เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1051 ฟ้าเปลี่ยน
บทที่ 1050 ตกอยู่ในความมืด
ในเวลาเดียวกัน ภายในห้องกินข้าวบ้านของฉิงฮัว ดูเหมือนว่าจะพบกับภาพเหตุการณ์ที่คล้ายกัน แอนนิ ลั่วเฉียว และพวกเด็กๆ นั่งมองดูฉิงฮัวและกู้ฮอนอยู่เงียบๆ
พวกเขาเงียบมาตลอดตั้งแต่กลับมา มันตรงกันข้ามกับที่พวกเขาเป็น ดังนั้นถึงแม้ว่าจะถามพวกเขา หลังจากที่เอ่ยถามแล้วคงไม่มีคำพูดอะไรออกมา
“วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณกันเนี่ย ทำไมกลับมาแล้วเป็นอย่างนี้ กู้ฮอน วันนี้ชุดของเธอน่าทึ่งมากจริงๆทำเอาผู้คนประหลาดใจเลย เธอบอกฉันมาหน่อยสิ ตอนที่สวมมันแล้วเดินเข้าไปในงานเลี้ยงค็อกเทลกับเป่หมิงโม่ คนอื่นๆมองเธอด้วยสายตาแบบไหน?” ลั่วเฉียวพยายามบรรเทาบรรยากาศที่เงียบงันนี้ ไม่อย่างนั้นเธอจะรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกจริงๆ
***
พูดตามตรง ในตอนที่กู้ฮอนกลับมาพร้อมกับพวกเด็กๆนั้นทำให้ลั่วเฉียวประหลาดใจจริงๆ
เธอไม่เห็นชุดของกู้ฮอนมาก่อนเลย แม้แต่เมื่อวานนี้ตอนที่ลองชุดก็ยังเก็บไว้เป็นความลับ
ในที่สุดตอนที่ได้เห็นมัน ก็อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานออกมา
เพียงแต่ว่าในตอนนั้นมองออกว่าเธออารมณ์ไม่ดี ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังกลับมากับฉิงฮัวไม่ใช่เป่หมิงโม่เลยยิ่งแปลกเข้าไปอีก
ตอนที่เธอคิดจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอก็ถูกยับยั้งด้วยการส่งสัญญาณคำว่า “อย่า” จากฉิงฮัวและพวกเด็กๆไม่หยุด
ส่วนกู้ฮอน ก็เดินขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชั้นบนอย่างเงียบงัน
ในที่สุดคำพูดที่กลั้นไว้มานานก็ถูกยกมาพูดอีกครั้งบนโต๊ะอาหารค่ำ
แต่สิ่งที่ทำให้เธอยังต้องผิดหวังก็คือ ไม่ว่าจะเป็นกู้ฮอนหรือว่าฉิงฮัว ไม่พูดอะไรสักคำเหมือนกับกินยาใบ้เข้าไปยังไงยังงั้นแม้แต่อาหารตรงหน้าก็ไม่แตะ
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อยากจะให้พวกเราร้อนใจตายหรือไงเนี่ย…” หลังจากที่ลั่วเฉียวบ่นแล้วก็หันไปทางเด็กๆทั้งสามคน : “แม่ของพวกเราไม่พูด พวกเธอน่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นสินะ ยังไม่รีบพูดความจริงมาอีก ไม่อย่างนั้นใครก็อย่าคิดจะกินข้าวเลย”
เด็กทั้งสามคนส่ายหัวด้วยสีหน้าที่ขมขื่น ในที่สุดหยางหยางก็เอ่ยปากว่า : “ป้าเฉียวเฉียวครับ ป้าปล่อยเราไปเถอะครับ พวกเราเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย คุณแม่เป็นอย่างนี้แล้วตอนที่มารับพวกเรา”
ลั่วเฉียวมองดูใบหน้าที่ไร้เดียงสาและเสียขวัญของเด็กทั้งสามคนแล้ว ก็รู้ว่าพวกเขาไม่ได้โกหก : “เอาล่ะเอาล่ะ พวกเธอกินข้าวเถอะ วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ ตอนออกจากบ้านยังมีความสุขมากอยู่เลย คิดไม่ถึงเลยว่ากลับมาจะเป็นแบบนี้ไปแล้ว ทำให้ฉันกังวลใจจริงๆ”
*
ในขณะที่พวกของเป่หมิงโม่กำลังกินข้าวกันอยู่ คนรับใช้ได้เดินเข้ามา : “คุณชายใหญ่ คุณชายรองคะ คุณชายสามกลับมาแล้วค่ะ”
