เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1145 ไม่ได้หมายความอย่างที่พูด
- Home
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ
- เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1145 ไม่ได้หมายความอย่างที่พูด
บทที่ 1145 ไม่ได้หมายความอย่างที่พูด
ถึงแม้ว่าในสมองของป่ายมู่ซีจะยุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่เนื่องจากพี่น้องพูดแล้ว ถึงเป็นเรื่องที่ต้องบุกน้ำลุยไฟ ก็ยังต้องพุ่งไปข้างหน้า
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้มันเป็นเพียงแค่การสร้างบรรยากาศให้มีครึกครื้นเท่านั้นเอง
คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็กระแอมในลำคอ : ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีครับ เมื่อสักครู่นี้คุณกู้เพียงแค่ล้อเล่นกับพวกเรานิดหน่อยเท่านั้นเองครับ ตอนนี้พวกเขามีลูกที่น่ารักแล้วสามคน วันนี้เองก็เป็นเพียงแค่พิธีการอย่างหนึ่ง ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็จะจับมือกันแล้วเดินไปสู่ชีวิตที่มีความสุขในอนาคต ณ ที่แห่งนี้ พวกเราทุกคนขอส่งคำอวยพรกับคู่บ่าวสาวอีกครั้ง…”
ไม่ว่ายังไง ก็แทรกคำพูดให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ดี
ป่ายมู่ซีพยายามที่จะลบคำว่า ‘ทดลองอยู่ก่อนแต่ง’ออกจากความประทับใจของทุกคน ยิ่งสะอาดหมดจดเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
เขารู้ว่าทุกคนมาที่นี่เพื่อมาร่วมอวยพร มีคำอวยพรที่สวยงามแล้วจะต้องทำให้พิธีสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน
เป่หมิงโม่มองไปที่ป่ายมู่ซีแล้วพยักหน้าเบาๆ ดูเหมือนเขาจะค่อนข้างพอใจ
***
ผู้คนกับสิ่งที่เป็น ‘พิธี’ ล้วนแต่มองว่าจะต้องเป็นทางการและจริงจังอย่างมาก
หลังจากภาพร่างได้แสดงผ่าน ‘พิธีการ’แล้วก็จะทำให้คนเชื่อมั่นและปฏิบัติตามมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าเป่หมิงโม่เองก็เหมือนกัน เพียงแต่มีบางอย่างที่แตกต่างออกไป
ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ เดิมทีเป็นการฉลองวันเกิดให้กู้ฮอนโดยมีคนในครอบครัวมาร่วมงานฉลองเล็กๆ แล้วใช้โอกาสนี้สารภาพรักกับเธอ เพื่อทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนพัฒนาต่อไปได้
อันที่จริง เขาเองก็ไม่เคยคิดถึงขั้นตอนสุดท้ายในความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนมาก่อน
อย่างไรก็ตาม สำหรับเขาแล้ว เขามีความมั่นใจว่าผลลัพธ์ของการกระทำครั้งนี้จะต้องประสบความสำเร็จ
แต่ว่า ‘ลูกคิดสมปรารถนา’ กลับคำนวณได้ผิดพลาด คนที่ปรากฏตัวในช่วงระยะเวลาสั้นๆเปลี่ยนบรรยากาศทั้งหมด
แน่นอนว่าที่เขาทำไปไม่ได้สูญเปล่า เพราะเธอก็ได้ให้คำตอบที่เรียบง่ายกับตนเอง ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา สามารถอยู่ในระยะ ‘ทดลองอยู่ก่อนแต่ง’ ได้
