เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1128 เลือกเสื้อผ้า
บทที่ 1128 เลือกเสื้อผ้า
หยางหยางก็ไม่ได้รู้สึกแสบร้อนที่ก้นของตัวเอง
เพียงแค่ตบเบาๆ “เพี๊ยะ” เพียงสั้นๆ
เป่หมิงโม่ก็ไม่อยากตีลูกจริงๆ ในวัยของพวกเขา สามารถทำเรื่องอะไรออกมาก็เป็นไปได้ และแน่นอนถือว่ามีความสมเหตุสมผล
ผู้ใหญ่มักกำหนดคุณค่าของตัวเองต่อเด็กๆ ทำให้พวกเขาสูญเสียความเป็นตัวเอง และกลายเป็นเด็ก ‘หุ่นยนต์’
หลังจากตีเบาๆ ไปแล้ว เขายังคงมองหยางหยางที่ทำท่าทางตอนถูกตี มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้: “ทำไม ถูกตียังไม่สะใจเหรอ? หรือจะให้ฉันตีให้สะใจกว่านี้?”
พูดแล้ว ก็ง้างมือขึ้นเพื่อจะตีอีกครั้ง
“ไม่ใช่ ผมรู้ว่าวันนี้พ่อมีใจเป็นพระโพธิสัตว์ ตีผมไม่ลง” หยางหยางเห็นว่าควรพอแล้ว จึงรีบลุกขึ้น แล้วก็แว็บไปหลบอยู่หลังของเฉิงเฉิง
เป่หมิงโม่เลิกคิ้ว: “ทำไม ฟังที่นายพูดแบบนี้แล้ว วันนี้ฉันมีใจเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วเมื่อก่อนไม่ใช่รึไง?”
ได้….
สิ่งที่หยางหยางกลัวมากที่สุดก็คือการคิดบัญชีทีหลัง
แน่นอน เมื่อเขาพูดหลายอย่างเข้าจริงๆ เป็นการโพล่งออกมาโดยไม่คิด และเป็นช่องโหว่งในคำพูดของเขาที่เฉิงเฉิงและคนอื่นๆ จับได้ ทำให้ไปไม่ถูก
แต่ เมื่อเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้น วิธีการปกติของหยางหยางไม่มีอะไรมากไปกว่า ความโหดร้ายและความรุนแรง
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพ่อ จะทำเหมือนปกติได้ยังไง
สิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะทำได้ในตอนนี้ก็คือการทำให้สมองสั้นลง
“พ่อ อันที่จริงเป่หมิงซีหยางไม่ได้หมายความแบบนี้ ปกติคุณก็ดีกับพวกเรา” เวลานี้ เฉิงเฉิงต้องออกมาคลายความกังวล
“ทำได้ดีมาก คำพูดนี้ของนาย ต่อไปฉันจะไม่ทำให้นายเดือดร้อนแล้ว” หยางหยางโน้มตัวไปกระซิบข้างหูเฉิงเฉิง
เฉิงเฉิงจะใส่ใจคำพูดของเขาได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะหาเรื่อง ตัวเองก็ไม่กลัวเขาอยู่แล้ว
ขณะนี้ ได้ยินเสียงสตาร์ทรถดังมาจากนอกหน้าต่าง
“แม่กลับมาแล้ว!” สิ่งที่จิ่วจิ่วหวังที่สุดในเวลานี้คือการได้เห็นกู้ฮอน
ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น แต่อยู่ระหว่างผู้ชายทั้งสามคนเธอไม่รู้ควรทำอย่างไรดี
ยังไงผู้หญิงและเด็กผู้หญิงก็มีความคล้ายคลึงกันหลายอย่าง โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาแบบนี้ มักเลือกที่จะหลีกเลี่ยงจะดีกว่า
พูดจบ เธอก็วิ่งลงไปชั้นล่าง
“น้องสาว วิ่งช้าหน่อย…” เฉิงเฉิงพูด แล้ววิ่งตามไป ไม่ว่าจะเป็นน้องชายหรือน้องสาว เขาก็เป็นพี่ชายที่มีจิตสำนึกที่ชัดเจน และเป็นห่วงมาก
