เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1034 การแสดงเลียนแบบท่าทางของคุณพ่อ
- Home
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1034 การแสดงเลียนแบบท่าทางของคุณพ่อ
บทที่ 1034 การแสดงเลียนแบบท่าทางของคุณพ่อ
“นายก็อยู่ที่นี่ด้วย อย่างไร สำนักงานทนายความของนายตอนนี้ว่างมากหรือ ต้องการให้ฉันเพิ่มเงินลงทุนลงไปอีกหน่อยไหม” เขาพูดแล้วลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งอยู่ข้างกายกู้ฮอน
หยินปู้ฝันมองเขายิ้มๆ “นายยุ่งทั้งวัน จึงไม่อาจทนเห็นฉันว่างทั้งวันได้ใช่หรือไม่ งานพวกนั้นที่นายให้ฉันมาในคราวที่แล้วก็ทำให้สำนักงานของฉันยุ่งจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้แล้ว วันนี้ฉันก็แค่แอบอู้ระหว่างที่จะไปทำงาน แวะมาเยี่ยมพวกเขาสักหน่อย ฉันกับลูกชายบุญธรรม ลูกสาวบุญธรรมของฉันก็ไม่ได้พบหน้ากันนานมากแล้วนะ นายที่เป็นคุณพ่อแท้ๆทั้งวันนั้นสามารถพบหน้ากันได้ ก็ต้องคิดถึงฉันที่เป็นพ่อบุญธรรมบ้างสิ”
“พ่อบุญธรรมหรือ” เป่หมิงโม่ยิ้มเย็นชา “ตอนนี้ทุกหนทุกแห่งล่วนกำลังโจมตี พ่อบุญธรรม นะ ตอนที่นายออกไปข้างนอกก็ระวังตัวด้วยล่ะ”
“เอ่อ……” หน้าผากของหยินปู้ฝันปรากฏเส้นเอ็นปูดขึ้นมาสองเส้น
ในตอนนี้กู้ฮอนก็มีความสนใจที่จะร่วมวงสนทนาด้วย เธอพูดกับเป่หมิงโม่ว่า “ลั่วเฉียวไม่ผิดที่เรียกคุณแบบนี้นะ แม้ว่าตอนนี้คุณจะไม่ใช่ประธานบริษัทเป่หมิงแล้ว แต่ตอนนี้คุณก็เป็นถึงตัวแทนประธานบริษัทGTนะ”
เป่หมิงโม่ได้ยินแล้วก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้า
กู้ฮอนพูดไม่ผิดเลย ตอนนี้ตัวเองเป็นตัวแทนประธานบริษัทGT แล้ว
ส่วนที่ว่าทำไมถึงได้วิ่งมาที่บริษัทGT ไม่หวนกลับไปที่บริษัทเป่หมิง นั่นก็ต้องเริ่มเล่าหลังจากที่เขาถูกประกาศคำตัดสิน
หลังจากที่เป่หมิงโม่ออกมาจากศาลแล้ว ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่เขาใช้ชีวิตว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ทุกวันนอกจากดูแลบาร์ Zeus.ของป่ายมู่ซีแล้ว เวลาที่เหลือก็ขังตัวเองอยู่ในบ้านพักที่ตั้งอยู่บนปานซาน
เขาก็ทำตามคำสัญญาของตัวเอง มอบลูกๆทั้งสามคนให้กู้ฮอนดูแล
บางครั้ง เขาก็จะลงจากเขามาเยี่ยมเด็กๆทั้งสามคนที่บ้านพัก ขับรถรับส่งพวกเขาไปโรงเรียน ทั้งยังพาพวกเขาเลยไปกินอาหารจานด่วน เครื่องดื่มเย็นๆอะไรพวกนั้นด้วย แน่นอนว่า ตอนกลับมาก็จะนำมาฝากจิ่วจิ่วด้วยชุดหนึ่ง
การเปลี่ยนแปลงของบริษัทเป่หมิง แน่นอนว่า ในฐานะที่บริษัทGT เป็นพันธมิตรก็ได้รับข่าวสารนี้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าหลักๆก็ได้ข่าวมาจากฉิงฮัว
