เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1160 ไล่เป็ดขึ้นเกาะคอน
บทที่ 1160 ไล่เป็ดขึ้นเกาะคอน
นี่ไม่ใช่สิ่งที่หยางหยางกลัว จริงๆ แล้วเขาก็ไม่แน่ใจนักว่าเชิญผู้ปกครองหมายถึงอะไร
ไม่เคยได้ยินคำพูดแบบนี้จากโรงเรียนเดิมเลย
เขาจะรู้ได้อย่างไร ในที่ที่มีคนรวย คุณครูเอาอกเอาใจพวกเขาจะตาย จะกล้าทำให้พวกเขาไม่พอใจได้ที่ไหนกันล่ะ แม้แต่นักเรียนที่ซน ก็ทำได้แค่เห็นแล้วอดทน
แต่โรงเรียนที่นี่ คุณครูคือพระราชาอย่างแท้จริง ทุกคนต้องประจบประแจงเขา
หยางหยางมองครูประจำชั้น มีร่องรอยความลำบากใจบนใบหน้า
แน่นอนว่าครูประจำชั้นก็เห็นสีหน้าเขา “อย่าแกล้งทำหน้าน่าเห็นอกเห็นใจ ฉันจะบอกเธอให้ ถ้าตอนบ่ายเรียกผู้ปกครองเธอมาไม่ได้ ต่อไปก็อย่ามาที่ชั้นเรียนฉันอีก!”
ดูเหมือนหญิงชราคนนี้จะหลอกยากกว่าหลี่เชี่ยนเชี่ยนเยอะเลย ไม่หลงกลนี้เลย
ตอนนี้ไม่มีโทรศัพท์ ติดต่อเฉิงเฉิงไม่ได้ ถ้าสามารถติดต่อเขาได้ล่ะก็ อาจจะมีวิธีอื่นที่ไม่จำเป็นต้องให้พ่อรู้ และสามารถมีวิธีปิดตาหญิงชราคนนี้
“กริ๊ง……”
ในที่สุดกริ่งเลิกเรียนก็ดังขึ้น โชคดีที่วันนี้ใช้เวลาในการยืนไม่นาน
หยางหยางมองตามครูประจำชั้นเดินออกจากห้องเรียนไป
เขานั่งลงบนเก้าอี้
เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ส่วนมากวิ่งออกไปเล่นแล้ว มีเพียงแค่เพื่อนร่วมโต๊ะที่เรียกเขาอย่างหวังดีเมื่อครู่นี้ที่ยังไม่ออกไป
“นายมองฉันแบบนี้ทำไม อย่าคิดอะไรกับฉันนะ ฉันไม่ใช่ GAY” เดิมทีหยางหยางรู้สึกรำคาญเล็กน้อย
แต่เพื่อนร่วมโต๊ะตัวน้อยของเขา นอกเหนือจากการเรียนแล้วก็เหมือนไม่เข้าใจโลกภายนอกเลย
เขาจับแว่นที่หนาเหมือนก้นขวดเบียร์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อะไรคือ ‘ให้’ ? ”
หยางหยางรู้สึกท้อแท้ทันที พ่ายแพ้ต่อเขาจริงๆ แล้ว “นายเรียนภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงยังไงเนี่ย GAY ไม่ใช่ ‘ให้’ ……ลืมสิ่งที่ฉันบอกนายไปเถอะ นายก็คงไม่เข้าใจ ฉันเห็นนายเป็นแบบนี้ ถึงจะใช่ก็ไม่มีใครสนใจนายหรอก”
ขณะที่พูด เขาโยนหนังสือบนโต๊ะใส่กระเป๋า จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก
“นายไปทำไม? ” แว่นน้อยรีบถาม
“เมื่อกี้นายไม่ได้ยินเหรอ ฉันจะกลับไปเรียกพ่อมา”