ถึงแม้จะรู้สึกว่า ‘ทดลองอยู่ก่อนแต่ง’ จะไม่ค่อยสมเหตุสมผลมากนัก แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังถือว่าใกล้เข้ามาอีกก้าวหนึ่ง
แน่ล่ะว่าเป่หมิงโม่เองก็คิดเอาไว้เช่นกันว่ากู้ฮอนจะตอบแบบนี้ สาเหตุที่มากกว่า 90%
นั้นเป็นเพราะว่ามีกลุ่มคนที่ ‘ที่เกินความจำเป็น’ มากเกินไป
ถ้าไม่มีคำพูดของพวกเขา เรื่องทุกอย่างคงจะเปลี่ยนเป็นพูดง่ายขึ้น
เรื่องมาถึงจุดนี้แล้วยังมีอะไรมาพัวพันอีก ยังไงก็ต้องเดินไปตามทางที่วาดเอาไว้
*
ในตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้า งานเลี้ยงเล็กๆในสวนก็สิ้นสุดลงด้วยเช่นกัน
ดูเหมือนทุกคนนิ่งเงียบและจะไม่มีการยกเรื่อง ‘การแต่งงาน’ หรือ ‘การทดลองอยู่ก่อนแต่ง’ ขึ้นมาพูดต่อหน้าพวกเขาไปโดยปริยาย
บทสนทนาทั้งหมดเป็นการพูดเรื่องไร้สาระที่ห่างไกลตัว
“ใกล้ถึงเวลาที่พวกเราควรจะกลับแล้ว วันนี้เจ้าตัวเล็กยังนับว่ารักษาหน้าให้กันอยู่ นอกจากนอนหลับแล้ว ก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้ฉันเลย” ลั่วเฉียวมองไปที่ลูกชายตัวอ้วนจ้ำม่ำของตนเองอย่างพึงพอใจ
กู้ฮอนยิ้มอยู่ข้างๆเธอ แล้วยื่นมือลูบหน้าผากของเด็กเบาๆ : “เจ้าตัวเล็กนี่ยิ่งโตยิ่งเหมือนฉิงฮัวขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่เพิ่งเกิดยังดูเหมือนเธออยู่เลย”
ลั่วเฉียวเม้มริมฝีปาก : “ฉันมีความสุขมากตอนที่เหมือนฉัน แต่พอได้ยินเธอพูดแบบนี้แล้ว ฉันเริ่มกังวลใจแล้วล่ะ ถ้าหากโตขึ้นมาแล้วเหมือนพ่อจริงๆ ในอนาคตฉันจะรับมือลูกสะใภ้ยังไงล่ะเนี่ย…” พูดแล้วยังชำเลืองมองไปที่ฉิงฮัวอย่างขยะแขยง
ฉิงฮัวที่อยู่ด้านข้าง ได้แต่แสดงท่าทีทำอะไรไม่ถูก
“ลั่วเฉียว เธอกังวลใจเรื่องอะไร ฉันคิดว่ากู้ฮอนชอบลูกน้อยของเธอมากๆนะ หรือถ้าในอนาคตลูกของพวกเธอจะแต่งงานกัน ก็ไม่มีใครเสียเปรียบใครเลยนะ” แอนนิเอนศีรษะซบที่ไหล่ของหยินปู้ฝัน
“จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ…” ลั่วเฉียวมองดูพวกพี่ชายที่นั่งอยู่กับจิ่วจิ่ว จากนั้นก็มองลูกสุดที่รักของตน : “ไม่กังวลว่าจะเสียเปรียบหรอก แต่ครอบครัวของเราไม่เลี้ยงต้อยเด็กผู้หญิงหรอกนะ”
“ฮ่า ลั่วเฉียวนี่นะ ฉันไม่ได้รังเกียจเธอ ตรงกันข้ามเธอกลับรังเกียจพวกเรา เธอพูดมาสิว่าจิ่วจิ่วของพวกเราไม่ดีตรงไหน?”
แน่นอนว่าผู้ใหญ่แต่บ้านมักจะพูดถึงเด็กๆของตนเอง ทันทีที่ได้ยินว่าใครพูดว่าลูกของคนไม่ดี หรือรังเกียจก็จะเลิกคุยทันที
“ใช่แล้วล่ะๆ วันนี้เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ของเธอ เธอต้องสำคัญที่สุด ไม่ใช่เพราว่าะจิ่วจิ่วของพวกเธอไม่ดี แต่ทารกของพวกเรายังเด็กเกินไป เลยไม่คู่ควรกับคุณหนูเป่หมิงต่างหาก ฮ่าฮ่า…”
“ฉันเห็นว่าเหมาะสมนะ ตอนนี้พี่สาวรักน้องชายไม่ได้เป็นที่นิยมหรือไง..”