สำหรับโม้จิ่งเฉิงและหวีหรูเจี๋ยแล้ว เรื่องนี้ทำให้รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างจริงๆ เดิมพวกเขาคิดว่าหลังจากเป่หมิงโม่อยู่เงียบๆไประยะหนึ่งก็จะหวนกลับไปที่บริษัทเป่หมิง
ถึงอย่างไรก็สามารถพูดได้ว่า นอกจากเป่หมิงเจิ้งเทียนแล้ว เขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เอาใจใส่บริษัทเป่หมิงมากที่สุด
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ ประธานบริษัทเป่หมิงจะเปลี่ยนเป็นเป่หมิงยี่เฟิง
แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีอคติใดๆต่อเป่หมิงยี่เฟิง แต่ก็ยังคงเป็นห่วงเป่หมิงโม่อยู่ดี
หลังจากผ่านการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบและจริงจังแล้ว พวกเขาก็รู้สึกว่าเป่หมิงโม่ไม่สามารถอยู่อย่างเลื่อนลอยแบบนี้ต่อไปได้ เขาจำเป็นต้องมีกิจการสักอย่างหนึ่ง
เพราะพวกเขามองออกว่าเป่หมิงโม่ดูเหมือนกับจะขาดความมุ่งมั่นในการต่อสู้แบบเมื่อก่อนไป
ในที่สุด โม้จิ่งเฉิงกับหวีหรูเจี๋ยก็เรียกเป่หมิงโม่มาที่โรงแรมแมนดารินในวันหนึ่ง หารือกับเขาเป็นเวลานานครั้งหนึ่ง โม้จิ่งเฉิงบอกว่าตัวเองชราภาพแล้ว ดูแลจัดการบริษัทหนึ่งนั้นเหนือบ่ากว่าแรงแล้ว จำเป็นจะต้องมีคนมาช่วยเหลือเขาสักคนหนึ่ง
จากนั้นก็เชิญเป่หมิงโม่มาเป็นตัวแทนประธานในการดูแลควบคุมสภาพการณ์โดยรวมของบริษัทGTอย่างมีเหตุมีผล
พูดความจริง เดิมเป่หมิงโม่ไม่คิดจะรับปาก แต่ว่าทนไม่ไหวต่อการที่คุณแม่ของตัวเองและโม้จิ่งเฉิงเรียกตัวเองมาหารือครั้งแล้วครั้งเล่า
ในที่สุดเขาก็ฝืนรับปากไป
***
นับตั้งแต่เป่หมิงโม่ขึ้นเป็นตัวแทนประธานบริษัทGT การใช้ชีวิตของเขาก็กลับไปสู่สภาพเดิมก่อนหน้านี้อีกครั้ง
มีคนประเภทหนึ่งที่เป็นแบบนี้ ถ้าหากว่าตอนที่เขาว่างขึ้นมา ก็จะกลายเป็นคนลอยไปลอยมาไม่มีอะไรทำทั้งวัน แต่เมื่อมอบหมายเรื่องสักเรื่องให้เขาทำ เขาก็จะทุ่มเทกำลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้กับเรื่องนี้
ถ้าหากว่าคนคนหนึ่งที่เข้าใจทุกอย่างมาเห็นเขา ก็จะไม่ใช่คำว่า คนว่างงาน ลอยไปลอยมาไม่มีอะไรทำ มาจำกัดความให้กับเขา
เป่หมิงโม่ก็เป็นคนแบบนี้คนหนึ่ง
การออกจากบ้านแต่เช้า และกลับมาในตอนดึกดื่น นั้นกลายเป็นเรื่องธรรมดาอีกครั้งหนึ่ง
กู้ฮอนและลูกๆนั้นพบเจอเงาร่างของเขาได้น้อยมาก แม้ว่าตอนนี้เขามักจะอาศัยอยู่ที่บ้านพักบนปานซานหลังนั้น สถานที่ที่เธอและลูกๆเพียงแค่เงยหน้าก็สามารถมองเห็นแห่งนั้น
กระทั่งกู้ฮอนและแอนนิที่มักจะไปปรากฏตัวอยู่ที่ร้านอาหารใต้อาคารของเขา ก็ไม่เคยได้พบหน้าเขาเลย