“นายอยากขาดเรียนล่ะสิ เชื่อไหมว่าฉันจะฟ้องครู” คราวนี้ไม่ใช่แว่นน้อย แต่เป็นหัวหน้าห้องหลี่เชี่ยนเชี่ยน
“เธอบอกไปเถอะ มันไม่ใหญ่เท่าเชิญผู้ปกครองหรอก เธอรีบไปบอกเลยนะ ฉันจะได้ถูกเรียกวันนี้แทนวันพรุ่งนี้ ฉันไม่ได้มีเวลาจำกัดมากขนาดนั้น” หยางหยางไม่กลัวเธอขู่ตัวเอง
มีท่าทางชอบธรรมและความน่าเกรงขาม
ในขณะนี้ สิ่งที่ไม่กลัวมากที่สุดก็คือตาต่อตา ฟันต่อฟัน
หลายต่อหลายครั้ง หลายครั้งที่รู้สึกว่าตัวเองมักมีเรื่องที่น่าเสียใจบางอย่าง มักเกิดขึ้นในสถานการณ์แบบนี้ พอหน้าผากร้อนก็ไม่สนใจอะไรเลย
ในขณะนี้ มักต้องมีใครออกมา ทำสิ่งที่ถึงจุดแตกหักแล้วให้สงบลง
บทบาทนี้ตกอยู่ที่ตัวเจ้าแว่นน้อย
สาเหตุที่เขานั่งแถวหลัง ไม่ใช่เพราะเป็นเด็กซน เด็กที่เรียนหนังสือไม่เก่งในแบบทั่วๆ ไป แต่เพราะเขาตัวสูงต่างหาก
ถ้าพูดถึงการเรียน ก็ดีกว่าหยางหยางนิดหน่อย
ในชั้นเรียนนี้ เขาถือว่าเป็นคนที่สูงที่สุด แต่ผอมมาก ดูแล้วไม่ค่อยเหมาะสมกันนิดหน่อย
สิ่งนี้อดไม่ได้ที่ทำให้หยางหยางมักเปรียบเทียบเขากับเด็กจ้ำม่ำ ‘จอมอันธพาล’ คนนั้น
ตอนนี้การรวมตัวกันเป็นที่นิยมมากไม่ใช่เหรอ? ถ้าพวกเขาสองคนกลายเป็นกลุ่มอะไรสักอย่าง คงน่าสนใจอย่างมาก
“หัวหน้าหลี่ ตอนนี้เพื่อนนักเรียนเป้หมิงหยางอารมณ์ไม่ดี เธอหยุดกวนประสาทเขาได้ไหม” ขณะที่พูดก็ดึงแขนเสื้อหยางหยาง “นายก็อย่าทำแบบนี้ ถึงตอนนั้นทัศนคติดีขึ้นแล้ว จริงๆ ครูประจำชั้นของเราก็ดีมากนะ”
ทั้งสองคนถูกโน้มน้าวโดยแว่นน้อย และสงบลงกันหมด
“วันนี้มีวิชาพละ ไม่ว่าตอนบ่ายจะเรียกผู้ปกครองไหม เราไปเล่นคาบสุดท้ายให้เต็มที่ก่อนค่อยว่ากัน”
“ลุงเหล่าโล๋ นายช่วยฉันหน่อย……”
หยางหยางคุกเข่าบนโซฟา ร่างเล็กนอนอยู่บนพนักพิง สองมือเล็กหล่นลงมา
คางเกยอยู่บนพนักพิง ตาโตสุกใสกะพริบปริบๆ มองชายที่ค่อนข้างไร้เดียงสาตรงหน้า
เหล่าโล๋ ถูกเขามองจนอึดอัดเล็กน้อย นั่งก็ไม่ได้ ยืนก็ไม่ได้
“คุณชายน้อยหยางหยาง ผมอยากช่วยคุณจริงๆ แต่นี่ไม่อยู่ในขอบเขตหน้าที่ผม ผมแค่รับผิดชอบหน้าที่ชีวิตประจำวันและความปลอดภัยของคุณเท่านั้น”
“ลุงเหล่าโล๋ ฟังนะ หน้าที่ดูแลชีวิตประจำวันของฉันไม่ได้เป็นของพ่อแม่ฉันเหรอ ตอนนี้สิ่งที่นายทำอยู่เป็นเรื่องของพวกเขาไม่ใช่เหรอ ทำไมนายไม่ไปโรงเรียนแล้วแกล้งเป็นผู้ปกครองฉันล่ะ?”