“นี่นี่ พวกนายสองคนอย่าวิ่งเร็วขนาดนี้ รอฉันด้วย…” เมื่อเห็นว่าพี่ชายและน้องสาววิ่งหนีไปแล้ว หยางหยางจะรออยู่ทำไม เผชิญหน้าหล่อที่ไม่แน่นอนของพ่อคนเดียว
เขากลัวว่าพ่อของเขาจะแสดงสีหน้า ‘พ่อที่เป็นมิตร’ ต่อหน้าพวกเขา หลังจากพวกเขาไปแล้ว ก็เผยธาตุแท้ออกมา
ยังไงก็เป็นการคว้าตัวเองมาจัดการตัวเองให้เรียบร้อย
เขาไม่โง่ขนาดนั้น รีบตาม ‘คนส่วนใหญ่’ ถือเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด
เด็กทั้งสามคนวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว เป่หมิงโม่อยู่ที่นี่คนเดียว ก็มองไปทางที่พวกเขาวิ่งหนีไปอย่างอดยิ้มไม่ได้ แล้วส่ายหน้า
เด็กทั้งสามคน แสดงนิสัยที่แตกต่างของตัวเองและกู้ฮอน
คนนั้นน่าทึ่งจริงๆ คนรุ่นหลังจะสืบทอดนิสัยของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังสืบทอดรุ่นต่อรุ่นไป
เขาอดคิดไม่ได้ นิสัยของตัวเองเช่นนี้ก็สืบเนื่องมาจากพ่อและแม่ของเขาไม่ใช่เหรอ
*
กู้ฮอนเพิ่งลงจากรถ ปิดประตูรถหันมาก็เจอเด็กทั้งสามคนวิ่งมาทางตัวเอง
“แม่…”
จิ่วจิ่ววิ่งอยู่หน้าสุด
“ทารกน้อยของฉัน…” กู้ฮอนอมยิ้มแล้วเดินไปไม่กี่ก้าวเพื่อทักทาย นั่งลงแล้วอุ้มเธอขึ้นมา
จากนั้นเฉิงเฉิงและหยางหยางก็มาถึงข้างกายของเธอ
“แม่คุณไม่อยู่บ้านพักผ่อนดีๆ ไปไหนแล้ว?” จิ่วจิ่วพูดบ่นเล็กน้อย
กู้ฮอนทำหน้ารู้สึกผิด: “ขอโทษจริงๆ วันนี้ฉันไปที่คุณป้าเฉียวเฉียว ไม่ได้เจอพวกเธอและทารกน้อยของพวกเขานานแล้ว”
“คุณป้าเฉียวเฉียวพวกเธอสบายดีใช่ไหม?” เฉิงเฉิงถาม
“แล้วลุงหัวฟูล่ะ?” หยางหยางก็ถามขึ้นมา
“อืม พวกเขาสบายดี อีกสองวันฉันค่อยพาพวกเธอไปพบพวกเขา” กู้ฮอนพูด อุ้มตัวน้อย แล้วพาอีกสองคนที่โตกว่า กลับเข้าไปในวิลล่า
“ฮอนกลับมาแล้ว”
เมื่อพวกเขาเข้าไปถึง ก็ได้ยินเสียงของโม้จิ่งเฉิง
“พ่อบุญธรรม คุณป้าหรูเจี๋ย…ต้องขอโทษจริงๆ ไปที่บ้านเฉียวเฉียว จนลืมเวลา ทำให้กลับมาป่านนี้”
ต่อหน้าเด็กๆ เธอถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ว่า ต่อหน้าคนสูงวัยทั้งสอง เธอยังคงเป็นเด็ก…
จากนั้น หลังจากบอกให้เด็กทั้งสามคนไปเล่นกันเอง ก็นั่งลงพูดคุยถึงสถานการณ์บ้านของชั่วเฉียวให้คนสูงวัยทั้งสองฟัง
หลังจากได้ฟังแล้ว หวีหรูเจี๋ยก็ถอนหายใจ: “เฉียวเฉียวเด็กคนนี้ไม่ง่ายจริงๆ เลี้ยงดูลูก สามีก็ยุ่งทั้งวัน ช่วยเหลืออะไรไม่ได้”
เวลานี้ เป่หมิงโม่เดินมา เขาเหลือบมองกู้ฮอน จากนั้นก็ลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ โม้จิ่งเฉิง
เมื่อเห็นเขามาแล้ว กู้ฮอนก็พูดออกไปสองประโยคอย่างอดไม่ได้ เธอพูดกับหวีหรูเจี๋ยว่า:” คุณป้าหรูเจี๋ย คุณพูดถูก ผู้หญิงเลี้ยงลูกคนเดียวลำบากขนาดไหน แต่เมื่อพูดแล้ว ก็โทษฉิงฮัวทั้งหมดไม่ได้ เดิมทีพวกเขาสามคนมีชีวิตอย่างมั่นคง แต่ไม่รู้ใครบางคนช่วงนี้เป็นอะไร ทำให้ฉิงฮัวไม่ได้กลับบ้านทั้งวันทั้งคืน”