เป่หมิงเฟยหย่วนพยักหน้า : “อืม รู้แล้ว ให้เขามากินข้าว”
“ได้ค่ะ คุณชายใหญ่” คนรับใช้พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไป
“หวือหวือ…” ตามด้วยเสียงผิวปากที่ค่อยๆดังขึ้นจากด้านนอก ในไม่ช้าเป่หมิงยันก็ปรากฏตัวขึ้นตรงประตูห้องกินข้าว
“โอ้โฮ ดวงอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันตกแล้วจริงๆ ที่เร่งให้ผมกลับมาขนาดนี้ เพราะอยากจะให้ผมมาเห็นสองพี่น้องนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกันสินะครับ” เป่หมิงยันปกปิดความเศร้าในใจของตัวเองเอาไว้ แล้วเดินไปที่โต๊ะด้วยใบหน้าที่แสร้งว่ามีความสุข
เขาพยักหน้าให้หลันเนี่ยน : “พี่สะใภ้ใหญ่ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ มองไม่ออกเลยว่าไม่เจอกันนานขนาดนี้ ยิ่งนานวันยิ่งสวยจริงๆนะครับ ดูเหมือนจะดูแลเป็นอย่างดี”
หลันเนี่ยนมองไปที่เขาแล้วพยักหน้าเบาๆ : “น้องสามนี่พูดล้อเล่นแล้วล่ะ”
พูดแล้วเขาก็หันมาทางเป่หมิงยี่เฟิงแล้วตบบ่าของเขา : “หลานชายคนโต ได้ยินว่านายเป็นประธานของบริษัทเป่หมิงแล้ว ตอนนี้อายังไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย อีกสักสองวันอาจะให้ของขวัญกับนายแน่นอน”
ในตอนนี้เป่หมิงยี่เฟิงรู้สึกท้อแท้ใจเป็นอย่างมาก เดิมทีเขายินดีที่จะคุยกับเป่หมิงยันมากที่สุดแต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะพูดแล้ว เพียงแค่ตอบไปอย่างเรียบง่ายๆว่า : “ไม่ต้องหรอกครับอาสาม”
“โอ้ หมายความว่ายังไงที่ว่าไม่จำเป็น เกรงใจฉันใช่ไหม ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รวยเหมือนนายที่เป็นท่านประธาน แต่ฉันก็ไม่ได้ถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัวหรอกนะ อีกอย่างจะกี่บาทมันเป็นเรื่องของจิตใจไม่ใช่หรือไง เอาล่ะ นายไม่ต้องให้ฉันต้องต่อสู้ที่นี่เลย”
เป่หมิงยันทักทายทีละคน ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าตรงจุดไหน
***
แล้วก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่เป่หมิงยันไม่ได้อ่อนไหวไปกับอารมณ์ของทุกคนขนาดนั้น
หลักๆก็คือเพราะเคยกินข้าวกับพวกเขามาหลายครั้ง “พี่ชายที่ดี”ของเขาทั้งสองคนนี้ล้วนแต่แสดงออกด้วยสีหน้าแบบนี้
จนกระทั่งหลังจากที่เป่หมิงเฟยหย่วนถูกขับออกจากบ้านตระกูลเป่หมิง…
“น้องสาม หยุดพูดเรื่องไร้สาระที่นี่ได้แล้ว นั่งลงแล้วกินข้าว”
ตอนนี้เองในที่สุดเป่หมิงเฟยหย่วนก็นำวิธีการของพี่ชายคนโตออกมา
“ได้เลย” เป่หมิงยันตอบรับ แล้วหยิบเก้าอี้มานั่งข้างๆเป่หมิงโม่ : “อย่าบอกนะว่าอาหารวันนี้ไม่เลวเลยจริงๆ นับตั้งแต่พ่อจากไป ยากมากที่จะได้เห็นกินข้าวด้วยกันหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหกเดือนที่ผ่านมา นับได้ว่าผมหัวเดียวกระเทียมลีบอยู่ที่นี่”
ฟังเป่หมิงยันพูดมาถึงตรงนี้แล้ว เป่หมิงโม่ก็วางชามที่ถือเอาไว้ลงบนโต๊ะ เขาหันหน้าไปมองทางเป่หมิงยัน : “ป้าซินช่วงนี้เธอเป็นยังไงบ้าง…?”
