล่ะ?”
เสียงพูดเพิ่งจบลง ที่ห่างไปไม่ไกลก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาอีก “เจ้านาย คุณไม่ต้องเสียแรงแล้ว เอาพวกเขามอบให้ผมจัดการเถอะครับ!”
“คนที่ควรมาก็มาครบแล้ว เจ้าเด็กน้อย นายก็ดูว่าพวกบอดี้การ์ดที่ไร้ค่าของพ่อนายพวกนี้จะโดนตีจนนอนราบกับพื้นยังไงละกัน” หยางหยางกับหวูเสี่ยวเอ๋อจับจินเล่ยไว้คนละข้างเหมือนอย่างกับจับนักโทษ
“ที่จริงแล้วพวกเขาไม่ใช่บอดี้การ์ดของพ่อฉัน เมื่อกี้ฉันแค่อยากข่มขู่พวกนายเฉย ๆ พวกเขาเป็นคนที่ฉันจ่ายเงินจ้างมาห้าร้อย……”จินเล่ยท่าทางมีใบหน้าหดหู่
“ตกลงนายนี่มีกี่คำที่พูดจริงกันแน่ เป็นคนที่น่าโดนต่อยจริง ๆ เลย ดูซิครั้งหน้านายจะยังกล้าขี้โม้ต่อหน้าฉันอีกไหม”หยางหยางพูดแล้วก็โมโหจึงยกเท้าขึ้นมาเตะไปที่ตูดของเขาทีหนึ่ง
***
การมาถึงอย่างทันเวลาของฉิงฮัวทำให้เป่หมิงโม่รู้สึกโล่งใจไปไม่น้อย สองคนช่วยกันจัดการนักเลงสามคน……ตอนนี้เหลือแค่สองคนแล้ว
สองต่อสอง ดูแล้วยุติธรรมขึ้นไม่น้อย
แต่ว่าพวกโก้เก๋สองคนนั้นกลับไม่รู้สึกอย่างนี้สักเท่าไหร่ แล้วยิ่งโดยเฉพาะหลังจากที่หนึ่งในสามของพวกเขาเพิ่งจะโดนจัดการไปในพริบตาแล้ว
ถ้าหากสองต่อหนึ่งแล้วละก็ พวกเขาอาจจะลองดู ด้วยความคิดที่ว่าเผื่อโชคอาจจะดีก็ได้
แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว แถมยังมีชายร่างกำยำคนหนึ่งมาเพิ่มอีกด้วย
พวกเขาถือว่าไม่ได้ทำผิดต่อเงินห้าร้อยนี่แล้วจริง ๆ หลังจากที่มองสบตากันทีหนึ่งแล้ว ก็ใจตรงกันโดยเลือกเผ่นหนีไปอย่างไม่เห็นควันเลย
“นายดูซิคนที่นายเสียเงินจ้างมา นี่มันไม่มีเป็นมืออาชีพเอาซะเลย ยังทำงานไม่เสร็จเลยก็เผ่นหนีไปซะแล้ว เงินของนายดูท่าแล้วน่าจะลอยไปน้ำแล้ว” ในเวลานี้หยางหยางรู้สึกสงสารเจ้าจินเล่ยนี่ขึ้นมาบ้างแล้ว
เป็น ‘หัวโจกน้อย’ในชั้นเด็กเล็กของโรงเรียนอยู่ดี ๆ ไม่ว่า ตอนแรกก็ต่างคนต่างอยู่กับหยางหยางแล้ว แต่น่าเสียดายที่แค่ความคิดเห็นแตกต่างกันเลยทำให้พวกเขามีความขัดแย้งกัน จนสุดท้ายต้องมาถึงขั้นนี้อย่างตอนนี้
พวกโก้เก๋สองคนหนีไปแล้ว ที่เหลืออีกคนก็โดนผู้ปกครองที่รถโดนชนพังจับตัวไว้ไม่ปล่อย
หลังจากที่ฉิงฮัวเห็นเป่หมิงโม่แล้วก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่ว่าติดอยู่ตรงที่ยังมีเด็ก ๆ อยู่ เรื่องราวเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องที่เปิดเผยได้ เพราะฉะนั้นถึงได้พูดเสียงเบากับเขาว่า “เจ้านายครับ คุณสามารถออกมาได้อย่างปลอดภัยช่างดีมากจริง ๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมามีเรื่องให้กังวลมากมาย เพียงแต่ว่าทางด้านบริษัทเป่หมิงนั้นผมยังต้องคอยจับตาดูอยู่ เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีเวลาไปเยี่ยมคุณเลย”
“ระหว่างเราสองคนยังต้องพูดแบบนี้กันอีกเหรอ ช่วงเวลาที่ผ่านมานายคอยช่วยกู้ฮอนไว้เยอะ ต้องลำบากนายแล้ว”
พวกเขาสองคนพูดไปก็เดินไปถึงหน้าหยางหยางและเฉิงเฉิง
“คุณพ่อ……”
“พ่อ……”
“คุณเป่หมิง……”
เด็ก ๆ ทั้งสี่คนต่างก็เอ่ยคำทักทายเป่หมิงโม่
เป่หมิงโม่มองจินเล่ยที่ยังอยู่ในมือของหยางหยางและหวูเสี่ยวเอ๋อ “นี่ตกลงมันเรื่องอะไรกัน?”
