เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1127 การเปลี่ยนแปลงที่ไม่รู้ตัว
- Home
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1127 การเปลี่ยนแปลงที่ไม่รู้ตัว
บทที่ 1127 การเปลี่ยนแปลงที่ไม่รู้ตัว
“เป่หมิงซีหยาง ถ้านายพูดอีคำฉันจะตบปากนาย!” เฉิงเฉิงเริ่มโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ลูกชายทำไมถึงพูดนินทาลับหลังแม่ได้นะ ตัวเขาอยู่ข้างแม่มาตลอด
หยางหยางส่งสายตาดูถูกให้เฉิงเฉิง นัยน์ตาแนบความดูแคลนและดูถูก: “นายทำได้ก็ลองดูสิ อย่าคิดว่าเกิดก่อนฉันไม่กี่นาที ก็สามารถเบ่งได้นะ ฉันไม่กลัวนายหรอก”
เขาพูดพลางกำหมัดเล็กๆ นั้นไว้แน่น
สำหรับเรื่องการชกต่อย ในบ้านหลังนี้ เขาไม่เคยกลัวใคร แน่นอนว่า นอกจากคุณพ่อและคุณแม่
แต่ว่า พอมาถึงตอนนี้ เฉิงเฉิงก็คงเอาเขาไม่อยู่
เฉิงเฉิงเห็นท่าทางของหยางหยาง ก็รู้ว่าเด็กคนนี้เริ่มจะวุ่นวายแล้ว ด้วยความเป็นพี่ชาย ก็พอจะรู้ว่าถ้าทำให้เขาโกรธจริงๆ ก็คงหนีไม่พ้นต้องสู้กัน และผลลัพธ์ที่ได้นั้น เขาก็พอจะรู้
“ทำไม? แม้แต่ฉันนายก็อยากจะต่อยเหรอ? ฉันรู้ว่านายชกต่อยเก่ง แต่ว่าฉันไม่กลัวนายหรอก” เฉิงเฉิงจ้องตาเขม็ง สบตาหยางหยางอย่างไม่ละสายตา มือเล็กๆ กำหมัดแน่น
ทันใดนั้น ก็เริ่มมีบรรยากาศเหมือนไฟกำลังจะปะทุ
เมื่อเห็นพี่ชายทั้งสองเริ่มท่าไม่ดี อีกอย่างดูเหมือนกำลังจะตีกัน มันทำให้จิ่วจิ่วนั้นตกใจ
เธอรู้ว่าแรงตัวเองน้อย ไม่มีทางที่จะห้ามพวกพี่ชายได้เลย สิ่งที่เธอไม่อยากจะเห็นที่สุดก็คือสิ่งนี้ ครอบครัวรักกันดีๆ ทำไมต้องทะเลาะกัน
แต่ว่าก็ออกความกล้าออกมาใช้ ยื่นมือออกไปดึงมือของเฉิงเฉิงและหยางหยางที่กำหมัดแน่น: “หม่ามี๊บอกว่า เด็กที่ใช้กำลังเป็นเด็กไม่ดี หม่ามี๊ไม่ชอบ พวกพี่อย่าตีกันได้มั้ย”
เฉิงเฉิงกับหยางหยางโมโหจนอารมณ์จะระเบิด แต่พอพวกเขาเห็นน้องสาวพร้อมกับน้ำตาคลอตาดวงโตนั้น ทันใดนั้นความโกรธที่มีก็จางหายไป
หยางหยางหัวเราะให้กับจิ่วจิ่ว: “ฮี่ๆ เธอไม่ต้องกลัว พวกเราแค่ทะเลาะกันเล่นๆ เอง”
“กำหมัดแน่นขนาดนั้น ยังจะมาบอกว่าทะเลาะกันเล่นๆ อีกเหรอ?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำที่ดูน่ากลัวดังขึ้น ทำเอาทั้งสามถึงกับตกใจ
พวกเขาไม่มีใครได้ยินเสียงคนที่เดินผ่านมา
อีกอย่างพวกเขาก็ฟังออกแล้ว ว่านี่คือเสียงของคนเป็นพ่อ
คนเป็นพ่อนับวันยิ่งน่ากลัว จู่ๆ ก็โผล่มา ไม่ให้สุ้มให้เสียง……
ทันใดนั้นเฉิงเฉิงกับหยางหยางก็ปล่อยหมัดที่กำแน่น ทำเป็นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พ่อ พวกเราเล่นกันจริงๆ นะฮะ ผมชวนให้เขามีเล่นชกต่อยกัน พ่อก็รู้ เขาชกต่อยไม่เป็น ยังไงก็ต้องเสียเปรียบ” หยางหยางยังคงแก้ตัวอย่างกระวนกระวาย
สำหรับเฉิงเฉิง ก็ไม่ได้เอะปาก เขาคิดว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายอะไรให้กับคนเป็นพ่อฟัง
ถึงจะตีกัน นั่นก็เป็นแค่การสั่งสอนน้องชายเท่านั้น มันเป็นเรื่องที่คนเป็นพี่ชายควรทำ
แน่นอนว่าเป่หมิงโม่ไม่ฟังที่หยางหยางพูด เขาหันไปหาเฉิงเฉิง: “เป็นแบบนั้นเหรอ?”