การที่เป่หมิงโม่เป็นฝ่ายมาที่บ้านด้วยตัวเองอย่างกะทันหันในวันนี้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจเรื่องหนึ่ง
ไม่ต้องเอ่ยถามเขา สรุปได้ว่าเขามีเหตุผลของเขาที่มา
โชคดีที่แอนนิคุ้นชินกับการทำอาหารเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สาเหตุหลักๆก็เพราะว่าตอนนี้ลั่วเฉียวยังคงอยู่ที่บ้าน หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ของเธอมาเยี่ยมแล้วก็เลี่ยงไม่ได้ที่จำเป็นต้องมีอาหารเล็กน้อยไว้ทานแก้หิว
ดังนั้นตอนนี้หลังจากที่มีผู้ชายตัวโตเพิ่มขึ้นมาสองคน ก็ยังพอกินอยู่ดี
*
เมื่อทานอาหารเรียบร้อยแล้ว กู้ฮอนก็พูดว่า “ลูกรัก พวกลูกเตรียมของพร้อมแล้วหรือยัง”
“เตรียมเรียบร้อยแล้วครับ……”
จิ่วจิ่วก็เอ่ยตอบด้วยเช่นกัน “เตรียมเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“อืม อย่างนั้นพวกเราก็จะออกเดินทางแล้วนะ……” กู้ฮอนพูดพลางเรียกเด็กๆให้ขึ้นรถ
ในภาคการศึกษานี้ โรงเรียนของเฉิงเฉิงและหยางหยางได้ดำเนินการขยายตึกส่วนหนึ่ง ที่จริงแล้วนี่ก็เป็นเรื่องที่เริ่มตั้งแต่ครึ่งปีแรกแล้ว
เป้าหมายก็คือหลังจากขยายการเรียนการสอนชั้นเรียนประถม มัธยมต้น มัธยมปลายแล้ว ก็จะรวบรวมการเรียนการสอนก่อนหน้านี้ทั้งหมดเอาไว้ในนี้อีกครั้งหนึ่ง
กลายเป็นโครงสร้างการเรียนการสอนที่ครบวงจร ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงก่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
ส่วนจิ่วจิ่วนั้นก็กลายเป็นเหล่านักเรียนที่อยู่ในระบบการเรียนการสอนที่ครบวงจรนี้เป็นรุ่นแรก
แอนนิก็เก็บของของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เตรียมจะพาเด็กๆเดินออกประตูไปด้วยกัน
“รอก่อน……” ในตอนนี้เองที่เป่หมิงโม่เปิดปากพูด
เขาเดินมาถึงเบื้องหน้าเด็กๆ “พวกลูกไปขึ้นรถของพ่อ”
“หือ” กู้ฮอนและเด็กๆล้วนตะลึงค้าง
“วันนี้หิมะตกหนักเกินไปแล้ว ผมไม่วางใจพวกคุณ” เขาพูด พลางมองไปที่กู้ฮอน “คุณกับแอนนิจะไปร้านอาหารของเธอใช่ไหม ก็ไปขึ้นรถด้วยเลย”
“อย่างนั้นแอนนิจะทำอย่างไร” กู้ฮอนถาม
“เธอขึ้นรถของฉันก็ได้แล้ว” ไม่รอให้เป่หมิงโม่จัดการ หยินปู้ฝันก็เอ่ยพูดขึ้นมาก่อนแล้ว
กู้ฮอนมองชายหนุ่มสองคนที่มาเยือนอย่างกะทันหันในวันนี้ ใช้มือชี้ไปที่พวกเขา พลางเอ่ยว่า “พวกคุณคงจะไม่ได้ปรึกษากันเรียบร้อยแล้วมาหรอกนะ……”
“ไม่ใช่แล้ว ฉันว่าเธอเข้าใจผิดแล้วนะ พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน จะไปปรึกษากันได้อย่างไร” หยินปู้ฝันรีบโบกมือไปมา