หยางหยางโบกไม้โบกมือ “นี่พูดไปแล้วเรื่องมันก็ยาว เรื่องมันก็มีอยู่ว่า……”
แล้วเขาก็เริ่มทำท่าทางแบบคนกล่าวสุนทรพจน์ เล่าเรื่องราวก่อน ๆ หลัง ๆ ทั้งหมดไปรอบหนึ่ง และแน่นอนว่าข้างในก็ยังใส่นมใสไข่ไปบ้าง จุดประสงค์ที่สำคัญนั้นก็เพราะว่า ต้องการจะแสดงภาพพจน์ที่สง่างามของตัวเองที่ได้ช่วยเฉิงเฉิงไว้ต่อหน้าพ่อนั่งเอง
สำหรับสิ่งเหล่านี้ เฉิงเฉิงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว แล้วแต่เขาจะพูดเลย
หลังจากที่ฟังจบแล้ว เป่หมิงโม่ก็พยักหน้า “ในเมื่อเรื่องราวก็กระจ่างแล้ว งั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรกันแล้ว พวกเธอปล่อยเขาไปเถอะ”
“อ๋า? พ่อจะให้ผมปล่อยเขาไปเหรอ? นี่มันกว่าจะจับได้อย่างยากลำบาก พ่อไม่เห็นท่าทางยโสโอหังของเขาเมื่อกี้เหรอครับ…..”
หยางหยางรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง สำหรับคนแบบนี้จะปล่อยไปได้ยังไงกัน นี่ก็ดีกับเขาเกินไปแล้วมั้ง นี่สมควรจะสั่งสอนเขาให้ดี ๆ อีกรอบ ให้จำฝังใจเพิ่มอีกสักหน่อย
“ฟังพ่อซิ ปล่อยเขาไปเถอะ”
“ก็ได้ครับพ่อ” ถึงแม้หยางหยางจะรู้สึกไม่ยินดีอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงทำตามอยู่ดี
“วันนี้ถือว่าเจ้าเด็กอย่างนายโชคดีแล้ว วันนี้จะไม่จัดการกับนายแล้ว นายก็อย่ามาคิดอะไรแผลง ๆ อีกนะ จะบอกอะไรนายให้นะ ถึงนายจะเรียกคนมาอีก เห็นหรือยัง เราก็จะตีแกจนไม่ให้เหลืออะไรอีกรู้ไหม” หยางหยางพูดกับจินเล่ยอย่างโหดเหี้ยม
คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าตัวเองจะโดนปล่อยตัวมาได้ จินเล่ยมีความรู้สึกเหมือนกับว่าได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งแล้วจริง ๆ เขารีบพูดคำพูดดี ๆ ขึ้นมา “เป่หมิงซีหยาง นายวางใจเถอะ ต่อไปนี้ฉันจะไม่หาเรื่องนายอีกแล้ว จากนี้ไปนายก็เป็นพี่ใหญ่ของที่นี่ แล้วฉันก็จะเป็นลูกน้องของนายดีไหม?”
คนอย่างจินเล่ยนั้น ถ้าคนที่มีพละกำลังเทียบเท่ากับเขา เขายังมีความคิดที่จะแบ่งเหนือต่ำ แต่ถ้าแข็งแกร่งกว่าเขามากมายแล้วละก็ เขาก็ไม่อยากจะเสียเปรียบอย่างซึ่ง ๆ หน้าหรอก การเลยตามเลยก็คือทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
***
พอปล่อยจินเล่ยไปแล้ว อย่างรวดเร็วคนที่รอดูเรื่องสนุกอยู่ก็ค่อย ๆ สลายตัวไป รถที่จอดอยู่หน้าประตูก็ถูกขับออกไปไม่น้อย
“คุณพ่อ ช่วยที่พ่อไม่อยู่พวกเราต่างก็คิดถึงพ่อมากเลยครับ วันนี้พ่อจะกลับมา ทำไมไม่เห็นคุณแม่พูดถึงเลยครับ?”
