เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1103 ใกล้ชิดขนาดนี้
บทที่ 1103ใกล้ชิดขนาดนี้
และในทันที บนหัวของคนสองคนที่ยังสนุกสนานอยู่เมื่อกี้ก็มีนกกาบินผ่านไป……
“ก้าบ ก้าบ……”
หลังจากที่เสียงเสียงนี้ผ่านไปแล้ว ตัวของหยินปู้ก็เอียงไปข้าง ๆ จนเกือบจะล้มลงไปตามเสียง
แต่ว่าหยินปู้ฝันยังถือว่าพอมีฝีมืออยู่บ้าง ในขณะที่ตัวเองเกือบจะเกิดเรื่องขายหน้าขึ้นแล้วนั้น เขาก็พลิกตัวกลับมาแล้วยืนอย่างมั่นคงได้
“คึก!”
ไม้กวาดตกลงพื้น
หน้าของเขาแดงขึ้น แล้วก้มลงไปเก็บไม้กวาดขึ้นมา แล้วมองสำรวจอย่างละเอียด
คราวนี้แอนนิถือว่าหาเหตุผลได้แล้ว “ดูเรื่องดี ๆ ที่คุณทำซิ ทำทรัพย์สินสำนักงานเสียหายแบบนี้จะต้องชดใช้นะ”
มือของเธอชี้ไปที่ด้ามไม้กวาดที่มีรอยร้าวอย่างเห็นได้ชัดเจน
เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นเพราะว่าโดนรูปร่างที่‘ล้ำค่า’ของหยินปู้ฝันทับจนหัก
“ใช้คืน ต้องชดใช้คืนแน่นอนอยู่แล้ว อย่าว่าแค่หนึ่งอันเลย ถึงจะเป็นสิบอันก็จะชดใช้ให้คุณ นี่มันจะถือเป็นอะไร พูดได้เพียงแค่ว่าคุณภาพของไม้กวาดอันนี้มันไม่ผ่านต่างหาก แค่น้ำหนักคนคนเดียวก็ยังรับไม่ไหวเลย”
หยินปู้ฝันยังคงช่วยตัวเองแก้ไขและรักษาสถานการณ์และอย่างสุดแรง
“ช่างเถอะ คุณว่าจะมีไม้กวาดอันไหนที่สามารถแบกรับน้ำหนักของรูปร่างใหญ่โตของคุณแบบนี้ได้กัน?” แอนนิพูดไป สองมือก็ยังวาดเป็นรูปร่างที่อลังการอีก “โอ้แม้เจ้า นี่ตัวเกือบจะเท่าตือบ้วยก่ายอยู่แล้วนะเนี่ย”
นี่มันอยู่ใกล้ชาดก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดง อยู่ใกล้หมึกก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำชัด ๆ เลย แอนนิที่ดูแล้วดูเป็นผู้หญิงที่ดูอ่อนหวานอ่อนโยนตั้งแต่แรก
แต่ทำไมพอมาอยู่กับกู้ฮอนและลั่วเฉียวนาน ๆ เข้าให้ ทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นคนพูดเก่งขนาดนี้ไปได้
การเผชิญหน้ากับคำเปรียบเทียบของแอนนิแบบนี้ แน่นอนว่าหยินปู้ฝันจะต้องไม่มีทางยอมแพ้ไปง่าย ๆ “อย่างผมนี่ถือว่าเป็นร่างก่อนของตือบ้วยก่ายเทียนฟังหงวนโส่ยต่างหาก คุณนี่นะ ไม่รู้จักชื่นชมเลยสักนิด”
พูดแล้วเขาก็เอาไม้กวาดที่เสียแล้วอันนั้นเอาไปวางไว้ข้างประตูข้างหลังตัวเขา แล้วก็กลับมานั่งที่ที่เดิมของตัวเองนั่งเมื่อกี้ “คุณกาว เสิร์ฟอาหารได้แล้ว”
“ฉันแซ่กาวที่ไหน” แอนนิวางจานอาหารลงตรงหน้าหยินปู้ฝัน แล้วก็มองเขาตาขาวทีหนึ่ง
หยินปู้ฝันพูดท่าทางจริงจัง “เมื่อกี้คุณว่าผมเป็นตือบ้วยก่ายไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างงั้นคุณก็ต้องเป็นคุณกาวซิ แบบนี้เราสองคนถึงจะได้เป็นคู่กันไง”