หยางหยางเผชิญกับปัญหาที่ครูประจำชั้นเชิญผู้ปกครอง แต่คิดหลายวิธีแล้ว พ่อไปทำงานนอกสถานที่ แม่ดูแลยายที่ป่วย……
หรือบางทีก็พ่อแม่หย่าร้างกันไปแล้ว ตัวเองอยู่กับพ่อ และเขาก็ไม่อยู่บ้านตลอดทั้งวัน
แต่สุดท้ายก็ปฏิเสธไปทีละอย่าง
เหตุผลนี้ง่ายมาก นั่นก็คือ หลังจากที่เขาคุยกับแว่นน้อย แว่นน้อยบอกว่าพูดแบบนี้มันไม่น่าไว้ใจมากๆ
จากนั้นเขาก็ยกตัวอย่างครูประจำชั้นของพวกเขาทีละอย่าง การตอบสนองหลังจากที่อ้างว่าเชิญแล้วผู้ปกครองไม่มา
สรุปแล้ว มันจะไม่เกิดผลดีเลย
เพื่อปัญหาที่น่ารำคาญนี้ เขาเสียเวลาวิชาพละไปเกือบทั้งคาบ
แน่นอนว่า คาบพละของที่นี่ สิบนาทีแรกครูให้ทุกคนอบอุ่นร่างกายโดยการขยับข้อมือ ขยับข้อเท้า เหยียดแขนเหยียดขาเป็นต้น
จากนั้นก็ส่งสองคนไปที่ห้องอุปกรณ์เพื่อเอาลูกบอลลูกบาสต่างๆ มา ส่วนที่เหลือเป็นกิจกรรมอิสระ และเขาก็หาที่นั่ง บางครั้งก็ส่งเสียงสองสามทีเพื่อแสดงว่าตัวเองกำลังจ้องมองอยู่
หลังจากหยางหยางกลับไปที่พักของตน ขณะที่เห็นเหล่าโล๋ กำลังง่วนกับการทำอาหารอยู่ ดวงตาก็เป็นประกาย
นายคนนี้เอาโทรศัพท์ตนไปเมื่อวาน กลัวว่าตนไม่สามารถติดต่อกับเฉิงเฉิงได้
ในเมื่อเขารักและดูแลตนขนาดนี้ ก็ให้เขาดูแลจนถึงที่สุดแล้วกัน เชิญผู้ปกครองก็ให้เขามาแทน
สำหรับเรื่องครูเชิญผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็นตัวเองในตอนนั้น หรือว่าดูคนอื่นเชิญผู้ปกครองมา เดาว่าทุกคนก็ต้องมีปมในใจไม่มากก็น้อย
โดยธรรมชาติเหล่าโล๋ ก็ไม่เว้น เขาโดนเชิญผู้ปกครองไม่น้อยทีเดียวตอนเขายังเด็กๆ อาจกล่าวได้ว่าเป็นปมในใจในวัยเด็กที่ลึกที่สุดของเขาก็ว่าได้
เมื่อเขาได้ยินว่าหยางหยางอยากให้ตนแกล้งเป็นผู้ปกครองแล้วไปโรงเรียนพบครู ก็รู้สึกหนาวที่กระดูกสันหลังนิดหน่อย จากนั้นก็มีอาการขนลุกขึ้นมารางๆ
นอกจากนี้ ตัวเองรับคำสั่งจากเป่หมิงโม่เท่านั้น แต่ไม่รับผิดชอบภาระหน้าที่ถูกครูเชิญไปโรงเรียน