ทำไมหวีหรูเจี๋นจะฟังไม่ออกถึงความหมายเหล่านี้ เธอหันไปมองเป่หมิงโม่: “โม่ ตอนนี้นายว่างแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงต้องให้ฉิงฮัวยุ่งมากขนาดนี้ นายมีลูกแล้ว ตอนนี้เขาก็เช่นกัน ยิ่งเด็กยังเล็กมาก ทำไมถึงไม่ช่วยนึกถึงคนอื่นมาก ให้พวกเขาผ่อนคลายลงบ้าง”
แน่นอนว่าเป่หมิงโม่ไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล แต่เขาก็รู้สึกผิดเล็กน้อย: “แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ตามความสามารถของเขาแล้วไม่ควรยุ่งขนาดนี้”
“หึ…” กู้ฮอนมองเขาอย่างเหยียดหยาม: “เรื่องของคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเป่หมิง มองแล้วเรื่องเล็ก แต่ให้คนอื่นทำก็ยากแล้ว และสำคัญที่สุดคือยืนพูดยังไงเอวก็ไม่เจ็บอยู่แล้ว”
“ก่อนอื่นฉันต้องแก้หนึ่งประโยค ฉันคือคุณชายรองแห่งตระกูลเป่หมิง ไม่ใช่คุณชายใหญ่แห่งตระกูลเป่หมิง ประการที่สอง มันไม่ใช่เรื่องของฉันทั้งหมด” พูดแล้วก็ส่งสายตากลับคืนให้กู้ฮอน
“ทำไม หรือมันเกี่ยวกับฉันงั้นเหรอ? คุณกำลังมีแผนร้ายเหรอ?” กู้ฮอนได้ฟัง ว่าตัวเองเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงรู้สึกไม่ยอม
ทำไมผู้ชายคนนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรมักเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องตลอด ไม่ว่าสุดท้ายตัวเองจะได้รับผลประโยชน์หรือไม่ สิ่งแรกที่นึกถึงก็คือเฉียวเฉียวแม่ลูกคู่นั้น รู้สึกผิดต่อพวกเขาจริงๆ
“ทำไม หรือว่าหากฉันไม่คิดร้ายกับเธอ เธอจะรู้สึกไม่สบายใจเหรอ? ทำไมเธอถึงมีแนวโน้มละเมิดรุนแรงขนาดนี้ จำเป็นต้องให้ฉันหาแพทย์ชั้นนำกี่คนเพื่อให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา?” เป่หมิงโม่พูดแล้วก็ลุกขึ้นมาอีกครั้ง และยืดเอวของเขาอย่างสง่า: “เลี้ยงลูกสามคนนี้เหนื่อยมาทั้งวัน ตอนนี้ไม่มีแรงมาพูดเรื่องพวกนี้กับเธอ ไปนอนล่ะ”
พูดแล้วก็หันหลังเดินจากไป
กู้ฮอนมองตามหลังเขาไป กัดฟันและพึมพำเสียงเบา: “ดูท่าทางน่าตีของคุณแล้ว ฉันอยากจะเตะก้นคุณจริงๆ!”
หวีหรูเจี๋ยและโม้จิ่งเฉิงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม และยิ้มให้กัน
สำหรับเหตุการณ์แบบนี้ชินตั้งนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเหมาะกับแค่วิธีการนี้เท่านั้น
สำหรับความลับเล็กๆ น้อยๆ ของลูกชาย ตอนนี้ปิดบังแค่เธอ แต่เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเรื่องนี้ให้ราบรื่น จึงทำได้เพียงปิดบังพร้อมกับลูกชาย
แน่นอนว่ากู้ฮอนไม่ได้สนใจเรื่องของเป่หมิงโม่สักเท่าไหร่ ดังนั้น จึงไม่ได้ไปถามให้สุด
“ที่รัก วันนี้พวกเธอไปไหนกันเหรอ?”