คำพูดประโยคนี้พูดจนหน้าของแอนนิแดงไปเลย เธอรู้สึกว่าหน้าของตัวเองกำลังร้อนผ่าว ในใจก็เต้นเร็วตึกตักตึกตักขึ้นมา
หยินปู้ฝันมองท่าทางไม่รู้จะทำตัวยังไงของเธอแล้ว ในใจก็ดีใจจนเหมือนดอกไม้ผลิบานเลย
“กินข้าวของคุณไปเถอะ” สุดท้ายแอนนิทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง แล้วก็หมุนตัวรีบเดินจากไปทันที
พอผ่านไปไม่นาน หยินปู้ฝันที่เป็นราวกับพายุยักษ์ที่พัดพาเมฆไปก็กวาดกับข้าวสองอย่างน้ำซุปอีกหนึ่งไปอย่างเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน
“เถ้าแก่เนี้ย……”
เขาถือจานอาหารเข้าไปในครัว เขาเห็นแอนนิกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่หน้าเตาแก๊ส ในมือถือผ้าขี้ริ้วไว้ฝืนหนึ่งเหมือนกำลังเช็ดทำความสะอาดแต่ว่าก็ดูเหมือนกำลังใจลอยอยู่
เหมือนกับว่าเธอจะไม่ได้ยินคำพูดที่ตัวเองเพิ่งพูดไปเมื่อกี้เลย
และแล้ว ใบหน้าของเขาก็มียิ้มชั่วร้าย ๆ โผล่ขึ้นมา
ตอนที่หยินปู้ฝันเดินเข้าไปถึงหลังครัวนั้น แอนนิกำลังเช็ดเตาแก๊สรอบแล้วรอบเล่าอย่างใจลอยอยู่
ดูไปแล้วเธอมีท่าทางเหมือนกำลังใจลอยอยู่
น่าจะเป็นเพราะว่าเมื่อกี้โดนตัวเองทำให้ตกใจไป
เขามีใบหน้าที่แฝงรอยยิ้มชั่วร้าย แล้วเดินไปข้างหลังเธออย่างเงียบ ๆ
จากนั้นก็อ้าแขนออกไปแล้วกอดเธอไว้กับอ้อมอกอย่างแน่นหนา
“อ้า……”
แอนนิที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจริง ๆ ก็ร้องกรี๊ดออกมา
ผ้าขี้ริ้วในมือก็ถูกเผลอคลายออก
เธอรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเริ่มเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อขึ้นเล็กน้อย
ไม่มีผู้ชายกอดตัวเองแบบนี้มานานแล้ว
เหมือนอย่างกับว่าเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อชาติแล้ว
ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาตอนนี้จะตกลงคบหาดูใจเป็นแฟนกันแล้ว แต่ก็ยังดำเนินมาได้แค่ถึงขั้นจับมือกันเป็นบางครั้งเท่านั้น
กลับไม่มีความก้าวหน้าอย่างอื่นเลย
เปลี่ยนเป็นพูดอีกอย่างคือ น่าจะพูดว่าแอนนิไม่กล้าคาดหวัง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าแค่ไม่กล้า
หลังจากที่เคยได้รับบทเรียนมาอย่างหนักแล้ว สิ่งที่เธอเรียนรู้มาก็มีแต่ปกป้องตัวเองตามสัญชาตญาณเท่านั้น และถึงแม้จะมาเจอกับผู้ชายที่ดีอย่างหยินปู้ฝันแบบนี้เข้าก็ตาม
เขานั้นเป็นคนดีกว่าผู้ชายจิตใจชั่วช้าคนก่อนหน้านั้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า
“คุณเป็นอะไรไป?”