เป่หมิงโม่ก้มหน้ามองเฉิงเฉิง สายตาทำให้คนบางคนรู้สึกได้ถึงความน่ากลัว
สำหรับความเข้มงวดของคุณพ่อ เฉิงเฉิงมีความรู้สึกไม่ต่อต้านใดๆ ทั้งสิ้น
“อย่าพูดเรื่อยเปื่อยตอนนี้นะ” หยางหยางมองความคิดของเฉิงเฉิงออก บอกว่ากลัว นั่นจะเป็นไปได้ยังไง
แต่ว่าเขาก็รู้ คนเป็นพ่อเชื่อพี่ชายมากกว่าตัวเขา
บวกกับว่าตัวเองต้องเสียเปรียบแน่ๆ
แน่นอนว่าเฉิงเฉิงได้ยินที่หยางหยาง ‘พูดเตือน’ มาแล้ว ในขณะเดียวกันก็มองไปที่เขา จากนั้นก็เงยหน้าดวงตาคู่นั้นมองไปที่คนเป็นพ่อ: “หยางหยางสอนผมอยู่จริงๆ ครับ พวกเราไม่ได้ทะเลาะกัน ใช่มั้ยน้องสาว”
เฉิงเฉิงพูด พลางส่งสายตาเป็นนัยๆ ให้จิ่วจิ่ว
จิ่วจิ่วมองไปที่พี่ชายคนโต เธอไม่เข้าใจสถานการณ์เล็กน้อย เมื่อกี้พี่ชายทั้งสองยังทะเลาะกันอยู่เลย แต่จู่ๆ ก็กลายเป็นอีกเรื่องซะงั้น
นี่สรุปว่ามันเป็นอะไรกันแน่ มันสับสนจริงๆ
“จิ่วจิ่ว?”
มองไปที่ลูกสาวด้วยสายตาว่าเปล่า จู่ๆ เป่หมิงโม่ก็รู้สึกสนุกขึ้นมา เด็กน้อยกันจริงๆ แต่ว่าไม่ว่าลูกสาวจะตอบอะไรมา ตัวเขาเองก็มีคำตอบอยู่ในใจ
“พี่หยางหยางกับพี่เฉิงเฉิงกำลังทะเลาะกัน…….”
สุดท้าย จิ่วจิ่วน้อยก็เลือกที่จะพูดความจริง
เมื่อพูดจบ หยางหยางก็คงสีหน้ายิ้มไว้ เขาไม่คิดว่าน้องสาวจะเปิดโปง
“พ่อ พ่อจะเชื่อแต่น้องไม่ได้นะฮะ น้องยังเด็ก ยกไม่ออกว่าอันไหนจริง อันไหนเล่น……”
“เอาล่ะ ไม่ต้องอธิบายแล้ว หลายครั้งเวลาที่ถามยิ่งถามก็ยิ่งรู้ความจริงไม่ใช่เหรอ” สีหน้าของเป่หมิงโม่บึ้งตึงเล็กน้อย
ที่จริงแล้วเขาเป็นที่คิดมาก
อย่างแรกก็คือรู้สึกว่าตัวเองเป็นพ่อที่ไม่ประสบความสำเร็จ
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ เพราะเมื่อเห็นปฏิกิริยาของลูกทั้งสามก็พอจะเดาออก
หยางหยางต่อหน้าตน ไม่ได้ปล่อยความเป็นตัวเองออกมาทั้งหมด ถึงแม้ดูเผินๆ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะดูสนิทสนมกันก็ตาม
อย่างน้อยก็ดีกว่าแต่ก่อน
สำหรับเฉิงเฉิง ตามหลักแล้วเป็นลูกที่เลี้ยงมาด้วยตนเอง เคยดีกับตนมาก และเชื่อฟังทุกอย่าง อีกทั้งยังไม่มีความลับกับตน
แต่ว่า เขาก็เปลี่ยนไปแล้ว
แบบนี้มันคือการเปลี่ยนแปลงชนิดนึง เป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดที่ไม่รู้ตัว
เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น รู้สึกว่ารับไม่ค่อยได้จริงๆ
ส่วนจิ่วจิ่วยิ่งไม่ต้องพูดถึง เธอเหมือนกับหยางหยาง ทั้งสองเป็นเด็กที่เติบโตมาโดยเขาไม่ได้เป็นคนเลี้ยง
แต่ดีตรงที่เขาไม่ได้เหมือนพี่ชายทั้งสอง อย่างน้อยก็ยังคงมีจิตใจที่บริสุทธิ์อยู่