ถามถึงเรื่องนี้ เป่หมิงยันก็ถอนหายใจเบาๆ : “ยังโอเคอยู่ครับ อยู่ข้างในแต่ยังกินได้นอนหลับ ร่างกายไม่ได้เจ็บป่วยอะไร แต่ว่า คนแก่แล้วย่อมต้องมีโรคชราบ้างแหละครับ”
ได้ยินคำพูดของเป่หมิงยันแล้ว เป่หมิงโม่ก็พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ไว้วันหลังฉันจะไปเยี่ยมเธอ”
“อย่า…” เป่หมิงยันปฏิเสธทันทีที่ได้ยิน พี่ไปแล้วไม่ได้เพิ่มกำลังใจให้เธอเลยนะครับ พี่ก็รู้ว่าระหว่างแม่ผมกับแม่พี่มีความเข้าใจผิดหรือขัดแย้งกัน เฮ้อ คนแก่น่ะ ความคิดบางอย่างก็ฝังรากลึกได้ง่ายๆ แล้วก็ชอบดื้อรั้นไม่ยอมปรับเปลี่ยน ผมน่ะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว ให้แม่ไม่ต้องคิดถึงเรื่องเหล่านี้อีก ถ้าหากเห็นว่าพี่ไป ความพยายามก่อนหน้านี้ของผมก็ต้องสูญเปล่าแล้ว”
เป่หมิงโม่ก็ได้ยินมาเช่นเดียวกัน : “เพราะเป็นแบบนี้ งั้นฉันจะยังไม่ไป”
“ทุกคนกินข้าวกันเถอะ” เป่หมิงเฟยหย่วนพูดอีกครั้ง
*
เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เมื่อกี้นี้เป็นลั่วเฉียวที่ไม่พอใจ ตอนนี้เป็นแอนนิแล้ว
“กู้ฮอน มีเรื่องอะไรก็ต้องไม่ปล่อยให้ท้องหิวใช่หรือเปล่า ไม่อย่างนั้นต่อให้มีวิธีแก้ก็ไม่มีแรงแก้ใช่ไหมล่ะ เธอดูสิ เธอไม่ขยับตะเกียบเลย พวกเด็กๆทำได้แค่มองอย่างวิตก เธอไม่อยากจะรักและทะนุถนอมตัวเอง ก็ควรจะรักและทะนุถนอมพวกเขานะ”
หลังจากพูดจบกู้ฮอนก็หยิบตะเกียบและชามขึ้นมา
แอนนิถึงหยักหน้าด้วยความพึงพอใจ : “โอ้ อย่างนี้สิถูกต้องแล้ว มีเรื่องก็อะไรก็รอให้กินจนอิ่มแล้วค่อยคิดวิธีแก้ พวกเด็กๆกินข้าวเถอะจ้ะ กินเสร็จแล้วก็ขึ้นไปทำการบ้านที่ชั้นบนนะรู้ไหม?”
เด็กทั้งสามพยักหน้าอย่างให้ความร่วมมือ
*
ที่วิลล่าอีกหลังหนึ่งในเมือง A หลี่เชินกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะกลม ค่อยๆละเมียดลิ้มรสชาติน้ำซุปตรงหน้า
เขาดื่มไปพลางแล้วพยักหน้าไปพลาง เห็นได้ว่าเขาพึงพอใจกับรสชาติของน้ำซุป
ถังเทียนจื๋อนั่งอยู่ข้างๆเขา
และเห็นได้ว่าวันนี้เขาอารมณ์ดีมาก
หลังจากที่หลี่เชินดื่มน้ำซุปจนหมดแล้วก็พูดขึ้นอย่างช้าๆว่า : “นายบอกว่าหลังจากที่ไอ้เจ้าเป่หมิงโม่คุยกับนายเสร็จแล้ว ก็หันกลับไปโดยไม่ทำอะไรเลยงั้นเหรอ?”
มีรอยยิ้มถากถางอยู่บนใบหน้าของถังเทียนจื๋อ : “ใช่แล้วครับอาจารย์ เดิมผมก็เตรียมเทคนิคเล็กๆน้อยๆไว้ใช้กับเขา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเดินจากไปอย่างผิดหวัง แม้แต่เป่หมิงเฟยหย่วนและเป่หมิงยี่เฟิงก็ไม่กล้าที่จะปล่อยเขาไปต้องเดินตามก้นไปด้วย”
หลังจากที่หลี่เชินฟังจนจบ ก็ปรากฏรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจที่มุมปกของเขา : “เดาได้เลยว่า ที่พวกเราทำมันทำให้พวกเขาโกรธจนแทบบ้า แต่ฉันไม่เห็นว่าเขาจะมีสมาธิมากขนาดนี้ วิธีการของนายยังมีข้อบกพร่องอยู่ ถ้าหากสามารถทำให้เขาต่อสู้กันครั้งในงานเลี้ยงค็อกเทลนี้ ผลที่ตามมาน่าจะดีมากยิ่งขึ้น”
ถังเทียนจื๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย : “เรื่องจริงเป็นอย่างนี้นี่ครับ เท่าที่ผมรู้เกี่ยวกับเขา สถานการณ์ในงานเลี้ยงวันนี้ เขาสามารถทำเช่นนี้ได้เลย แต่กลับถอยออกไป ทำให้มองไม่ออกจริงๆ หลังจากที่ไปนั่งอยู่ในคุกมาสามสี่วัน เปลี่ยนเขาจากเสือร้ายเป็นแมวป่วย”