เสียงของหยินปู้ฝันดังขึ้นข้าง ๆ หูของเธอ
ทั้งสองคนใกล้ชิดกันขนาดนี้ เขาสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ร่างกายเล็ก ๆ ของเธอที่อยู่ในอ้อมกอดของเขานั้น กำลังสั่นขึ้นน้อย ๆ
ในที่สุด เขาก็คลายมือออก
ที่ทำให้แอนนิที่กำลังตื่นเต้นอยู่ค่อย ๆ หายใจโล่งขึ้นมาหน่อย
“เมื่อกี้ผมทำคุณตกใจแล้วใช่ไหม?” หยินปู้ฝันหมุนตัวเธอกลับมาให้หันหน้าเข้าหาตัวเอง และมองเธอด้วยท่าทีเคร่งขรึมเล็กน้อย ตัวเขาเองกลัวว่าจะไปทำร้ายเธอเข้า
แอนนิก้มหน้าลง แล้วส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่ใช่ค่ะ ฉันเพียงแต่……”
เธอไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก
แต่ว่าคำพูดต่อไปนั้น หยินปู้ฝันพอเดาได้บ้างแล้ว
“ขอโทษนะ” เขาดูท่าทางเสียใจที่ทำลงไป มือที่จับมือเธอไว้ก็คลายออก
จากนั้นเขาก็หมุนตัว และกะว่าจะจากไปทั้งอย่างนี้
“คุณรอก่อน……”
หลังจากที่เขาเพิ่งเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวนั้น มือข้างหนึ่งก็ถูกแอนนิคว้าเอาไว้แน่น
“ฉันน่าจะเป็นคนพูดว่าขอโทษถึงจะถูก ช่วงเวลาที่ผ่านมา สิ่งดี ๆ ที่คุณทำให้ฉันมันตราตรึงอยู่ในหัวใจ เพียงแต่ว่าตัวฉันเองยังเดินออกมาจากความทรงจำแย่ ๆ ก่อนหน้านั้นเองไม่ได้ต่างหาก เพราะฉะนั้น……”
พอฟังมาถึงตรงนี้ ก็ทำให้หยินปู้ฝันรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาจริง ๆ
เขากลัวว่าแอนนิจะพูดว่า “หรือว่าเราจะเลิกกันเถอะ” คำพูดแบบนี้ออกมา
ที่จริงเขาไม่ใช่คนแบบที่หยิบไม่ได้วางไม่ลงแบบนั้น เพียงแต่ผู้หญิงแบบแอนนินี้ เขาวางไม่ลงจากใจจริงเลย
หรือเปลี่ยนมาพูดอีกอย่างก็คือ น่าจะเพราะว่ารักที่มีต่อเธอนั้นค่อนข้างลึกซึ้ง ลึกจนมันมากเกินความรู้สึกทั้งหมดที่เคยมีให้กับกู้ฮอนแบบนั้นไปแล้ว
ตอนแรกที่เผชิญกับความรู้สึกแบบนี้ เขารู้สึกตกใจ
แต่ว่าพอมาตอนสุดท้าย เขากลับรู้สึกว่าโชคดีมากจริง ๆ
โชคดีที่ตอนนั้นตัวเองไม่ได้แต่งงานกับกู้ฮอนไป เพราะแบบนี้ตอนนี้ตัวเองถึงสามารถรอจนได้เจอกับผู้หญิงที่ทำให้ตัวเองยิ่งชอบ และยิ่งใส่ใจมากแบบนี้
ตลอดชีวิตของคนเรานั้น พูดตามความจริงแล้ว ใครก็ไม่กล้ารับประกันได้ว่าจะสามารถชอบแค่คนคนเดียวได้ตลอดชีวิต
เพียงแต่ว่าคนบางคนนั้นโชคดีมาก ๆ ที่เขาสามารถพบเจอคนที่จะสามารถเดินไปจนสุดทางด้วยกันได้
และแน่นอนก็ต้องมีคนที่โชคไม่ค่อยดี ที่ได้เจอกับคนที่ไม่ใช่คนแท้จริงคนนั้น และอาจจะได้รับบาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงสุดท้ายปุยขนร่วงหล่นจนหมด และบาดแผลเต็มตัว……
นี่เป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่ง แต่ว่าก็ไม่ใช่ความผิดพลาดทั้งหมด
มันจะเหลือโอกาสแก้ตัวไว้ให้ผู้คน เพียงแต่มีผู้คนมากมายละทิ้งโอกาสนี้ไป
ไม่ก็เลือกที่จะมีชีวิตอย่างกล้ำกลืนฝืนทนต่อไป ไม่ก็ยินดีอยู่อย่างเงียบเหงาต่อไป จนกระทั่งโดดเดี่ยวไปจนแก่เฒ่า……
ในการเผชิญหน้ากับปัญหาของชีวิตแบบนี้ แอนนิและหยินปู้ฝันกลับกลายเป็นคู่ที่โชคดีไป
ที่ร้านครัวของแอนนิ
หยินปู้ฝันและแอนนิกลับมานั่งหันหน้าเข้าหากันอีกครั้ง
คำพูดทั้งหมดของเธอเมื่อกี้ มันทำให้หยินปู้ฝันรู้สึกตกใจจนตัวสั่นไปรอบหนึ่งแล้วจริง ๆ
เขายังนึกว่าระหว่างพวกเขาจะจบลงแบบนี้แล้วซะอีก