“โอเคเลยแอนนิ เธอต้องการที่จะเอาทารกน้อยของพวกเรากลับไปก่อนถึงเวลาสินะ เมื่อถึงตอนที่เธอมีลูกก่อนเถอะ ฉันจะส่งเขาออกไปก่อนเลย”
กู้ฮอน ลั่วเฉียว และยังมีแอนนิสามสาวพี่น้องหยอกล้อกันในกลุ่ม
เลยทำให้หยินปู้ฝันและฉิงฮัวที่อยู่ข้างๆรู้สึกอึดอัดใจ ไม่ใช่เวลาที่จะพูดอะไรได้
ท้ายที่สุดจึงก้มหน้าลงและย้ายไปอยู่ข้างๆเป่หมิงโม่
เมื่อเห็นเขาแล้วก็ถอนใจยาว : “ผู้หญิงนี่นะ…”
เป่หมิงโม่ยังคงถือแก้วไวน์แดงอยู่ในมือ มองไปยังหญิงสาวสามคนที่อยู่ไม่ไกล มีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของเขา
“พี่รอง เริ่มจะค่ำแล้ว พวกเราต้องขอตัวกลับก่อน”
ในเวลานี้เอง เป่หมิงยันเดินเข้ามาหา
ด้านหลังของเขามีครอบครัวของเป่หมิงเฟยหย่วนตามมาด้วย
“อารอง คุณอย่าใส่ใจเลย อารมณ์ของกู้ฮอนก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่ายังไงผมก็ขออวยพรให้คุณทั้งสองคนด้วยความจริงใจ ขอให้รักและดูแลเธอให้ดี เธอเป็นแม่และภรรยาที่ดี” หลังจากเป่หมิงยี่เฟิงพูดคำเหล่านี้ออกมาแล้ว ก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ
แม้ว่าเขาจะยังมีความรู้สึกต่อเธออยู่บ้าง แต่มันก็แตกต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิง
เป่หมิงโม่พยักหน้า : “ขอบใจนะ นายพูดถูก ฉันเองก็คิดเช่นนี้ ฉันเองก็หวังว่านายจะพบคนที่ใช่เร็วๆนี้ ให้พ่อและแม่ของนายได้อุ้มหลานไวๆ”
“เป่หมิงโม่เนี่ย นายให้เขาเป็นไปอย่างช้าๆเถอะ เรื่องของบริษัทเป่หมิงก็ยุ่งมากพอสำหรับเขาแล้ว จะมีเวลาเดทที่ไหนกันล่ะ แต่ว่าในฐานะผู้อาวุโสพวกเราก็อยากให้เขาแต่งงานไวๆ มีคนช่วยเขา พวกเราก็จะผ่อนคลายไปไม่น้อย ถ้าเกิดนายเห็นผู้ผ่านคัดเลือกที่ดี อย่าลืมแนะนำให้ยี่เฟิงของพวกเรารู้จักด้วยนะ” เป่หมิงเฟยหย่วนพูดพร้อมกับหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและชนแก้วของเป่หมิงโม่
“พี่ใหญ่ เรื่องของหลายชายคนโตต้องรบกวนพี่รองด้วยเหรอ นอกจากนี้ พี่รองยังจะมีโอกาสที่ไหนติดต่อผู้หญิงคนอื่นอีกล่ะ ในเมื่อหัวใจถูกพี่สะใภ้รองกุมเอาไว้แน่น ขอให้ผมแนะนำยังจะเชื่อถือมากกว่าอีก ผมมีสาวสวยมากมายหลายหลากเลยนะครับ จะผมบลอนด์ ผมดำ ดำ ขาว สูง เพรียว มีครบทุกอย่าง…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ดูเหมือนเป่หมิงยันจะค้นพบความรู้สึกของการเป็นที่สนใจแล้ว สิ่งนั้นเรียกว่าการโอ้อวด