เฉิงเฉิงยื่นมือไปดึงมือที่หย่อนลงมาของเป่หมิงโม่ พอเขาเห็นหน้าพ่ออีกครั้ง อย่าให้พูดเลยว่าดีใจแค่ไหน
“ใช่พ่อ ตกลงพ่อไปเที่ยวที่ไหนมา พอถามแม่ แม่ก็ไม่บอกพวกเรา”
เป่หมิงโม่มองหน้าลูกทั้งสองแล้วก็ยิ้มอ่อน “ที่ที่พ่อไปนั้น พวกหนูไปกันไม่ได้หรอก และแน่นอน พ่อก็หวังว่าต่อไปพวกหนูอย่างไปที่แบบนั้นเลยถึงจะถูก เอาละ ตอนนี้เวลาก็เย็นมากแล้ว เรากลับบ้านกันเถอะ”
พูดแล้วเขาก็หันหน้าไปดูจ้าวจิงอี้และหวูเสี่ยวเอ๋อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
สำหรับเด็กสองคนนี้นั้น เป่หมิงโม่ก็ยังจำได้คลับคล้ายคลับคลาอยู่บ้าง
“หนูคือคนที่พนันกับหยางหยาง จ้าวจิงอี้ใช่ไหม แล้วส่วนหนู เราเคยเจอกันในงานกิจกรรมพ่อลูกตั้งแคมป์เมื่อคราวก่อน หวูเสี่ยวเอ๋อใช่ไหม?”
พอพูดถึงเรื่องที่พนันกับหยางหยางแล้ว ก็ทำให้จ้าวจิงอี้หน้าเริ่มแดงขึ้นมา “คุณอาเป่หมิง คุณอย่าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาได้ไหมคะ?”
“ทำไมจะเอ่ยไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเรื่องของครั้งนั้น ก็คงไม่มีเรื่องของวันนี้เกิดขึ้นหรอก” จนถึงตอนนี้หยางหยางก็ยังไม่ลืมที่จะซัดดาบเพิ่มอีก
“เรื่องของครั้งนั้นก็เพราะว่านายเป็นคนก่อขึ้นมา ตอนนี้ยังจะมาโทษคนอื่นอีก” เฉิงเฉิงมองหยางหยางทีหนึ่ง
ที่เขาพูดเป็นความจริงแน่นอน เพียงแต่ว่าคนพูดไม่ได้ตั้งใจ แต่คนฟังกลับฟังดูมีความหมาย
หยางหยางไม่ได้โกรธ แต่กลับยิ้มเฮอะ เฮอะ “ฉันว่าเขา แล้วนายจะมาเดือดร้อนตามทำไม”
“ไม่อยากจะสนใจนายแล้ว” ถกเถียงกับคนที่อะไรก็เอามาคนรวมกันหมดแบบเจ้านี่ สุดท้ายก็มีแต่ต้องมาโมโหเต็มอกไปหมด
“คุณอาเป่หมิง ผมกลับบ้านก่อนนะครับ” หวูเสี่ยวเอ๋อรู้สึกว่าที่นี่ไม่มีเรื่องของตัวเองแล้ว งั้นก็จากไปก่อนเลยดีกว่า แล้วก็บอกลา
“กลับบ้านแล้วเหรอ กลับไปกินข้าวกับเราที่บ้านก่อนดีกว่า เรื่องของวันนี้เป็นเพราะฉันทำนายซวยไปด้วยจนเกือบจะโดนตี ก็ถือว่าเป็นการทดแทนจากฉันละกัน” หยางหยางดึงมือของหวูเสี่ยวเอ๋อไว้
หยางหยางที่เป็นลูกพี่นี่ถือได้ว่าไม่เลว มีความรับผิดชอบด้วย
“ไม่ละ วันนี้พ่อฉันจะพาฉันไปกินอาหารฝรั่งเศส ตกลงกันไว้แล้ว ฉันไปก่อนนะ บาย บาย” หวูเสี่ยวเอ๋อพอพูดจบก็หมุนตัววิ่งไปทางตรงข้ามกับพวกเขา
“คุณพ่อ จ้าวจิงอี้จะกลับพร้อมกับพวกเรานะครับ ช่วงนี้พ่อและแม่ของเขาไม่อยู่”
เป่หมิงโม่พยักหน้า “เรื่องนี้ พ่อได้ยินแม่ของพวกหนูบอกไว้แล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นพวกเรากลับบ้านกันเถอะ”
“รถของแม่อยู่ทางโน้น” อย่างรวดเร็วหยางหยางก็เห็นรถของกู้ฮอนแล้ว