มันทำให้ตนรู้สึกปลื้มใจ เป็นความปลื้มใจที่ขมขื่น
ดูจากลูกๆ ทั้งสามคน ก็เห็นได้ว่าตัวเองเป็นคุณพ่อที่ล้มเหลว
“พ่อขอโทษ……” เฉิงเฉิงมองคนเป็นพ่อ เขาเป็นคนที่เข้าใจพ่อที่สุด อีกอย่างเขาก็โกหกต่อหน้าพ่อด้วย
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อก่อนก็เคยโกหกอยู่ แต่มันก็น้อยครั้งมาก
ถึงแม้หลายครั้งจะเป็นเพราะว่าหยางหยาง
สำหรับน้องชายฝาแฝดแล้ว จะให้เขาทำยังไงล่ะ? ทุกครั้งที่เห็นเขาโดนพ่อกับแม่ดุ หรือว่าโดนตี ตัวเองก็รู้สึกเหมือนโดนด้วย
เขาเคยลองตีตัวออกห่าง แต่มันก็ทำไม่ได้……
เป่หมิงโม่ลูบหัวลูกชายเบาๆ เส้นผมนุ่มๆ ทำให้เขาคิดถึงแม่ของลูก
“เฉิง ลูกไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าหากเป็นพ่อ พ่อก็คงทำแบบเดียวกัน”
คำพูดประโยคนี้ทำเอาลูกทั้งสามถึงกับตกใจ ที่คุณพ่อถึงกับไม่ดุตนเหมือนที่ผ่านมา
ที่จริงเฉิงเฉิงเตรียมใจโดนทำโทษเรียบร้อย ใครให้เขาเป็นพี่ชายล่ะ
แต่ว่าตอนนี้ คุณพ่อเลือกที่จะให้อภัยพวกเขา
ไม่ต้องพูดถึงหยางหยาง โดยเฉพาะโดนจิ่วจิ่วเปิดโปง
ต่อมาก็เป็นเฉิงเฉิงออกรับแทน……
ดูเหมือนว่าเขาเริ่มนึกถึงตัวเองแล้ว ทำแบบนี้มันจะไม่ยุติธรรม?
ที่จริงเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยมองย้อนดูตัวเอง ครั้งนี้ก็เป็นนานๆ ที
“ฉันไม่ต้องการให้นายออกตัวแทนฉัน” หยางหยางคนนี้เป็นคนที่แพ้ได้หยามไม่ได้ ปากก็แข็ง
เขาเดินไปข้างๆ เฉิงเฉิง แล้วมองไปที่เขา: “เรื่องนี้ยังไงผมก็เป็นคนเริ่ม ใครทำคนนั้นก็ต้องรับ” พูดจบก็เงยหน้ามองเป่หมิงโม่อีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังให้เขา แล้วยกก้นให้: “พ่อ ผมรู้ว่าครั้งนี้คงหนีการโดนตีไม่พ้น เชิญครับ ผมสัญญาว่าจะไม่บ่น” พูดพลางหลับตาปี๋ เห็นได้ชัดว่าเขากัดฟันแน่น แล้วเตรียมตัวโดนตี
นี่ก็น่าสนใจแล้ว เป่หมิงโม่มองเด็กคนนี้ทั้งโมโหทั้งน่าขัน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เหมือนเห็นตัวเองตอนเด็กในตัวเขา
ตัวเองตอนนั้นฉลาดเหมือนเฉิงเฉิง และแน่นอนว่าอารมณ์ร้อนเหมือนหยางหยาง……
ที่จริงแล้วข้อดีของเฉิงเฉิง คือรู้สถานการณ์ เก่งกว่าตัวเองในตอนนั้นเยอะเลย ตนในตอนนั้นจะเหมือนหยางหยางซะมากกว่า
ไม่งั้น คงจะพยุงบริษัทเป่หมิงเอาไว้ไม่ได้ และก็คงจะไม่มีความแค้นที่มีมาแต่เด็กเช่นกัน
ตอนนี้พอมานึกๆ ดู ถ้าหากในตอนนั้นตัวเองเหมือนกับเฉิงเฉิง เลือกเดินทางเดินวัยเด็ก วัยรุ่น วัยกลางคน……
พอมาถึงตอนนี้จะเป็นแบบไหนนะ?