“น้องสาม งั้นก็ทำเองเลยสิ นายแทบจะกลายเป็นองค์การสหประชาชาติอยู่แล้ว นอกจากนี้พวกเราไม่กล้าไปยุ่งเกี่ยวคนในวงการบันเทิงหรอก ยี่เฟิงอายุยังน้อย ประสบการณ์มีไม่มากพอ ถ้าหากไปทำเรื่องอะไรขึ้นอีก…” เป่หมิงเฟยหย่วนโบกมือซ้ำๆ
แต่ทว่า เขาเพิ่งจะพูดจบ ก็ดูเหมือนจะไปยั่วยุ ‘คุณหนูใหญ่’ ของที่นี่
“พี่เป่หมิง ฉันไม่ชอบที่ได้ยินคุณพูดแบบนี้เลยค่ะ อะไรคือไม่กล้าไปยุ่งเกี่ยวคนในวงการบันเทิง คำนี้ฟังแล้วเหมือนจะเลือกปฏิบัติอยู่เล็กน้อยนะคะ ถึงแม้ว่าคนในวงการบันเทิงของพวกเราจะมีคนดีและคนเลวปะปนกันอยู่ แต่ก็มีดีมากกว่า เช่นฉันยังไงล่ะคะ”
ลั่วเฉียวยุ่งมากจริงๆ เพิ่งจะออกจาก ‘กลุ่มสงคราม’ กลุ่มนั้นก็พุ่งมากลุ่มนี้อีก
“คุณลั่ว ที่จริงแล้วผมไม่ได้หมายความเช่นนั้น อย่างคุณลั่ว พวกเราต้องชอบมากๆแน่นอนอยู่แล้ว” ถึงแม้ว่าเป่หมิงเฟยหย่วนจะไม่เคยเผชิญหน้าตัวต่อตัวกับลั่วเฉียวมาก่อน แต่บางเรื่องของเธอ ก็เคยได้ยินมาบ้าง
เป็นผู้หญิงที่แม้แต่เป่หมิงโม่ก็ไม่คิดจะไปยั่วยุ แล้วพวกเขาก็กล้าหาเรื่องได้อย่างไรกันล่ะ เมื่อถูกถาม ก็รีบโน้มน้าวทันที
ลั่วเฉียวเป็นคนที่กระตือรือร้น เธอเองก็รู้เรื่องบางเรื่องระหว่างกู้ฮอนกับเป่หมิงยี่เฟิง แต่อาศัยว่าเพื่อใบหน้าของพี่สาวที่แสนดีของเธอ
“ พี่เป่หมิง ถ้าหากว่าคุณไม่มีอคติอะไรต่อวงการบันเทิงของพวกเรา บางทีฉันอาจจะช่วยคุณชายค้นหาใครสักคนได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถรับประกันความพึงพอใจให้กับพวกคุณได้ด้วย คุณคิดว่ายังไงคะ?”
“เอ่อ …คุณลั่ว พูดมาเช่นนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอขอบคุณไว้ก่อนเลย”
“คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้เธอก็กำลังทำธุรกิจชักใยสื่ออยู่น่ะ” กู้ฮอนโผล่มาที่ด้านหลังของลั่วเฉียวอย่างแทบจะไร้สุ้มเสียง
และมองดูพวกเป่หมิงยี่เฟิงจากไป โดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับพวกเขา แต่ก็ใช้สายตาทักทายไปแล้ว
สถานการณ์ของวันนี้ เธอไม่มีความกระตือรือร้นจะคิดเกี่ยวกับพวกเพื่อนๆเลย จิตใจของเธออยู่ในสภาพสับสนวุ่นวายเล็กน้อย
แน่นอนว่าเป่หมิงยี่เฟิงที่อยู่ในฐานะเพื่อน ก็ยิ้มตอบกลับเธออย่างสุภาพ
คำอวยพรและดูแลรักษาตัวทั้งหมดนี้ไม่ได้ถูกเอ่ยออกมา
ลั่วเฉียวสะดุ้งตกใจกู้ฮอน จนแทบจะปล่อยเด็กที่อยู่ในมือ : “เธออยากให้ฉันตกใจตายสินะ เดินมาก็ไม่มีเสียงเลย ฉันแค่อยากจะสร้างความมั่นใจให้กับตระกูลเป่หมิงของพวกเธอเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเขาจะมั่นใจในตัวเธอเหรอ?”