“พ่อปู้ฝันครับ แน่นอนว่าสามารถโทรศัพท์ปรึกษากันได้นะ” หยางหยางพูด หมุนตัวไปตบไหล่ของเฉิงเฉิง จากนั้นก็เลียนแบบสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงของเป่หมิงโม่ ใช้มือทำเป็นรูปโทรศัพท์ “ฮัลโหล หยินปู้ฝันใช่ไหม วันนี้พวกเราไปบ้านกู้ฮอนกัน ฉันจะพาเธอกับเด็กๆสามคนไป ส่วนแอนนินั้นยกให้นายแล้วกัน”
วันนี้เฉิงเฉิงอารมณ์ดีมาก บวกกับที่อย่างไรพวกเขาก็เป็นฝาแฝดกัน จึงมีความเข้าใจกันชัดเจนเป็นอย่างมาก
เขาเลียนแบบท่าทางของหยินปู้ฝัน “OK เอาแบบนี้แล้วกัน ถึงตอนนั้นผมจะเข้าไปก่อน จากนั้นคุณค่อยเข้าไป อย่าให้พวกเขารู้ว่าพวกเราปรึกษากันก่อนจะมา คุณว่าอย่างไร”
***
หยางหยางขมวดคิ้ว พยักหน้าอย่างจริงจัง “ได้” จากนั้นก็ทำท่าวางโทรศัพท์
สองพี่น้องที่เข้าใจในตัวเป่หมิงโม่และหยินปู้ฝัน ลูกพี่ลูกน้องคู่นี้ ทำให้ผู้ใหญ่เหล่านี้หัวเราะขบขันขึ้นมาในทันที
กระทั่งฉิงฮัวที่เห็นรอยยิ้มได้น้อยมาก ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปแอบหัวเราะเบาๆ
“เด็กหน้าเหม็นสองคน ตอนนี้เรียนรู้ที่จะเอาพวกฉันมาล้อเล่นแล้ว หนูไม่กลัวคุณพ่อของหนูจัดการพวกหนูหรือ” หยินปู้ฝันนั้นชื่นชมในจินตนาการของเจ้าเด็กสองคนนี้จริงๆ
“ฮิฮิ พวกผมไม่กังวลหรอกครับ ตอนนี้คุณพ่อของพวกผมไม่ได้ใจแคบขนาดนั้น” หยางหยางพูดแล้ววิ่งขึ้นไปบนรถที่จอดอยู่ข้างทาง
ส่วนเฉิงเฉิงนั้นมองเป่หมิงโม่อย่างระมัดระวังครั้งหนึ่ง เห็นว่าเขาไม่มีปฏิกิริยาอะไร ก็พาจิ่วจิ่วขึ้นไปบนรถอย่างรวดเร็วเช่นกัน
หยินปู้ฝันมองเป่หมิงโม่ที่มีสีหน้าสลับซับซ้อนเล็กน้อย “ยังจะตะลึงค้างทำอะไรอีก ไปเถอะ”
เป่หมิงโม่มองกู้ฮอนที่อ้าปากกว้างหัวเราะไม่หยุดแวบหนึ่ง “ขึ้นรถ”
*
“ว้าว หิมะระหว่างทางก็เยอะมากเลย คุณพ่อ หม่ามี๊ พี่ๆรีบดูเร็วเข้า ยังมีคนที่ปั้นตุ๊กตาหิมะเหมือนกับพวกเราด้วยค่ะ” จิ่วจิ่วเอนพิงไปกับกระจกข้างตัวรถมองทัศนียภาพที่เต็มไปด้วยหิมะบนถนนอย่างตื่นเต้น
กู้ออนหันหน้าไปยิ้ม พลางเอ่ยว่า “ทารกน้อย อีกครู่ หลังจากถึงโรงเรียนแล้วจะต้องเชื่อฟังคำสอนของคุณครูนะ หลังจากที่หิมะตก พื้นจะลื่นมาก ตอนเดินจะต้องระมัดระวังด้วย รู้ไหม”
“รู้แล้วค่ะ รู้แล้วค่ะ……”
“หยาง เมื่อครู่นี้ ตอนที่จะออกจากบ้าน ลูกพูดว่าตอนนี้พ่อไม่ได้ใจแคบขนาดนั้นแล้วหรือ”
ในตอนนี้เป่หมิงโม่ที่ขับรถอยู่ก็เอ่ยถามขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างกะทันหัน
หยางหยางยังไม่ทันจะรู้สึกตัว ก็เอ่ยตอบกลับไป “ใช่แล้วครับ ทำไมหรือ”
“หรือว่าก่อนหน้านี้พ่อใจแคบมากหรือ”
ประโยคนี้ประโยคเดียว ทำให้อากาศที่อบอุ่นภายในรถลดลงไปหลายองศาในเสี้ยววินาที
กู้ฮอนแอบมองไปที่เป่หมิงโม่ สีหน้าเจ้าหมอนี่เย็นชาเหมือนกับเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