เขาแสดงการคัดค้านอย่างหนักกับเรื่องนี้
หยางหยางหันมาสบตา แล้วเปลี่ยนทัศนคติทันที “ถ้าไม่ใช่นาย ฉันก็ไม่ถูกเชิญผู้ปกครอง”
“เพราะผมเหรอ? ” เหล่าโล๋ รู้สึกไม่ชัดเจนจริงๆ
“ใช่ ถ้าเมื่อวานนายไม่เอาโทรศัพท์ฉันไป ฉันไม่มีโทรหาที่บ้านได้ ฉันนึกถึงพวกเขามากจนเหม่อในชั้นเรียน แล้วฉันก็ถูกครูประจำชั้นเห็นเข้า ถูกลงโทษโดยการยืนหนึ่งคาบ นายว่าใช่เพราะนายไหม”
หยางหยางพูดได้อย่างมีเหตุผลเพียงพอจริงๆ
พูดจนทำให้เหล่าโล๋ ทำหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม ปัญหาของการเอาโทรศัพท์ไปจริงๆ แล้วไม่ใช่ความคิดของตน ตอนนี้ความผิดทั้งหมดตกอยู่ที่ตัวเขาจริงๆ
“คุณชายน้อยหยางหยาง ที่เอาโทรศัพท์ไปเป็นเพราะเจ้านายอยากให้คุณตั้งใจเรียน เลยให้ผมทำแบบนี้”
เพราะมี “ผู้คุมอยู่เบื้องหลัง” จริงๆ ด้วย!
นี่คือปฏิกิริยาแรกของหยางหยาง
แต่ตอนนี้จัดการอะไรไม่ได้มากขนาดนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการบรรลุวัตถุประสงค์ของการเชิญผู้ปกครอง
พูดตามตรง เขาไม่อยากให้พ่อเขามา
ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์อาจจะ ‘ร้ายแรง’ มาก
แต่ก็ไม่สามารถให้พ่อหาข้ออ้างใหม่มาจัดการตนได้
นี่ไม่ใช่การต่อต้านตัวเองเหรอ
ตัวเองเป็นแค่เด็ก การปลิ้นปล้อนคือ ‘เคล็ดลับวิเศษ’ ของตน
มือเล็กเขาเท้าเอว “ฉันไม่สนว่าใครเป็นคนคิดจะยึดโทรศัพท์ฉัน สุดท้ายแล้วนายก็เป็นคนแย่งมันไปจากมือฉัน ฉันเลยมาหานาย!”
ขณะที่พูด เขาก็ทำหน้ายิ้มให้กับเหล่าโล๋ อีกครั้ง มันทำให้เหล่าโล๋ รู้สึกขนลุกไปทั่วร่างอย่างอธิบายไม่ได้
หยางหยางพูดต่อ “ลุงเหล่าโล๋ ตอนนี้นายยังไม่แต่งงาน ยังไม่มีลูก แบบนี้ต่อไปก็จะกลายเป็นชายขึ้นคานง่ายๆ ไปลองสัมผัสความรู้สึกของพ่อดูก่อนดีไหม ถ้าไม่มีใครเอานายจริงๆ ชีวิตนี้นายจะได้ไม่รู้สึกเสียใจมาก อีกอย่าง นายรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมเหรอที่ฉันเป็นลูกชายนาย?”