เป่หมิงโม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกพึงพอใจกับชื่อของตนเองที่ลั่วเฉียวเรียก อย่างน้อยเธอก็ยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกู้ฮอนว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว
แต่คำอธิบายในภายหลังทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอยู่เล็กน้อย : “หรือว่าผมเป็นคนใจแคบขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ใช่แล้ว”
คำตอบเด็ดขาดอย่างมาก
นั่นคือการประเมินอย่างมีอำนาจที่กู้ฮอนมอบให้กับเขา
ใช่ เขาสำลักกับคำนี้ และไม่พูดอีก
โลกนี้มีทุกสิ่ง คนก็มีเป็นหมื่นแบบ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็มีสิ่งหนึ่งที่ถูกอีกสิ่งหนึ่งพิชิตได้
เป่หมิงโม่เลือกที่จะยอมจำนน เมื่อเผชิญหน้ากับเธอ
ชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้หรือแสดงท่าทียอมจำนน แต่หลังจากที่เธอปรากฏตัว เขาก็ค่อยๆอ่อนแอลง
น้ำหยดลงหิน
ผู้หญิงเหมือนกับน้ำ ถึงแม้ว่าผู้ชายจะแข็งกระด้างราวกับแผ่นศิลา แต่ก็ยังถูกเอาชนะไปได้ทีละนิด
ถ้าหากพูดว่า ชายพิชิตหญิงโดยเริ่มจากร่างกาย
อย่างนั้นแล้ว หญิงก็พิชิตชายด้วยจิตใจ
*
แขกเหรื่อได้แยกย้ายกันไปแล้ว ที่นี่กลับคืนสู่สภาพที่มีเพียงผู้ใหญ่สี่คนและเด็กสามคนเท่านั้น
ตอนนี้พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ถึงแม้ว่าครอบครัวนี้จะอยู่ในช่วง ‘ทดลอง’ ก็ตาม
ในแง่ของความรู้สึกกลับมากกว่าเมื่อก่อน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือรู้สึกดีมากขึ้นกว่าวันก่อน
เต็มไปด้วยความเป็นธรรมชาติและบรรยากาศอบอุ่น
หวีหรูเจี๋ยมองกู้ฮอนอย่างรักใคร่ : “ตอนนี้ก็เรียบร้อยแล้วนะจ๊ะ ในที่สุดพวกเราก็กลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว
ครอบครัว…
คำนี้ทำให้กู้ฮอนรู้สึกร้อนบนใบหน้าขึ้นมาเล็กน้อย เวลาเดียวกันในใจก็รู้สึกอบอุ่น
ครั้งหนึ่งเธอเคยมีครอบครัว แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ครอบครัวก็ไม่มีอีกแล้วสำหรับเธอ
ถึงแม้ว่าจะมีเด็กๆอยู่ข้างกาย แต่ก็ไม่สามารถเรียกว่าเป็นบ้านที่แท้จริง
อย่ามองว่าเธอมักจะปะทะคารมกับเป่หมิงโม่อยู่เสมอ แล้วจะไม่มีความอ่อนแอ
แต่ในเรื่องบ้าน เธอยังคงอิจฉาเขาอยู่เล็กน้อย
เขามีบ้าน ถึงแม้ว่ามันจะเคยแตกกระสานซ่านเซ็นมาก่อนก็ตาม
แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด พวกเขายังคงมีบ้านให้กลับไปอีกครั้ง และพี่น้องก็คืนดีกันใหม่ ถึงแม้ว่าคุณพ่อจะจากไป แต่คุณแม่ก็กลับมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังมีผู้ชายคนหนึ่งที่เธอรักด้วย