แอนนิมองหยินปู้ฝันที่ทั้งหน้าดูสับสนและร้อนรน “ปู้ฝัน ฉันโชคดีมาก ๆ ที่ตอนที่ยากลำบากที่สุดมีฮอนกับเฉียวเฉียวแล้วก็คุณ พวกคุณเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตฉันที่ขาดไม่ได้”
หยินปู้ฝันยังคงวุ่นวายใจ โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้แล้ว
“คุณหนูใหญ่แอน คุณอย่าพูดอ้อมค้อมอีกเลยดีไหม คำพูดปูทางชุดใหญ่ขนาดนี้ มันทำให้ผมรู้สึกถึงจิตใจระส่ำระสายไปหมดแล้วจริง ๆ”
ถึงแม้คำพูดจะพูดเกินจริงไปหน่อย แต่ว่านี่ก็เป็นความรู้สึกของเขาในวินาทีนี้
พอเห็นหน้าทั้งหน้าที่เศร้าสลดของเขา อารมณ์ที่ซึมเศร้าอยู่บ้างเมื่อกี้ของแอนนิก็ดีขึ้นมาไม่น้อยในพริบตา
นี่ไม่ใช่ว่าเธอมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าท่าทางของหยินปู้ฝันนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าเขาบ๊องได้น่ารักจริง ๆ
เธอรู้สึกว่าตัวเองยิ่งอยู่ก็ยิ่งชอบผู้ชายตรงหน้าคนนี้แล้วจริง ๆ
เขามักจะนำความรู้สึกที่มีความสุขมาให้กับตัวเอง และถึงแม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ทั้ง ๆ ที่อารมณ์มันช่างอัดอั้นมากในตอนแรก แต่ก็กลับผ่อนคลายลงได้สบาย ๆ
“คุณกำลังยิ้มอะไร? อย่านะ อย่ามามีปัญหาทางด้านความรู้สึกอีกนะ ถ้าหากจะเป็นอย่างนั้นแล้วละก็ ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้วจริง ๆ”
เมื่อหยินปู้ฝันมองเห็นเธอเป็นอย่างนี้แล้ว ในใจก็พอรู้บ้างแล้วว่า ก็จะลวดใช้การ‘ยืมเนินเพื่อลงจากหลังลา’ในตอนนี้
“จะทำยังไงดี? รอให้เย็นก่อนค่อยทำ ฉันจะบอกอะไรคุณให้นะ ในเมื่อเมื่อกี้คุณหนีไม่รอด งั้นต่อไปคุณก็อย่าคิดว่าจะหนีไปจากฉันได้เลย” เสียงที่แอนนิพูดไม่ถือว่าดังมาก แต่ว่าคำพูดทุกคำพูดนั้นได้สลักลงไปในใจของหยินปู้ฝันแล้ว
ในที่สุดก็ถือว่าได้ทิ้งคำพูดที่แน่ชัดไว้ประโยคหนึ่งแล้ว
ที่จริงระหว่างพวกเขาถึงจะชัดเจนในความสัมพันธ์แล้วก็จริง และก็ไม่ได้ถือว่าคนหนึ่งผลักคนหนึ่งไปแบบนั้น
เขามองแอนนิ แล้วทำท่าทางเด็ดเดี่ยวราวกับนักรบที่กำลังจะเข้าสู่สนามรบ “ขอให้องค์กรวางใจได้ ผมจะรับหน้าที่ที่ยากลำบากนี่ไว้เองครับ”
*
หลังจากที่ล็อกประตูเสร็จแล้วนั้น หยินปู้ฝันและแอนนิก็เข้าไปนั่งในรถ
ในเวลานี้ เขาดูอารมณ์ดีสดใสร่าเริงมากจริง ๆ
แอนนินั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับ แล้วหันหน้าไปมองเขาที่ใบหน้าแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมไม่เป็นเหมือนอย่างกับเมื่อกี้แล้วละ ที่ดูอย่างกับว่าถึงวันสิ้นโลกแล้วยังไงอย่างงั้นแหละ”
“เมื่อกี้ผมเป็นอย่างงั้นเหรอ? ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าอยากจะทำให้คุณดีใจก็เท่านั้นแหละ”
“คุณคิดว่าฉันเป็นคนยังไงกัน เห็นคุณทุกข์ใจแล้วฉันถึงจะมีความสุขเหรอ เอาฉันคิดไปในทางชั่วร้ายเกินไปแล้วมั้ง” แอนนิแกล้งทำเป็นโกรธ
ผู้ชายคนหนึ่งสามารถทอดทิ้งศักดิ์ศรีแล้วมาเอาใจตัวเอง อย่างนี้ก็พูดได้ว่า ตัวเองนั้นได้ยึดครองตำแหน่งที่สำคัญมากในใจเขาไปแล้ว จนทำให้เขายินดีทำเรื่องแบบนี้ออกมา
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ผมแค่รู้สึกว่าคุณดีใจขึ้นมาสวยกว่าเยอะเลย ต่อไปนี้อย่าทำให้ผมตกใจแบบนี้อีกนะ”
หยินปู้ฝันพูดไป ก็เริ่มสตาร์ทรถ
“คุณเป็นห่วงฉันมากจริง ๆ เหรอ?”