นี่คือคำพูดที่ยุ่งเหยิงอะไรขนาดนี้
ครู่หนึ่งเหล่าโล๋ รู้สึกเหนือศีรษะตนมีอีกากลุ่มหนึ่งบินอยู่
มันคือเมฆดำปกคลุมด้านบนจริงๆ
ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าคุณชายสองของตระกูลเป่หมิงเป็นคนพูดจาไม่คิด วันนี้ก็ถือว่าได้ประสบการณ์แล้ว
ฟังผิวเผินดูเหมือนคิดแทนตน แต่หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วมันเหมือนการสาปแช่งตนมากกว่า
อยากให้เขามาเป็นลูกชายตน แน่นอนว่าต้องรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม
เกิดความรู้สึกเหมือนถูกสวมหมวกสีเขียว……
“เอ่อ……”
“เอ่ออะไร ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเอ่อนะ สิ่งแรกที่ต้องทำคือเราต้องซ้อมกันอย่างดี รับมือกับครูประจำชั้นของฉันด้วยกันสิถึงจะถูก” หยางหยางไม่ให้เขามีเหตุผลปฏิเสธใดๆ มุ่งมั่นที่จะบรรลุผล ‘ไล่เป็ดขึ้นเกาะคอน’
*
ตอนกลางวัน กลิ่นอาหารคละคลุ้งภายในห้องอาหารของโรงเรียน
ที่นั่งว่างใกล้หน้าต่าง เฉิงเฉิงกำลังนั่งอยู่ที่นั่น
บนโต๊ะตรงหน้ามีอาหารหลายจานกำลังมีไอร้อนออกมา
ในมือถือตะเกียบอยู่แต่ยังไม่ได้ตักทาน
วันนี้เช้าตรู่เขารู้สึกว่าหนังตาตัวเองกระตุกเล็กน้อย
ตามคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ นั่นเพราะว่าพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดความเครียดทางจิตใจ
แต่ตามความเชื่อทางไสยศาสตร์: ขวาร้าย ซ้ายดี
ถ้าอย่างนั้นบ่งชี้ว่าอาจจะมีเรื่องบางอย่างที่ไม่ดีเกิดขึ้นในอนาคต
จริงๆ แล้ว สิ่งเลวร้ายนี้กำลังจะเกิดขึ้น
โทรศัพท์หาหยางหยางไม่ติด
ตามปกติแล้ว เขามักโทรมาหาตอนเขาทานอาหารอยู่
เจ้านี่ไม่ใช่คนที่สามารถเก็บสิ่งต่างๆ ไว้ในใจง่ายๆ อยากเจอแม่ลับหลังพ่อ เรื่องนี้เขาต้องเอาใจใส่อยู่แล้ว
หรือว่าทางด้านเขาอาจมีเหตุร้ายเกิดขึ้นจริงๆ?
*
ในห้องทำงานไม่ได้เงียบอย่างที่คิดไว้ มันยุ่งเหยิงพอๆ กับห้องเรียนหลังเลิกเรียน
คุณครูแต่ละห้องพูดคุยกันอย่างวุ่นวายเกี่ยวกับนักเรียนในห้องตัวเองที่ทำให้พวกเขารู้สึกหงุดหงิด
แน่นอนว่าตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ สายตาก็จับจ้องไปที่ผู้ใหญ่หนึ่งคนและเด็กหนึ่งคนที่ไม่ได้อยู่ในห้องนี้
หยางหยางเอียงศีรษะมองเหล่าโล๋ ที่ยืนอยู่ข้างๆ
แค่เห็นเม็ดเหงื่อบนหน้าผากเขาไหลลงมา
อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ไม่คิดว่ามันเหมือนการทรมานแบบนี้ เหล่าโล๋ ที่เคยมีประสบการณ์สำคัญกับพ่อของเขา กลับแสดงออกแบบนี้ตอนเผชิญหน้ากับครูประจำชั้นคนหนึ่ง
เขาหันไปมองครูประจำชั้นตนอีกครั้ง เธอยังคงก้มศีรษะลงแก้ไขการบ้าน ดูเหมือนไม่ได้สนใจสองคนที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะทำงานตัวเองเลย
***
ความรู้สึกของการถูกเพิกเฉย มันไม่ได้แย่อย่างทั่วไป
-ผู้ใหญ่หนึ่ง เด็กหนึ่ง ยืนอยู่ข้างโต๊ะทำงาน โดยกำลังก้มศีรษะลง