แน่นอน เฉิงเฉิงและหยางหยางก็แอบมองผ่านกระจกมองหลังในรถเช่นกัน ดวงตาที่เหมือนกับเหยี่ยวคู่นั้นของคุณพ่อ ยังประสานสายตาเข้ากับพวกเขาบ่อยๆ
นี่ทำให้พวกเขาตกใจจนคอหด
เฉิงเฉิงเอ่ยเสียงเบา “นายดูสิ ทำไมนายมักจะพูดจาไม่ดูกาลเทศะกันนะ ตอนนี้ทำให้คุณพ่อโกรธแล้ว ไม่ง่ายเลยที่คุณพ่อจะมาสักรอบ นายดูนายสิ”
สีหน้าหยางหยางนั้นไร้เดียงสา “ฉัน ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรมากนินา เฉิงเฉิง นายว่าฉันจะทำอย่างไรดีในตอนนี้”
“พวกลูกสองคนกระซิบกระซาบอะไรกันอยู่ข้างหลัง พ่อถามพวกลูก ทำไมถึงไม่ตอบล่ะ”
ในตอนนี้กู้ฮอนก็จำใจต้องเอ่ยพูดขึ้นมา “พอแล้วๆ เมื่อครู่ลูกๆก็แค่อารมณ์ดีเท่านั้นเอง มีอะไรให้ต้องคิดหยุมหยิมกัน”
“ฮิฮิ พวกผมไม่ได้พูดอะไรเลย ก่อนหน้านี้พ่อก็ไม่ใช่ว่าใจแคบนะครับ จิตใจนั้นกว้างใหญ่เหมือนกับมหาสมุทร……” หยางหยางเอ่ยพูดด้วยสีหน้าประจบประแจง
ตอนนี้เป่หมิงโม่ที่ใบหน้ามึนตึงมาตลอดก็ยกมุมปากยิ้มขึ้นในที่สุด “ลูกน่ะ ตอนนึ้ระดับความสามารถทางความคิดและการประจบประแจงของลูกยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นเรื่อยๆแล้ว ไม่ต้องกลัว เมื่อครู่นี้พ่อแค่หยอกพวกลูกเล่นเฉยๆ เพียงแต่พูดความจริง ก่อนหน้านี้พวกลูกรู้สึกว่าพ่อใจแคบจริงๆหรือ”
เฉิงเฉิงกับหยางหยางได้ยินแล้ว ก็โล่งใจ เพียงแต่หลังจากสบตากันแล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
กู้ฮอนยื่นมือออกไปตีไหล่เป่หมิงโม่เบาๆ “มีคนที่ล้อเล่นกับลูกๆแบบคุณด้วยหรือ ดูสิว่าทำให้พวกเขาตกใจหมดแล้ว คุณยังมีหน้ามาถามอีกว่า ก่อนหน้านี้ไม่ได้ใจแคบธรรมดานะ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนคิดหยุมหยิม เหมือนกับผู้หญิงเลย”
***
สำหรับความเห็นที่กู้ฮอนมีต่อตัวเองก่อนหน้านี้นั้น พูดความจริงเลยว่าในใจก็รู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง เพียงแต่ว่าในไม่ช้าเขาก็ปลงตกได้แล้ว
เดิมหลังจากที่ผ่านเรื่องราวมากมายกับพวกเธอแม่ลูก ตัวเองก็มีหลายอย่างที่ไม่เหมือนกับแต่ก่อนแล้ว เปลี่ยนไปจนกระทั่งทำให้ตัวเองรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
แต่ตอนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายริมระเบียงเงียบๆในยามค่ำคืน
มองไปบนท้องฟ้า ดูแสงไฟในเมืองที่อยู่ไม่ไกลนัก มองความเงียบที่อยู่ใต้เท้าไปจนถึงบ้านพักที่ดับไฟไปแล้วหลังนั้น
เป่หมิงโม่ก็จมอยู่ในความคิด รวมถึงความทรงจำที่ผ่านมาในอดีต
มีคนบอกไว้ว่า การระลึกถึงความทรงจำในอดีตบ่อยๆนั้นเป็นการแสดงออกถึงความชรา เพราะว่าไม่มีความปรารถนาใดๆต่ออนาคตแล้ว จึงทำได้เพียงแค่หันหน้าย้อนกลับไปมองเส้นทางที่เคยเดินผ่านมาในอดีต