เขาพูดแล้วราวกับคิดอะไรได้บางอย่าง จึงหยิบมือถือของตัวเองออกมา ดึงรูปถ่ายจากภายในเครื่องส่งให้หลี่เชิน : “อาจารย์ หญิงสาวคนนี้ การแต่งตัวของเธอกลายเป็นจุดสนใจของงานเลี้ยงค็อกเทลในวันนี้ ถ้าหากไม่มีเรื่องตามมาภายหลัง ผมเชื่อว่าเธอจะเปล่งประกายที่สุด”
หลี่เชินรับโทรศัพท์มาแล้วพลิกดูรูปทีละใบแล้วมองไปยังถังเทียนจื๋อที่อยู่อีกมุม แล้วแอบมองรูปถ่ายของกู้ฮอนโดยไม่รู้ตัว
เขามองดูช้าๆแล้วยังพยักหน้าซ้ำๆ : “คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่ายิ่งเวลาผ่านไปเธอยิ่งเหมือนกับลู่ลู่สมัยยังสาว” พูดแล้วทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและถามว่า : “เรื่องวันนี้มีผลกระทบต่อเธอยังไงบ้าง? ฉันไม่อยากให้เธอได้รับอันตรายใดๆ”
ถังเทียนจื๋อเม้มปาก หลังจากคิ้วขมวดครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็พูดว่า : “ผมเห็นเพียงแต่ว่าหลังจากที่ผมพูดจบผู้หญิงคนนี้ก็ประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเธอกับเป่หมิงโม่พวกเขาก็หันหลังจากไป นายหมายความว่าเธอออกไปกับไอ้เจ้าเป่หมิงโม่คนนั้น?”
“เปล่าเลย ผมเห็นว่าพวกเขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คนของตระกูลเป่หมิงออกไปก่อน แล้วหญิงสาวก็จากไปพร้อมกับฉิงฮัว ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะไปคนละทาง” ถังเทียนจื๋อ กล่าวอย่างมั่นใจ
ฟังมาถึงตรงนี้หลี่เชินถอนใจยาว : “คนที่ก่อเรื่องใหญ่ มักจะมีสถานที่ที่ไม่เต็มใจจะอยู่ ปล่อยเธอไปก่อน ให้ทำเรื่องที่ควรทำให้เสร็จก่อน หลังจากนั้นฉันจะหาโอกาสคุยกับเธอดีๆ”
*
มองดูจานที่กินจนสะอาดเอี่ยมแล้ว เป่หมิงยันแทบไม่อยากจะเชื่อ : “พวกคุณแน่ใจนะว่าการร่วมงานเลี้ยงของบริษัทเป่หมิงไม่ใช่การเวทเทรนนิ่ง? ทำไมรู้สึกเหมือนไม่ได้กินข้าวมาหลายวันยังยังไงยังงั้น ตอนนี้ถึงเวลาบอกเหตุผลกับผมได้หรือยัง อย่าให้ผมเข้าใจถูกเลยนะ งานเลี้ยงวันนี้มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น?”
พูดจบ เขาก็กวาดสายตามองหน้าทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยงอย่างรวดเร็ว
“หรือว่าผมจะพูดถูกจริงๆงั้นเหรอ?”
มาถึงตอนนี้ ยังเป็นเวลาพูดคุยเรื่องงานเลี้ยงของวันนี้
เป่หมิงเฟยหย่วนมองไปที่คนรับใช้ที่ยืนอยู่ในห้องอาหาร
พวกเขาทั้งหมดพากันออกไปอย่างรวดเร็วอย่างรู้ตัว
สีหน้าของเป่หมิงเฟยหย่วนจริงจังและหนักแน่น และมองไปที่ผู้คนในงาน “ฉันจะเล่าให้แกฟังเรื่องงานเลี้ยงวันนี้…”
สิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เป่หมิงโม่และกู้ฮอนพูดถึงหลังจากที่เต้นเพลงแรกจบลง
ทุกคนถูกพิชิตด้วยการเต้นอันยอดเยี่ยมของพวกเขา และตามมาด้วยการชนแก้วกับประธานกลุ่มทีละคน แล้วพูดจาที่เหมือนดูดีต่อกันและกัน
แต่ทว่าท่ามกลางบรรยากาศรื่นเริงในสถานที่จัดงาน ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งทำให้ทุกคนต้องเงียบเสียงลง
นั่นคือถังเทียนจื๋อ
เขาถือไมโครโฟน เวลานี้แสงไฟทั้งหมดล้วนสาดส่องมาที่เขา