กู้ฮอนหันมาสนใจเด็กๆ อีกครั้ง
เธอไม่เห็นเด็กๆ ทั้งวัน ในใจก็จะคิดถึงมากๆ
“พ่อพาพวกเราไปซื้อเสื้อผ้า” จิ่วจิ่วโพล่งออกไปโดยไม่คิด เธอแทบจะลืมคำแนะนำก่อนหน้าไปทั้งหมดแล้ว
สิ่งนี้ยังสร้างความหวาดกลัวให้เฉิงเฉิงและหยางหยางและคนสูงวัยสองคน
“ซื้อเสื้อผ้า?” กู้ฮอนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย: “ไม่ใช่เทศกาลอะไรทำไมถึงซื้อเสื้อผ้า?”
“เอ่อ อันที่จริงคือ ตอนแรกพ่อจะพาพวกเราไปสนามเล่น” หยางหยางมีไหวพริบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการพูดไร้สาระในที่เกิดเหตุ เขาพูดแล้วโน้มไปข้างกายจิ่วจิ่วแล้วพูดว่า: “แต่น้องสาวไม่กล้า ไม่อยากไปเล่น พวกผู้หญิงอย่างพวกคุณชอบเดินเล่นในห้างไม่ใช่เหรอ บวกกับพวกเราล้วนเป็นสุภาพบุรุษ แน่นอนว่าต้องไปกับเธอ”
พูดแล้ว เขาก็แอบเอื้อมมือหยิกจิ่วจิ่วเบาๆ จากข้างหลัง
เมื่อครู่จิ่วจิ่วยังรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ว่ามันคืออะไร แต่เมื่อรู้สึกเจ็บข้างหลังจึงเหมือนจะเข้าใจแล้ว เธอเพิ่งพบว่าเมื่อกี้ตัวเองพูดผิดไปแล้ว
“แม่ เป็นแบบนี้ค่ะ” เธอจึงรีบพูดตาม
เพียงเพราะแค่ลูกสาวไม่อยากไปสนามเด็กเล่น ก็เปลี่ยนแผนพาเพื่อเจ้าตัวเล็กไปเดินห้างแล้ว…
วิธีของเป่หมิงโม่ยิ่งอยู่ยิ่งแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
กู้ฮอนเหลือบมองเด็กทั้งสามคน มักรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็บอกไม่ได้
“ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ อะไรกันมา ให้แม่ดูได้ไหม?” เธอยิ้มแล้วมองเด็กๆ
จริงๆ แล้วเสื้อผ้าเป็นสิ่งสำคัญที่รองลงมา หลักๆ คืออยากรู้ว่าเป่หมิงโม่มีรสนิยมในการเลือกเสื้อผ้ายังไง
พูดตามตรง กู้ฮอนไม่ชอบรสนิยมการแต่งตัวของเขา
ตั้งแต่รู้จักเขาจนถึงตอนนี้ สไตล์เดียวกันทุกชุด โทนชุดคล้ายกันมาก นอกจากเสื้อผ้าและฝีมืออันสูงส่งแล้ว สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือสไตล์ที่ทำให้ตัวเองดูโบราณ
มองย้อนกลับไปหมื่นก้าว เมื่อก่อนเขาคือประธานบริษัทเป่หมิง สวมชุดนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น แม้ว่ายังอยู่บริษัทเป่หมิง แต่บทบาทของเขากลับเป็นคน ‘ว่างงาน’ แล้ว แต่เขายังคงแต่ตัวเหมือนเป็นประธาน
มันเกินไปไม่ใช่เหรอ
จำได้ว่าตอนที่ตัวเองเห็นลูกชาย อยู่ในชุดสูทตัวเล็กเหมือนเขา เด็กควรจะมีชีวิตชีวาและน่ารัก กลับทำตัวเชยขนาดนี้
แต่โชคดี หลังจากผ่านการปฏิรูปมาระยะหนึ่ง ในที่สุดเฉิงเฉิงก็มีท่าทางของเด็กแล้ว
วันนี้เป่หมิงเอ้อพาเด็กๆ ไปซื้อเสื้อผ้า เธอจินตนาการได้ยากว่าจะแต่งตัวให้เด็กเหมือนคุณปู่คุณย่าออกมาหรือเปล่า
เรื่องนี้ถูกเผยออกมาเล็กน้อยแล้ว ไม่ควรให้แม่รู้ไปมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นแผนของพ่อคงพังพินาศ