บางทีคุณพ่ออาจจะไม่มาด่วนจากไป ร่างกายของท่านอาจจะมีอายุขัยเพิ่มอีกสักยี่สิบสามสิบปี
บางทีถ้าตนเชื่อฟังคำสั่งพ่อ จากนั้นก็ทำงานที่บริษัทเป่หมิง แล้วเป็นมิตรกับพี่เป่หมิงเฟยหย่วน พ่อและลูกชายทั้งสามทำงานร่วมกันเพื่อสร้างบริษัทที่แข็งแกร่งกว่าตอนนี้……
‘ถ้าหาก’ นี่เป็นความจริงก็คงจะเพอร์เฟคน่าดู
แต่เบื้องหลังสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเสียใจอย่างมาก นั่นก็คือเขาจะไม่ได้เจอกู้ฮอน และแน่นอนว่าจะไม่มีลูกสามคนนี้เช่นกัน……
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ผู้คนไม่ได้เจออะไรที่สมบูรณ์แบบไปซะหมด
ดูแล้วเหมือนจะดี เป็นบทสรุปที่เพอร์เฟค จะซ่อนข้อบกพร่องที่ตัวเอกเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้
เช่นกัน ที่เรื่องราวที่ดูเลวร้ายสุดๆ ก็มีเรื่องดีๆ ซ่อนอยู่……
เรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้บอกเราได้ว่า ชีวิตคนเรานั้นมันยาวและผ่านไปเร็ว ในขณะที่ยังไม่ได้เดินถึงปลายทาง ไม่จำเป็นต้องคาดหวังอะไรให้มากความ
เกี่ยวกับสิ่งที่มันไม่เป็นความจริง
ในเวลาอันสั้นเป่หมิงโม่คิดได้หลายอย่าง สุดท้ายก็มองไปที่ลูกชายตัวเล็ก: “ลูกเตรียมใจไว้แล้วใช่มั้ย? ลูกถึงกับมีความต้องการแล้ว ถ้าหากไม่สนอง ก็คิดว่าต่อไปลูกคงสู้หน้ากันไม่ได้”
พูดจบ เขายกฝ่ามือขึ้นสูง
เฉิงเฉิงกับจิ่วจิ่วที่อยู่ด้านข้าง ตอนนี้พวกเขาทำอะไรไม่ได้จริงๆ ทำได้แค่มองหยางหยางโดนตี
เห็นแค่เป่หมิงโม่ยกฝ่ามือขึ้นสูง จากนั้นก็ฟาดมันลงไปที่ก้น
เด็กทั้งสามต่างรู้สึกได้ถึงเสียง
ป๊าบนี้มันไม่ใช่เบาๆ เลย
เฉิงเฉิงเตรียมตัวไปเอาน้ำแข็งมาประคบให้น้องชาย หลังโดนตีเสร็จ
จิ่วจิ่วเป็นแค่เด็กผู้หญิง มือเล็กของเธอกุมไปที่ใบหน้า บังตาเอาไว้ไม่กล้ามอง
เพียงชั่วขณะ หยางหยางก็รู้สึกเสียใจ ความภาคภูมิใจที่พูดจบไปเมื่อกี้ ตอนนี้มันได้หายไปแล้ว ตอนนี้รู้สึกแค่ว่าก้นตัวเองเย็นๆ
เขาไม่ได้ถูกตีหนัก แต่ว่าทุกครั้งที่โดนคือ ‘บังคับ’ ไม่เคยเป็นเช่นวันนี้
ครั้งนี้เป็นการหาเรื่องเข้าตัวเอง……
เมื่อเห็นฝ่ามือของเป่หมิงโม่ตีลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงที่ชัดเจน