“ไม่ใช่แค่เป็นห่วงมากเท่านั้น ผมกลัวว่าคุณจะจากผมไปวินาทีใดวินาทีหนึ่งอีกด้วย” หยินปู้ฝันหันหน้ามา แล้วจ้องมองเธออย่างอารมณ์หนักหน่วง
ในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งที่มีต่อหญิงสาวข้างกาย
“ขอบคุณค่ะ”
“ช่างเถอะ เราสามารถบอกลาปัญหาที่ทำให้เราต่างก็หนักหน่วงนี้ได้แล้วใช่ไหม? ผมว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ คุณก็ทำงานมาอย่างหนักแล้ว หรือว่าเราให้วันหยุดกับตัวเองบ้างไหม ผมพาคุณไปท่องเที่ยวเป็นไง? จะได้ผ่อนคลายบ้างก็ดีนะ”
อยู่ ๆ หยินปู้ฝันก็เสนอความคิดเห็น
ท่องเที่ยว ฟังแล้วก็เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งแน่นอน แต่ว่าแอนนิก็กังวลขึ้นมาทันที “งั้นร้านอาหารของฉันจะทำยังไงล่ะ? ร้านเพิ่งจะได้รับความนิยมขึ้นมานิดหน่อยเอง และที่สำคัญก็มีลูกค้าประจำอยู่ไม่น้อยแล้ว ฉันไม่อยากให้พวกเขารู้สึกผิดหวัง”
***
ร้านครัวของแอนนิ สามารถพูดได้ว่าเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้แอนนิยืนอย่างมั่นคงในเมืองที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้านี้ได้
โดยเฉพาะในตอนที่ชีวิตของกู้ฮอนและลั่วเฉียวทั้งสองคนกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดีขึ้นแล้วด้วย
อยู่ ๆ เธอก็รู้สึกว่า ตัวเองยิ่งอยู่ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลให้อยู่ในเมืองนี้ต่อไปอีกแล้ว
ไม่ใช่เพราะว่าเธอใจแคบหรือว่าอะไรอย่างอื่น
เหตุผลที่เธอมาที่นี่แต่แรกก็เพราะว่าแค่มาอยู่เป็นเพื่อนจิ่วจิ่วเท่านั้น
ในช่วงเวลาที่อยู่ที่เมืองซาบาห์นั้น เธอเหมือนกับว่าเอาจิ่วจิ่วมาเป็นลูกของตัวเอง
แต่ว่าอยู่ที่นี่ ถึงจะเป็นเวลาไม่นาน แต่ว่าเจ้าเด็กน้อยก็ได้หลอมรวมเข้าไปแล้ว
และแน่นอน ในตอนที่เธอเข้าสู่ความผิดหวังอีกครั้ง ก็กลับพบเจอกับเสาหลักใหม่เข้า
ร้านแห่งหนึ่งที่เป็นของตัวเอง รวมทั้งความรักที่ดูไปแล้วดูสวยงามมาก
ร้านนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม แค่ความรักนั้นกลับทำให้ตัวเธอรู้สึกเลื่อนลอย
และสิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากส่วนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง รวมทั้งความเจ็บปวดนั้นที่ฝังอยู่ในใจ
สำหรับเธอแล้ว ถึงแม้หยินปู้ฝันจะไม่ได้เกิดในชาติตระกูลสูงส่ง แต่ว่าเขาก็เป็นทนายคนหนึ่งที่มีความรุ่งโรจน์คนหนึ่ง
เธอรู้สึกอย่างลึกซึ้งแล้วว่า ฐานะของพวกเขานั้นช่างแตกต่างกันมากมาย
ที่ตอบตกลงเป็นแฟนกับเขา ก็เพราะว่าเป็นแค่ความเห็นแก่ตัวเล็ก ๆ ของตัวเองเท่านั้น
เธอไม่คาดหวังว่าพวกเขาจะเดินไปถึงจุดจบที่สวยงาม ขอแค่ในช่วงเวลานี้ สามารถให้ความปลอบโยนอย่างหนึ่งกับจิตวิญญาณของตัวเองได้บ้างก็พ